7 ก.พ. 2020 เวลา 11:46 • ประวัติศาสตร์
ปอดรั่ว EP.1 เมื่อปอดฉันรั่ว
เราวางแผนว่า 1เดือนหลังลาออก เราจะเที่ยวลั้ลลาใน กทมให้ครบ กินบุฟเฟ่ต์ตามโรงแรมที่เรายังไม่เคยไป จะเที่ยวให้จุใจไปเลย ใช้เงินเก็บนิดหน่อยใช้ชีวิตให้มีความสุข ให้รางวัลตัวเองซะหน่อย ก่อนกลับ ต่างจังหวัดยาว
2
cr:pixabay
และแล้วความฝันก็พังทลายลง
1เดือนก่อนลาออก เรารู้สึกปวดสะบักหลัง แต่ก็คิดว่า น่าจะโรคเดิม คือ ออฟฟิศซินโดรม จึงไม่ได้ไปหาหมอ และไม่ได้กินยาอะไร เพราะชอบเป็นๆหายๆ
และเราก็มีหลายโรคที่อยู่ในร่างกาย ไม่ว่าจะโรคกระเพาะ โรคภูมิแพ้ โรคช็อคโกแลตซีส และออฟฟิศซินโดรม มันอยู่กับเรามานานจนชิน ฮ่าๆๆๆ การปวดหลังครั้งนี้ เราก็คิดเองเออเองว่า น่าจะออฟฟิศซินโดรมอีกแล้ว ไม่อยากกินยา เพราะกลัวกัดกระเพาะ และอาการก็เหมือนท้องอืด แน่นท้อง ไปถึงหน้าอก หายใจไม่ค่อยออก ซึ่งเราก็เดาไปเองอีกว่า ภูมิแพ้แหงๆเลย
วันที่คุณหมอนัดฉีดยาช๊อคโกแลตซีส เราไปหาหมอ แต่คิวยาวมากมาย นั่งรอก็ปวดสะบักหลังมากเริ่มร้าวมาที่ไหล่ พอหายใจลึกแล้วรู้สึกเจ็บ ก็เลยไม่ได้รอหมอฉีดยา เรารีบกลับมานอนพักที่ห้อง เพราะคิดว่าได้พักคงดีขึ้น
กลางดึกคืนนั้นเอง ขณะที่เรานอนหงายพอเริ่มหายใจลึกๆก็เจ็บแป๊ปที่หน้าอกด้านขวา พอนอนตะแคงขวา ก็หายใจไม่ออกเลย คืนนั้นเลยต้องนอนตะแคงซ้ายทั้งคืน ด้วยความที่ไม่คิดว่าตัวเองจะเป็นอะไรมาก ก็ทนนอนจนถึงเช้า
1
พอเช้าแฟนบอกรีบไปหาหมอเถอะ เพราะเราหายใจไม่ค่อยได้ มันแน่น พอหายใจเข้าลึกๆ เจ็บแปร๊บที่หน้าอกขวา จนหายใจได้ครึ่งเดียว
ไปถึงโรงพยาบาล พยาบาลถามเป็นอะไรมา เราตอบชัดเจนมาก "โรคกระเพาะค่ะ รู้สึกแน่นๆค่ะ" ประมาณว่าชั้นมั่นใจ ฮ่าๆๆ พยาบาลส่งไปแผนกเกี่ยวกับทางเดินอาหาร พอเข้าพบหมอ เล่าอาการ หมอตรวจเบื้องต้น ส่งตัวเราไปเอ็กซเรย์ปอด ตอนนั้นก็ งงๆ เพราะหมอบอกให้รีบพาเราไป เอ็กซเรย์
กลับมาที่ห้องคุณหมออีกครั้ง คุณหมอกำลังยกหูคุยกับเพื่อนหมอ ประมาณว่า เราเจอเคสหนัก เธอเจาะได้มั๊ย แล้วก็พูดศัพท์ภาษาอังกฤษ ท่าทางคุณหมอดูตกใจ และตื่นเต้นมาก
