30 ธ.ค. 2019 เวลา 21:55 • การศึกษา
สถาปัตยกรรมแบบโกธิคและความเจริญทางด้านวิศวกรรมโยธาในยุคสมัยกลาง
3
สถาปัตยกรรมแบบโกธิค (Gothic Architect) คือสถาปัตยกรรมสิ่งก่อสร้างที่พัฒนาขึ้นในสมัยกลางของยุโรป (Middle Ages) ซึ่งอยู่ในช่วงศตวรรษที่ 5 ถึง 16
Gothic Architecture: 9 Iconic Cathedrals from the Depths of History, https://www.arch2o.com/gothic-architecture-9-iconic-cathedrals-from-the-depths-of-history/amp/
ช่วงสมัยกลางนั้นบางครั้งจะเรียกว่ายุคมืด (Dark Age) ซึ่งกินเวลาถึง 1000 ปี เนื่องจากเป็นรอยต่อของความก้าวหน้าระหว่างยุคโบราณ (Classic Period) และยุคฟื้นฟูศิลปวิทยา (Renaissance)
แบบจำลองของหมวกหุ้มเกราะซึ่งถูกพบที่ซัททันฮู ในหลุมศพของผู้นำชาวแองโกล-แซกซัน สันนิษฐานว่าเป็นกษัตริย์ราวปี ค.ศ. 620 ในช่วงต้นสมัยกลาง, https://th.m.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%AA%E0%B8%A1%E0%B8%B1%E0%B8%A2%E0%B8%81%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B8%87
สมัยกลางนั้นอยู่ในช่วงหลังการล่มสลายของจักรวรรดิโรมันในยุโรป ไปสู่การเปลี่ยนผ่านทางประวัติศาสตร์สู่ยุคใหม่
โดยสมัยนี่ถือเป็นช่วงถดถอยทางความคิด ปรัชญา งานศิลปะ ไร้ซึ่งความก้าวหน้าทางสังคม เต็มไปด้วยความมืดมน งานศิลปะ ภาพวาด งานปั้น ไร้มิติ ไร้อารมณ์ จึงถูกเรียกว่ายุคมืด
แต่ในความถอดถอยและมืดมนกว่าหนึ่งพันปี ยังคงมีสิ่งเดียวที่ยังคงไว้ซึ่งศรัทธาและความเคารพ คือ ศาสนา จึงยังคงมีการพัฒนางานศิลปะเกี่ยวกับศาสนสถานที่ได้รับการพัฒนาจนถึงขีดสุดและยังคงเห็นได้อยู่ในยุโรปปัจจุบันถึงแม้จะมีอายุกว่า 700-800 ปีแล้วก็ตาม
รูปแบบของ Gothic Cathedral ในหลายประเทศ
สถาปัตยกรรมแบบโกทิคเกิดขึ้นในช่วงกลางของของสมัยกลาง (Highly Middle Ages) และได้รับการพัฒนาสูงสุดในช่วงปลายสมัยกลาง (Lates Middle Ages) ซึ่งอยู่ในช่วงศตวรรษที่ 12 ถึง 16 โดยมีจุดศูนย์กลางอยู่ในฝรั่งเศล และแพร่ขยายอิทธิพลทางความคิดไปยังประเทศข้างเคียง
โบสถ์แบบโกทิค ได้รับการพัฒนาในช่วงหลังจากอิทธิพลของจักรวรรดิโรมันค่อยๆ ลดลง
ศิลปะแบบโรมันดั้งเดิม จะเรียกว่า Romanesque architecture ที่เกิดก่อนศตวรรษที่ 12 จะมีเอกลักษณ์คือ ความเรียบง่าย และดูขึงขัง แต่ค่อนข้างจะเทอะทะจากความใหญ่โตของเสาและกำแพง หลังคาจะเป็นแบบโค้งมน (Semi-circular Arch) อาศัยหลักการสมดุลทางวิศวกรรมในการถ่ายแรงจากหลังคาลงสู่ฐานราก
Romanesque Architecture, มหาวิหารแซงต์ปิแยร์แห่งอองกูเล็ม ประเทศฝรั่งเศส
Romanesque Architecture, Maria Laach Abbey, Germany
แต่จะทำให้เกิดแรงถีบด้านข้างที่ฐาน ทำให้ต้องใช้ความใหญ่โตของกำแพงในการรับแรงจากหลังคาเพื่อสร้างเสถียรภาพ จึงทำให้ต้องการกำแพงหนา ขนาดใหญ่ จึงทำให้ตัวอาคารไม่สามารถสูงได้มาก และอับทึบมืดแสง เนื่องจากให้กำแพงในการรับแรง จึงเจาะกำแพงเพื่อทำหน้าต่างรับแสงไม่ได้ ในขณะที่แสงเป็นองค์ประกอบสำคัญในเพิ่มความขลังในตัวสถานที่
