27 ธ.ค. 2019 เวลา 00:09 • กีฬา
หงส์ สบายเท้าบุกอัด จิ้งจอก สอนเชิงดีกรีแชมป์โลก
หลังเพิ่งไปคว้าแชมป์ ฟีฟ่า คลับ เวิลด์ คัพ 2019 ลิเวอร์พูล กลับมาหวด พรีเมียร์ลีก ด้วยการออกไปเยือน เลสเตอร์ ซิตี้ รองจ่าฝูง
มันอาจเป็นอีกหนึ่งจุดเปลี่ยนสำคัญก็ได้เพราะถ้าเลวร้ายถึงขั้นแพ้ ช่องว่างจากกันจะลดเหลือ 7 แต้ม ต่อให้ ลิเวอร์พูล เหลือเกมในมือมากกว่า 1 นัด แต่มันจะเป็นการปลุกเร้าทั้ง เลสเตอร์ รวมถึง แมนฯ ซิตี้ ในการไล่ล่า "หงส์แดง"
เลสเตอร์ ปรับทัพตำแหน่งเดียวจากเกมแพ้ "เรือใบสีฟ้า" 1-3 เมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา เดนนิส ปราเอ้ต์ ลงแทนที่ อโยเซ่ เปเรซ
ในระบบ 4-1-4-1 แคสเปอร์ ชไมเคิ่ล ดูแลหน้าปากประตู แนวรับวางใจ ริคาร์โด้ เปเรยร่า, จอนนี่ อีแวนส์, ชากลาร์ โซยุนซู และ เบน ชิลเวลล์
หน้าแผงหลังใช้ วิลเฟร็ด เอ็นดิดี้ รับหน้าที่ปัดกวาด ขยับขึ้นไปเป็น 4 ตัวรุก ฮาร์วี่ย์ บาร์นส์, ยูริ ตีเลอมันส์, เดนนิส ปราเอ้ต์ และ เจมส์ แมดดิสัน หน้าเป้าจัด เจมี่ วาร์ดี้
ลิเวอร์พูล ปรับไลน์อัพแค่จุดเดียวเหมือนกันจากเกมเฉือนชนะ ฟลาเมงโก้ 1-0 โดยได้ จอร์จินโย่ ไวนัลดุม สลัดเดี้ยงกลับมาเป็นตัวจริงแทนที่ อเล็กซ์ อ็อกซ์เลด-แชมเบอร์เลน ที่เจ็บข้อเท้าติดตัวกลับมาจาก ประเทศกาตาร์
ในระบบ 4-3-3 อลีสซง เบ็คเกอร์ ประจำการด่านสุดท้าย แบ็กโฟร์เป็น เทรนท์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์, โจ โกเมซ, เฟอร์จิล ฟาน ไดค์ และ แอนดี้ โรเบิร์ตสัน
แดนกลางวาง จอร์แดน เฮนเดอร์สัน เป็นตัวต่ำ ขนาบด้วย นาบี เกอิต้า กับ จอร์จินโย่ ไวนัลดุม แดนหน้าเป็น 3 เทพ โมฮาเหม็ด ซาลาห์, โรแบร์โต้ ฟีร์มิโน่ และ ซาดิโอ มาเน่
"หงส์แดง" เปิดฉากบุกใส่ตั้งแต่นาทีแรก โดยได้ลุ้นก่อนจาก อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ ตะบันหน้าเขตโทษแต่ ชไมเคิ่ล ยังป้องกันได้สวย
นาทีถัดมา ลิเวอร์พูล พลาดโอกาสทอง ซาลาห์ เปิดจากขวาไปหน้าประตู มาเน่ โฉบถึงบอลก่อน ชไมเคิ่ล แล้วแต่ดันโดนเหลี่ยมไม่ดีส่งบอลออกหลังอย่างน่าผิดหวัง
นาที 11 ทีมเยือนน่าได้อีกครั้งจากจังหวะสวนกลับเร็ว ซาลาห์ จิ้มบอลหนี ชไมเคิ่ล เข้าเขตโทษฝั่งซ้ายก่อนเลือกยิงด้วยซ้ายมุมแคบเข้าหน้าต่างเสาแรกทั้งที่มีเพื่อนรอตรงกลาง
นาที 15 "หงส์แดง" ได้เสียวจากจังหวะสับไกของ เฮนเดอร์สัน ระยะ 17 หลาแฉลบปลายเท้าของ เอ็นดิดี้ ลอยหลุดเสาขวามือนิดเดียว
ลิเวอร์พูล ครองเกมเหนือกว่าชัดเจน เล่นเหมือนเป็นเจ้าบ้านเองเพราะสร้างโอกาสกดดัน เลสเตอร์ ไม่หยุด