พอวางสาย คุณหมอบอกว่า "คนไข้ครับ คนไข้เป็นภาวะ ปอดแตก คนไข้ต้องเข้ารับการเจาะปอดเพื่อเอาลมรั่วที่อยู่ในปอดออกให้หมด ตอนนี้ปอดคนไข้แฟบมากเหลือแค่ 20% แต่คนไข้ไม่ต้องกังวลนะครับ พอเจาะแล้วคนไข้ก็จะหายใจสบาย แล้วทุกอย่างจะดีขึ้น"
เราฟังตอนนั้นก็ช็อค "เจาะปอดคืออะไรวะ" แล้วพอฟังจบอาการก็เริ่มแย่ เหมือนจิตเรารับรู้ว่า ชั้นไม่ได้เป็นกระเพาะ ชั้นต้องเจาะปอด ให้ตายเถอะ นี่มันอะไร" คุณหมอรีบส่งตัวเราไปยัง รพ ประกันสังคมทันที ไม่ได้เอารถส่งตัวนะคะ นั่งแท๊กซี่ไปกับแฟน คือรู้สึกยังไหว ตอนนั้นเรายังคุยได้ปกติ โชคดีที่โรงพยาบาลอยู่ใกล้กัน
พอไปถึงแฟนก็บอกพยาบาลตามที่หมอ บอก ตอนนั้นเราพูดไม่ได้แล้ว หายใจไม่ค่อยได้เลย ต้องใส่อ๊อกซิเจน แต่ พยาบาลคงมึนงง พาเราไปต่อคิวหน้าห้องหมอ แทนที่จะเข้าฉุกเฉิน เรารอจนเราเริ่มตัวซีด พยาบาลสังเกตุเห็นท่าไม่ดีจึงลัดคิว เข้าห้องหมอก่อน พอเข้าไป หมอดูใบส่งตัว คำแรกที่หมอพูด "ทำไมไม่เอาคนไข้ไปห้องฉุกเฉิน" แล้วคุณหมอก็เป็นคนเข็นเราเอง แบบรีบมาก พยาบาลวิ่งตาม ตอนนั้นเราเริ่มมึนๆ หมดแรง แล้วรู้สึกเหนื่อยมากๆ"
1
พอเข้าห้องฉุกเฉิน คุณหมออีกคนบอกว่า หมอจะเจาะปอดด้านขวานะ ตำแหน่งตรงใต้ราวนม หมอจะฉีดแค่ยาชานะ เพราะไม่มีเวลาแล้ว คือ ในเวลานั้น เรานี่คิดแค่ว่า เอาน่ะ ตายเป็นตาย แค่เจาะแล้วดูดอากาศออก จบ อดทนน่ะ
หมอพูดจบ พยาบาลก็ช่วยกันจับแขนจับขาเรา แล้วหมอก็เจาะ
นาทีที่เจาะเข้าไป ให้ตายเถอะ นี่ฉีดยาชาแล้วเหรอ น้ำตาไหลพราก เจ็บทุกอณู นี่ละมั้งความรู้สึกโดนมีดแทงปอด
1
หมอสอดสายบางอย่างอันใหญ่ๆเหมือนสายยางเข้าไป ใช้เวลาซักพัก หมอบอกเรียบร้อยแล้ว
ตอนนั้นดีใจมาก คิดว่าจบละเหมือนที่เราผ่าช้อคโกแลตซีสคราวก่อน
1
แต่เปล่าเลยค่ะ อีสายนั้นมันติดอยู่ที่ตัวเราพร้อมขวดแก้ว 3 ขวด ให้ตายเถอะ เจ็บมาก เราจะต้องอยู่กับสายนี่กี่วันเนี่ยย
พอยาชาเริ่มหายไปความเจ็บเข้ามาแทน พูดไม่ได้เลย เพราะปอดแฟ้บ มันทรมานมาก ที่เราสื่อสารอะไรไม่ได้ เป็นเหมือนผักอยู่บนเตียง ได้แต่ลืมตา ขยับตัวไม่ได้ หายใจได้นิดเดียว ลองนึกภาพว่า เราหายใจยาวได้แค่กระพริบตา แล้วต้องหายใจถี่ๆ เพราะไม่สามารถหายใจลึกๆได้ จะเจ็บตรงหลังมาก
1