สถาปัตยกรรมแบบโกทิคจึงถูกพัฒนาขึ้นมาโดยการที่จะพยายามเปลี่ยนแปลงข้อด้อยของ Romanesque architecture ด้วยการทำให้สูงโปร่ง และสว่าง ด้วยการเพิ่มพื้นที่รับแสงให้กับโครงสร้าง
Romanesque Round Arch VS Gothic PointedArch
ถึงแม้สถาปัตยกรรมแบบโกทิคจะมีจุดเด่นในหลายๆ ส่วน แต่องค์ประกอบที่สำคัญของ Gothic Architect ที่จำเป็นต้องมีถึงจะเรียกว่า Gothic Architect มีอยู่สามอย่างคือ Pointed Arch, Ribbed Vault และ Flying Buttresses
ส่วนประกอบของสถาปัตยกรรมแบบโกทิค
ส่วนประกอบของสถาปัตยกรรมแบบโกทิค
Pointed Arch หรือ วงโค้งแหลม ด้วยการเปลี่ยนจากโค้งมนแบบ Romanesque architecture ให้ยอดแหลมขึ้น ทำให้พื้นที่รับแสงมากขึ้น อาคารสูงโปร่ง การทำให้ยอดแหลมยังทำให้แรงกระทำจากหลังคาถ่ายลงมาสู่ฐานรากส่วนล่างได้ง่ายขึ้น แรงถีบด้านข้างลดลง จึงทำให้กำแพงหรือเสามีขนาดเล็กกว่าโครงสร้างแบบ Romanesque architecture ในยุคคลาสสิค
Stress (Trust) Line - Semi-circular Arch VS Pointed Arch
แรงจากส่วนบนของ Semi-circular Arch จะถูกถ่ายลงมาในมุมที่เอียงกว่าแบบ Pointed Arch จึงทำให้เกิดแรงถีบด้านข้างต่อจุดรองรับสูงกว่า
Ribbed Vault หรือ เพดานโค้งกากบาทแบบมีคิ้ว ซึ่งพัฒนามาจาก Groin Vault ที่ใช้กับ Semi-Circular Arch ของโครงสร้างแบบ Romanesque architecture ในยุคคลาสสิค มาเป็น Ribbed Vault ที่ใช้กับ Pointed Arch
Type of Vault
Ribbed Vault จะถ่ายแรงจากหลังคาผ่านตัว Ribbed ที่เป็นแกนของหลังคา ที่จะมีจุดศูนย์รวมกันที่กลางหลังคา แล้วทำตัวเป็นแกนกระจายแรงจากหลังคาลงมายังเสาที่รองรับ ส่วนกลางระหว่าง Ribbed จะใช้วัสดุที่มีขนาดเบาและแข็งแรงน้อยกว่าในการปิดส่วนที่เหลือของหลังคา
ตัว Ribbed Vault ในช่วงแรกจะนิยมทำเป็นแบบ Quadripartite Vault ที่แบ่งหลังคาเป็นสี่ส่วน และต่อมาพัฒนาเป็น Sexpartite Vault ที่แบ่งหลังคาเป็นหกส่วน และ แบบ Fan Vault ที่สาน Ribbed แบบถี่ๆ จนเหมือนใบพัด เพื่อเพิ่มความแข็งแรงขึ้นตามลำดับ
Quadripartite Vault แบ่งหลังคาเป็นสี่ส่วน
Quadripartite Ribbed Vault, Church of Blessed Virgin Mary in Chelmno
Quadripartite Ribbed Vault, Salisbury Cathedral
Sexpartite Ribbed Vault, Lyon Cathedral
Fan vaulting over the nave at Bath Abbey, Bath, England
ส่วนประกอบสุดท้ายคือ ครีบยันลอย หรือ Flying Buttresses ซึ่งถือได้ว่าเป็นเอกลัษณ์และเด่นที่สุดในศิลปะแบบโกทิค
Flying Buttresses คือส่วนที่เชื่อมระหว่างโครงสร้างชั้นในและชั้นนอก ทำหน้าที่ช่วยถ่ายแรงด้านข้างจากำแพงหริอเสาชั้นในออกมาด้านนอก
Flying Buttresses
เนื่องจากลักษณะของ Point Arch ที่ถ่ายแรงจากหลังคาลงสู่พื้นได้ดีกว่าแบบ Semi-Circular Arch แต่ก็ยังมีแรงด้านข้างกระทำที่หัวเสาหรือกำแพงอยู่