ทีมเยือนได้ประตูปลดล็อกใน นาที 31 จากจังหวะเตะมุมที่ "จิ้งจอก" สกัดไม่ขาด อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ โยนโค้งด้วยขวาจากหน้าเขตโทษฝั่งซ้ายไปเสาไกล ฟีร์มิโน่ โหม่งกดลงพื้นเสียบเสาแรกเป็นประตู 1-0
3 นาทีต่อมา ลิเวอร์พูล น่าได้เพิ่มสุดๆ แนวรับเจ้าบ้านเคลียร์ไม่ขาดอีกแล้ว สุดท้าย มาเน่ ฉกบอลไปกดด้วยขวาระยะ 10 หลาแต่ติดบล็อกของ ชไมเคิ่ล อย่างน่าเสียดาย
45 นาทีแรกสิ้นสุดลงไป ลิเวอร์พูล บุกนำ 1-0 ต้องบอกว่า เลสเตอร์ โชคดีจริงๆ ที่ยังตามหลังแค่ลูกเดียวเพราะเป็นรองทุกกระบวนท่า พอสร้างโอกาสขึ้นไปได้ก็ไม่ได้ทดสอบความเหนียวของ อลีสซง ด้วยซ้ำ วาร์ดี้ ที่นำเป็นดาวซัลโว เล่นเหมือนไม่ได้อยู่ในสนาม
มันไม่เหมือนการเจอกันระหว่าง จ่าฝูง กับ รองจ่าฝูง เลย
กลับมาต่อครึ่งหลัง เลสเตอร์ ยังยึดมั่นใน 11 ตัวจริง ไม่มีการเปลี่ยนตัวแก้เกม รูปเกมกระเตื้องขึ้นมาหน่อย นาที 48 ตีเลอมันส์ ตั้งป้อมกระหน่ำหน้าเขตโทษแต่ก็ยังไม่ถึงมือของ อลีสซง เพราะติดบล็อกของ โกเมซ เสียก่อน
แต่จากนั้นก็กลับไปเป็นเหมือนเดิม ลิเวอร์พูล ครองเกมได้เป็นหลัก นาที 54 โรเบิร์ตสัน ครอสจากริมเส้นฝั่งซ้ายบริเวณมุมธงไปหน้าประตู ฟีร์มิโน่ เข้าชาร์จแต่โดนไม่เต็ม บอลหลุดเสาไกลออกหลังไป
นาที 58 เลสเตอร์ เปลี่ยนตัวคนแรก มาร์ค อัลไบรท์ตัน ลงไปแทน บาร์นส์
ชั่วโมงแรกผ่านไป 3 นาที เลสเตอร์ ได้ลุ้นจากฟรีคิกกราบซ้าย แมดดิสัน เลือกยิงเองโดยปั่นด้วยขวาโค้งหลุดสามเหลี่ยมขวามือ
"หงส์แดง" เปลี่ยนรวดเดียว 2 คนในช่วง 20 นาทีสุดท้าย เจมส์ มิลเนอร์ กับ ดิว็อค โอริกี้ ลงไปแทน เกอิต้า กับ ซาลาห์
ให้หลังไม่เท่าไร ลิเวอร์พูล ได้จุดโทษจากจังหวะเตะมุมของ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ ที่เปิดเข้ากลางไปโดนแขนของ โซยุนซู ก่อน มิลเนอร์ รับหน้าที่สังหารเสียบตาข่ายด้วยการแปด้วยขวาแบบเฉือนๆ เข้ากลางประตู ขณะที่ ชไมเคิ่ล พุ่งไปทางซ้ายของตัวเอง
เลสเตอร์ เปลี่ยนตัวเพิ่มทันที อโยเซ่ เปเรซ ลงไปเติเกมรุกแทนที่ ปราเอ้ต์
ทว่าสกอร์ไหลเป็น 3-0 ใน นาที 74 อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ เปิดเรียดจากริมเขตโทษฝั่งขวาแหวกแนวรับเจ้าบ้านไปถึง ฟีร์มิโน่ จับก่อนบรรจงแปด้วขวาระยะ 8 หลาเสียบสามเหลี่ยมขวามือนิ่มๆ
นาที 76 เหมือน เลสเตอร์ ถอดใจหลังส่ง ฮัมซ่า เชาดรี้ มิดฟิลด์ตัวรับ ลงไปแทน แมดดิสัน หรืออาจจะส่งลงไปเก็บใครเป็นพิเศษก็ไม่รู้เพราะเคยลงมาเสียบ ซาลาห์ จนเจ็บข้อเท้าในการเจอกันก่อนหน้านี้แล้ว