เราอยู่แบบนั้น 3 วันเต็ม วันที่ 4 เราเริ่มพูดได้ ขยับตัวได้ แต่ยังลุกไม่ได้ หมอเริ่มเอาของเล่นที่ทรมานสำหรับเรามากมาให้ มันเรียกว่า"ไตรโฟ" ใช้เป่าเพื่อขยายปอดให้เต็ม คือ ขยับตัวก็เจ็บพูดก็เหนื่อย หมอให้เป่า เป่าจนลูกบอลขึ้นพร้อมกัน 3 ลูก เราแค่เป่าลมออกมาลูกบอลมันยังไม่กระดิกเลย ฮ่าๆๆ นาทีนั้นแบบว่า โอ๊ยยย จะบ้าตาย แค่มีสายยักษ์ติดที่ปอดก็เจ็บมากแล้ว ยังต้องเป่าให้ปอดขยาย มันเจ็บมากๆๆ เป่าไปร้องไห้ไป
2
เราต้องฝืน จนเข้าวันที่ 5 เราเดินได้แล้ว หมอกายภาพเริ่มทำกายภาพให้เรา หมอหลายคนมากที่คอยมาดูและแนะนำวิธีที่ทำให้ปอดขยายไวและเอาอากาศออก วิธีที่โหดสุด คือ ยกมือติดผนัง แล้วไอ มันเป็นวิธีที่ฟื้นไวสุดและเจ็บสุดๆเช่นกัน คุณหมอบอกว่าหมอพึ่งปอดรั่วมาเหมือนกัน หมอใช้วิธีนี้ได้ผลดีเลยเจ็บหน่อยนะ แต่หายแน่ เราเลยเลือกวิธีนี้ ซึ่งมันก็ได้ผลถึงแม้จะซาดิสหน่อยๆ
2
คืนวันที่ 6 หมองดจ่ายยาแก้ปวด มีแค่พารา และคืนนี้เอง เป็นคืนที่แสนสาหัสของเรา เวลาประมาณ สองทุ่ม เรานอนไม่ได้เลย ปวดมาก เหมือนมีมีดมาแทง ทุกๆ 5 นาที แทงแบบไม่รู้ตัว เจ็บถึงขั้วหัวใจ ได้แต่ยาพารา เพราะหมอไม่ได้สั่งยาแก้ปวดให้ เราได้แต่ร้องไห้กับแฟน ง่วงมากแต่นอนไม่ได้ เราลุกมานั่งเก้าอี้ แฟนจับมือเราแล้วบอกว่า "เค้าจะนั่งเป็นเพื่อนตัวนะ ไม่เป็นไร" เราอุ่นใจมาก ผ่านไปสิบนาที ได้ยินเสียงกรน แฟนเราผู้ซึ่งจะนั่งข้างๆ ได้นอนสลบไปแล้ว เหลือแต่เพียงเราที่นั่งพิงเก้าอี้ แต่ความเจ็บก็น้อยลง ในใจเราก็อดขำไม่ได้ แต่หัวเราะไม่ได้ เพราะปอดขยายมันจะเจ็บมากๆ มันเป็นโรคที่ทรมานนะคะ หัวเราะยังไม่ได้เลย ฮ่าๆๆ
2
พอเข้าวันที่ 7 หมอก็ยังไม่เอาสายออก เพราะปอดเรายังไม่เต็ม หมอบอกว่า เคสปกติ 3-5 วันก็ถอดสายแล้ว ถ้าวันที่ 8 ปอดยังไม่เต็ม เราต้องเข้า TC scan เพื่อดูว่าต้องผ่าปอดหรือไม่
ให้ตายเถอะ ผ่าปอด
มันจะโหดร้ายกับเราไปแล้วนะ
แต่ก็คิดอีกมุม ช่างมัน อะไรจะเกิดก็เกิด แล้วเราก็อดทนเจ็บเป่าไตรโฟอย่างหนัก ดมอ๊อกซิเจน
เช้าอีกวันคุณหมอพาไปเอ็กซเรย์ พบว่า ปอดเริ่มขยาย และลมรั่วในปอดมีน้อยลง สามารถถอดสายออกได้ แต่ขณะถอดสายต้องอย่าให้ลมเข้าไปได้ เพราะเราต้องกลั้นหายใจแล้วหมอจะดึงสายออกทันที