ในยุคแรกมีความคิดว่า Point Arch นั้นดีกว่าลดแรงถีบด้านข้างได้ดีกว่าแบบเดิมมาก จึงพยายามจะลดขนาดกำแพงหรือเสาลง และเพิ่มกระจกหน้าต่างเพื่อรับแสง แต่พบว่าโครงสร้างยังไม่มีเสถียรภาพเพียงพอ แต่ไม่ต้องการที่จะเพิ่มความหนาของเสาและกำแพงเพื่อรับแรงด้านข้าง หรือที่เรียกว่า Buttresses เนื่องจากจะกลับไปสู่รูปแบบเดิมแบบ Romanesque architecture ที่มีความเทอะทะ
Flying Buttresses, Notre Dame Cathedral, Paris
จึงมีการพัฒนารูปแบบ ที่เรียกว่า Flying Buttresses ที่เป็นกำแพงซ้อนขึ้นมาข้างนอก แล้วใส่ตัวค้ำหรือ Buttresses ค้ำลอยออกมาจากจุดที่มีการถ่ายแรงด้านข้างของกำแพงด้านใน มายังกำแพงด้านนอก โดยอาจจะมีกำแพงซ้อนกันสามชั้น แล้วเพิ่ม Flying Buttresses ขึ้นมาอีกชั้นหนึ่งก็ได้
Flying Buttresses, Amiens Cathedral, Amiens, France
Gothic Architecture จึงถือเป็นความก้าวหน้าทางวิศวกรรมโครงสร้างเมื่อเกือบหนึ่งพันปีก่อนที่น่าทึ่งเป็นอย่างมาก เนื่องจากสมัยนั้นยังไม่มีการพัฒนาทฤษฎีอะไรมาคำนวณ อาศัยการลองผิดลองถูก และการจำลองโมเดลขนาดเล็ก และเพิ่มสัดส่วนขึ้นมาใช้กับขนาดจริง
โดยปกติ Gothic Cathedral จะทำหลังคาซ้อนกันสองชั้น คือชั้นในที่เป็นหินฉาบด้วยมอร์ต้า ซึ่งมีความคงทนแข็งแรง แต่อาจจะไม่กันน้ำ จึงมักจะทำหลังคาไม้คลุมส่วนบนอีกชั้น เพื่อกันน้ำ ซึ่งเป็นข้อดี คือส่วนที่เป็นหลังคาชั้นในหรือ Ribbed Vault ก็จะทำหน้าที่กันไฟ ให้กับโครงสร้างกรณีที่หลังคาไม้เกิดไฟไหม้ ดังเช่นที่เกิดกับมหาวิหาร Notre Dame ซึ่งเกิดไฟไหม้เมื่อต้นปีที่ผ่านมา
หลังคาสองชั้นของ Gothic Cathedral
โดย คาดกันว่าการที่มหาวิหาร Notre Dame ซึ่งเกิดไฟไหม้เมื่อต้นปีที่ผ่านมา สามารถทนไฟอยู่ได้หลาย ชม เนื่องจากมี Ribbed Vault ป้องกันอยู่ชั้นใน และมี Flying Buttresses ช่วยค้ำโครงสร้างให้คงทนอยู่ได้
หลังคาไม้อายุหลายร้อยปีของมหาวิหาร Notre Dame ที่เป็นเชื้อเพลิงอย่างดีของเหตุการณ์ไฟไหม้ที่ผ่านมา
มหาวิหาร Notre Dame ขณะเกิดเหตุการณ์ไฟไหม้
อย่างไรก็ดี หลังเหตุการณ์ไฟไหม้ เค้าพบว่ามี Ribbed Vault บางส่วนพังถล่มลงมา
หลังคา Ribbed Vault ของมหาวิหาร Notre Dame ก่อนและหลังเหตุการณ์ไฟไหม้
การบูรณะมหาวิหาร Notre Dame ที่ถือเป็นสัญญลักษณ์ที่สำคัญของสถาปัตยกรรมแบบโกทิคและความเจริญรุ่งเรืองของยุดกลาง นั้นยังถือเป็นสิ่งที่ท้าทายเป็นอย่างมาก
เนื่องจากนั่งร้านจำนวนมหาศาลที่ถูกติดตั้งเพื่อบูรณะโครงสร้างก่อนเกิดเหตุการณ์ไฟไหม้นั้น ยังคงค้างคาอยู่ และนั่งร้านเหล่านั้นได้รับความเสียหายจากความร้อนจนประเมินกำลังไม่ได้ และมีโอกาสที่จะถล่มทับมหาวิหารจนเสียหายเพิ่มเติม
หลายๆ สำนักข่าวจึงออกมาตีข่าวว่ามีโอกาสเพียง 50-50 ที่จะรักษามหาวิหารอายุแปดร้อยกว่าปีนี้ไว้ได้ และตอนนี้แผนขั้นตอนการบูรณะผ่านการเห็นชอบเรียบร้อย พร้อมจะเริ่มปฏิบัติการการแล้ว เรามาเอาใจช่วยคนฝรั่งเศลในการรักษามรดกโลกชิ้นนี้กัน
1
นั่งร้านจำนวนมากที่ยังคงพร้อมจะถล่มตลอดเวลา
มหาวิหาร Notre Dame หลังเหตุการณ์ไฟไหม้ และนั่งร้านจำนวนมหาศาลที่ยังคงเป็นภัยคุกคามต่อเสถียรภาพของวิหารอายุแปดร้อยกว่าปีหลังนี้
โฆษณา