กระนั้น เจ้าบ้านก็ยังหยุดเกมรุกของ "หงส์แดง" ไม่อยู่ นาที 78 มาเน่ พาบอลขึ้นมาก่อนแทงไปหน้าเขตโทษฝั่งขวา อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ กดเรียดด้วยขวาพุ่งผ่านมือของ ชไมเคิ่ล ตุงตาข่ายเป็นประตู 4-0
นาที 82 ทีมเยือนเปลี่ยนตัวคนสุดท้าย อดัม ลัลลาน่า ลงไปแทน เฮนเดอร์สัน
ช่วงท้ายเกม "หงส์แดง" ผ่อนเครื่องลงไป ส่วน เลสเตอร์ ก็เร่งไม่ขึ้นมาตั้งแต่แรกแล้ว ทำให้สุดท้ายไม่มีประตูเพิ่ม จบเกม ลิเวอร์พูล บุกทะลวง "จิ้งจอก" 4-0
ลิเวอร์พูล ทิ้งห่าง เลสเตอร์ ออกไปเป็น 13 แต้ม พร้อมเกมในมืออีก 1 นัด มันเป็นความได้เปรียบในแบบที่มองไม่เห็นทางเลยว่าพวกเขาจะทำแชมป์หลุดมือไปได้ยังไง
คล็อปป์ ให้สัมภาษณ์เมื่อตอนไปล่าแชมป์สโมสรโลกว่ามันไม่มีความจำเป็นที่ 3 กองหน้าของเขาจะต้องนัดกันโชว์ฟอร์มเทพ เพราะขอแค่คนเดียวก็พอแล้ว
ในวันที่ มาเน่ กับ ซาลาห์ ไม่ได้โชว์ฟอร์มดังใจ ฟีร์มิโน่ ก็ยังสวมบทฮีโร่ต่อเนื่องจากวีรกรรมที่ กาตาร์ โดยโหม่งประตูปลดล็อก 1-0 ก่อนยิงประตู 3-0
ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าความมั่นใจของ ฟีร์มิโน่ กลับมาเรียบร้อยแล้ว
อีกคนที่ต้องได้รับเครดิต เผลอๆ อาจมากที่สุดด้วยซ้ำย่อมเป็น อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ ผู้ทำ 2 แอสซิสต์ให้ ฟีร์มิโน่ แถมจุดโทษก็ได้มาจากลูกเตะมุมของเขาที่ไปโดนแขนของ โซยุนซู ก่อนปิดท้ายด้วยการบุกขึ้นมากระทุ้งประตูเอง
ทุกอย่างดูเป็นใจกับ ลิเวอร์พูล ไปหมด ขนาดส่งตัวสำรองอย่าง มิลเนอร์ ลงสนาม ผ่านไปไม่เท่าไร ก็มาได้จุดโทษ เหมือน คล็อปป รู้ว่าจะได้จุดโทษอยู่แล้วเลยส่งมือสังหารอันดับ 1 มารอ
"หงส์แดง" ไม่ได้แสดงให้เห็นถึงความเหนื่อยล้าเลย ทั้งที่ต้องเล่น 120 นาทีในเกมกับ ฟลาเมงโก้ แถมเพิ่งบินข้ามทวีปกลับมาได้ไม่กี่วัน แถมยังต้องออกมาเยือน คิง เพาเวอร์ สเตเดี้ยม ต่อเนื่อง
ลิเวอร์พูล แสดงให้เห็นว่ามีแต่จะแกร่งขึ้นไปเรื่อยๆ ยากเหลือเกินที่จะเห็นใครมาหยุดพวกเขาได้ในนาทีนี้ ถึงต่อให้หยุดได้ มันก็ไม่มีทางเลยที่พวกเขาจะเสียศูนย์ เป๋ยาวแพ้ติดๆ กันจนโดนไล่ทัน
แชมป์ พรีเมียร์ลีก ฤดูกาลนี้ ยังไงก็จะถูกนำไปประดับตู้โชว์ใน แอนฟิลด์ แน่ๆ ขึ้นอยู่กับว่าพวกเขาจะเข้าป้ายด้วยการทำแต้มทิ้งห่างรองจ่าฝูงขาดขนาดไหนเท่านั้นเอง
.
ทุกท่านสามารถติดตามอ่านบทความย้อนหลังได้ที่ ..
.
และเพิ่มเพื่อนไลน์แอด "เพื่อเด้งเตือน" ให้คุณได้อ่านก่อนใคร กดที่ลิงค์นี้ครับ
ขอบคุณครับ
โฆษณา