5. เมื่อทิ้งความรู้สึกด้านมืดและสว่างไว้ที่โลกแห่งสมมุติบัญญัติแล้ว จงทำความรู้สึกที่ร่างกายอีกครั้งอย่างเป็นกลาง ขณะนี้เราไม่ใช่เราอีกต่อไปแล้ว แต่เราคือผู้ดู คือผู้รู้อย่างเป็นกลาง จงเพ่งเข้าไปที่กายในกายโดยใช้กำลังสมาธิทั้งหมด ไล่พิจารณาตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า ใช้กำลังจิตโดยการเหนี่ยวนำความคิด แยกย่อยร่างกายออกเป็นส่วนๆ เช่นขน ผม เล็บ ฟัน หนัง สร้างมโนภาพว่าตนเองคือซากศพที่มีสภาพแข็งทื่อ ค่อยๆ อืดพอง เขียว คล้ำ ค่อยๆ เน่า มีหนอนชอนไช มีน้ำเลือด น้ำหนอง เสมหะ อุจจาระ ปัสสาวะไหลออกมาจากทวารทั้งเก้า คือ ตา 2 หู 2 จมูก 2 ปาก 1 ช่องปัสสาวะ 1 ช่องอุจาระ 1 กำหนดวิปัสสนาดำดิ่งลงจนเห็นถึงความโสโครกของกายตามความเป็นจริง จนเห็นว่าร่างนี้เป็นเพียงธาตุสี่คือ ดิน น้ำ ไฟ ลมที่ประชุมรวมกัน (รวมสมาธิสู่ความว่างเพื่อ กำหนดสู่อสุภกรรมฐาน)
6. ในการพิจารณานี้ จิตจะพิจารณาไปเรื่อยๆ ตามแต่ความพอใจของมัน อย่าได้กำหนดเวลา ปล่อยให้มันเป็นอิสระ ช่วงเวลาในการพิจารณาไม่จำเป็นต้องนาน แต่ต้องเป็นไปด้วยความกระจ่างชัด แจ่มใส นอกจากสมาธิแล้วขอให้มีความเบิกบานในธรรมเป็นเครื่องหล่อเลี้ยง แม้เกิดความสลดหดหู่ย่อมหมายความว่า เราไม่ได้คุมจิตให้หยั่งด้วยความเป็นกลางแต่แรก ถือว่าเป็นการทำผิดทิศผิดทาง ไม่สมควรทำต่อ เมื่อจิตถอนจากการพิจารณากายในกายแล้วในครั้งแรก ถ้ามีกำลังสมาธิเพียงพอ ให้กลับมารู้ลมหายใจอีกครั้ง เพื่อเป็นฐานในการเดินปัญญาอีกรอบ ทำอย่างนี้สลับกันไปเรื่อยๆ ถ้าทำบ่อยๆ จิตจะค่อยๆ ละความยึดมั่นในกายไปได้เอง (สมถะเท้าขวา วิปัสสนาเท้าซ้าย สมถะวิปัสสนาไม่แยกจากกัน)