การถอดสายออกเป็นไปได้ด้วยดี น้ำตาไหลพราก เพราะถอดสดๆ แต่เจ็บน้อยกว่าตอนเสียบ
หลังจากนั้น ก็พักฟื้น เป่าไตรโฟ ดมอ๊อกซิเจน เอ็กซเรย์ ทำกายภาพ อยู่แบบนั้น อีก 4 วัน
รวมแล้วเราใช้ชีวิตอยู่ 12 วันที่โรงพยาบาล
หลังจากออกมา ชีวิตก็ไม่ปกติ การหายใจเปลี่ยนไป เหนื่อยง่าย ปวดตรงแผลมาก ยกแขนยาก เจ็บตรงสะบักหลัง การนอนยังคงต้องนอนแบบทรมานนอนราบไม่ได้เลย เป็นผลจากการเจาะ
หนึ่ง เดือนเต็มๆ หลังลาออก ชีวิตที่จะไปกินไปเที่ยว หายไปในพริบตา เงินที่เก็บไว้เที่ยวไว้กิน ก็จ่ายค่ารักษาส่วนเกิน ปกส ไปทั้งหมด เสมือนว่า กำลังชดใช้กรรม
ชีวิตตอนนั้นเหมือนกำลังเล่นตลก ถ้าป่วยตอนที่ยังทำงาน เราก็จะไม่ต้องเสียเงินซักบาท แต่ลาออกมาแค่วันเดียว เข้าโรงพยาบาลเลย ชีวิตก็แบบนี้มักมีอะไรที่ไม่คาดคิดเสมอ
พบหมอที่ กทม ครั้งสุดท้าย เพื่อเช็คปอด หมอบอกว่า "ไม่รั่วละ แต่ โรคนี้ 50% สามารถกลับมาเป็นได้อีกนะ " ช็อคค่ะ คือ หมายความว่าปอดจะรั่วซ้ำเพราะ กรณีเรา หาสาเหตุไม่เจอ
4
เรานึกในใจ "ขอบคุณในโชคชะตา ที่พาเรามาเจอโรคบ้าอะไรเนี่ย"
หมอบอกว่า หมอจะผ่าตัด เพื่อเชื่อมปอดให้ กรณีรั่ว ครั้งที่ 3 ขึ้นไป หรือแล้วแต่หมอจะพิจารณา" เราฟังแล้วก็ได้แต่ปลงค่ะ
โชคชะตาวันแรกของการออกจากมนุษย์เงินเดือน ก็ได้ของแถมคือโรคปอดรั่วที่ติดตัวเราตลอดไป
ชีวิตมักมีเรื่องไม่คาดฝันอยู่เสมอ บางทีวันนี้เราหัวเราะดีใจ แต่วันพรุ่งนี้เราอาจร้องไห้อย่างหนักก็ได้ ไม่มีใครรู้ว่าชีวิตเราจะพบเจอสิ่งใด
.... แต่ที่สำคัญใจเราต้องดี และเตรียมรับมือ กับเรื่องที่ดีและเรื่องที่แย่ที่ไม่รู้ว่าจะเกิดขึ้นกับตัวเราเมื่อไหร่
มหากาพย์ปอดรั่วยังไม่จบแค่นี้นะคะ ไว้มีโอกาสเราจะมาเล่าเรื่องปอดรั่ว ซึ่งดันไปพัวพันกับโรคเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ ทำให้หลังจากเรากลับมาอยู่ต่างจังหวัด ที่ที่เราคิดว่าสุขภาพของเราจะแข็งแรงมากกว่าอยู่ กทม กลับกลายต้องมาผจญชะตากรรม ปอดรั่ว ที่รั่วแล้วรั่วอีก สิ่งที่คิดไว้มากมายก็ไม่เป็นอย่างที่หวัง
1
ฝากติดตามกันด้วยนะคะ
1
โฆษณา