3 ม.ค. 2020 เวลา 07:33 • กีฬา
เป็นเกมที่ลิเวอร์พูลเอาชนะอย่างสมบูรณ์แบบ แม้จะยิงแค่ 2 ลูกก็ตาม เพราะในรายละเอียดของเกม ไม่มีอะไรที่หงส์เป็นรองเลย
นี่คือบทสรุป 18 ข้อจากเกมลิเวอร์พูล 2 เชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด 0 ที่แอนฟิลด์ นัดที่ลิเวอร์พูลทำแต้มฉีกอันดับ 2 ไปเป็น 13 แต้ม และเพิ่มโอกาสคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกมากขึ้นอีกก้าว
1) จริงๆผมเชื่อว่า เจอร์เก้น คล็อปป์อยากพัก ทั้งเวอร์จิล ฟาน ไดค์ และ เทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ เพราะสองคนนี้ในเกมกับวูล์ฟ เห็นได้ชัดมากว่า กรอบเหลือเกิน แต่ด้วยความที่ไม่เหลืออะไหล่ทดแทนในทีมชุดใหญ่อีกแล้ว นั่นทำให้ทั้งคู่ต้องลงตัวจริงต่อ
ลิเวอร์พูลเปลี่ยนแค่ 1 ตำแหน่งจากเกมเฉือนวูล์ฟ คือถอดอดัม ลัลลาน่าออก แล้วใช้เจมส์ มิลเนอร์แทน โดยตอนแรกคนที่จะลงไม่ใช่เจมส์ มิลเนอร์ แต่เป็นนาบี เกอิต้า ซึ่งคล็อปป์ส่งชื่อ 11 ตัวจริงไปแล้วด้วย แต่เกอิต้าได้รับบาดเจ็บต้นขาก่อนเกมเริ่มไม่ถึงชั่วโมง เลยต้องเปลี่ยนไลน์อัพอย่างกะทันหัน
2) ขณะที่ทาคุมิ มินามิโนะ ร่วมซ้อมอย่างเป็นทางการไปแล้ว และร่างกายฟิต 100% แต่กฎของเอฟเอ ยืนยันว่านักเตะที่ย้ายทีมในวันที่ 1 และ 2 มกราคม จะไม่สามารถลงเล่นในแมตช์เดย์แรกของปีได้ แต่ในเกมต่อไปที่จะเอฟเวอร์ตันในเอฟเอคัพ ในวันอาทิตย์นี้ มินามิโนะจะลงเล่นได้ตามปกติ และแฟนบอลน่าจะได้เห็นลีลาของเขาครั้งแรกในนัดนั้น
3) ระบบการเล่นของหงส์แดง คล็อปป์เลือกใช้ 4-2-3-1 ไม่ใช่ 4-3-3 โดยวางโม ซาลาห์ยืนเป็นกองหน้าตัวเป้า เกมนี้เราจะเห็นได้เลยว่า เพื่อนๆจะสนับสนุน และลำเลียงบอลไปให้ซาลาห์เป็นคนปิดเกม เพราะซาลาห์ยิงประตูุไม่ได้มา 4 เกมติดต่อกันแล้ว และแน่นอนว่าเขามีความอึดอัดใจเกิดขึ้นเรื่อยๆ ดังนั้น คล็อปป์จึงวางซาลาห์เป็นหน้าเป้า เพื่อให้เขาปลดล็อกตัวเองให้ได้
4) ส่วนคู่แข่งเชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด ใช้แผนเดิมของตัวเอง คือ 5-3-2 เกมรับ 5 ตัวยืนแน่น ซึ่งนี่เป็นแผนที่ใช้ได้ผลเสมอในการเจอทีมใหญ่ ฤดูกาลนี้ เชฟฯยู ชนะอาร์เซน่อล 1-0 ในบ้าน และ ไปยันเสมอสเปอร์ส 1-1 ที่ไวท์ฮาร์ทเลน โดยทั้ง 2 เกมก็ใช้แผน 5-3-2 นี่ล่ะ นั่นคือเจียมตัวไว้ก่อน รับแน่น รับลึก ถ้ายิงไม่ได้ ก็อย่าเสีย
ก่อนเจอลิเวอร์พูล ซีซั่นนี้เชฟฯยู เสียประตู 19 ลูก เป็นทีมที่มีเกมรับอันดับ 2 ของลีก เป็นรองแค่หงส์ทีมเดียวเท่านั้น พวกเขาเสียประตูน้อยกว่า แมนฯซิตี้ ,แมนฯยู หรือเชลซี ด้วยซ้ำ นั่นแสดงให้เห็นว่า เชฟฯยูไนเต็ด รู้ดีว่าพวกเขาทำอะไรอยู่
เชฟฯยู รู้ดีว่าการมาเยือนแอนฟิลด์ ทีมที่มีเกมรับอันดับ 1 คุณยิงเขาไม่ได้หรอก ดังนั้นการยัน 0-0 เอาไว้เพื่อแชร์แต้มออกมา น่าจะเป็นคำตอบที่ดีที่สุดแล้ว
5) อย่างไรก็ตาม แผนของเชฟฯยู ก็มาแตกสลายตั้งแต่ต้นเกม เมื่อวิงแบ็กขวา จอร์จ บัลด็อก กะจังหวะพลาดไป บอลจึงหลุดมาถึงแอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน ปาดเข้ากลางแบบง่ายดายที่สุดให้โม ซาลาห์ ยิงลอดขาดีน เฮนเดอร์สันเข้าไป
หลายคนโฟกัสที่ความผิดพลาดของจอร์จ บัลด็อก แต่ถ้าสังเกตดีๆ นี่เป็นอาวุธที่ลิเวอร์พูลใช้บ่อยมาก นั่นคือใช้เวอร์จิล ฟาน ไดค์วางบอลยาว มาถึงนักเตะสักคนที่จะพักบอล แล้วจ่ายให้อีกตัวจบสกอร์
ในเกมที่แล้วกับวูล์ฟ ลิเวอร์พูลใช้มุกนี้ 2 หน ฟาน ไดค์เปิด มาเน่โหม่งชง แล้วซาลาห์ยิงทันที แต่ไปติดเซฟรุย ปาตริซิโอ ส่วนอีกหน ฟาน ไดค์เปิดจากแดนหลัง ลัลลาน่าใช้ไหล่พักบอล เด้งมาถึงมาเน่ยิงเข้าไป
มาจนถึงนัดนี้ อาวุธจาก ฟาน ไดค์ก็ยังได้ผลดีอยู่ ทีเด็ดการวางบอลยาวจากด้านหลัง เป็นอาวุธที่สร้างเซอร์ไพรส์ให้คู่แข่ง เพราะปกติลิเวอร์พูลจะต่อบอลสั้นๆเป็นหลัก พอมาโยนยาวแบบนี้ แนวรับก็กะจังหวะกันไม่ถูก จนสุดท้ายเสียประตูให้ทีมหงส์แดงในที่สุด
6) นอกจากซาลาห์จะปลดล็อกตัวเองได้แล้ว อีกคนที่ปลดล็อกเช่นกัน คือแอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน ที่ทำแอสซิสต์ได้เสียที ก่อนหน้านี้ โรเบิร์ตสันแอสซิสต์ไม่ได้มา 12 นัดทุกรายการ คือเปิดเฉี่ยวไปเฉี่ยวมาแต่ไม่ได้แอสซิสต์เสียที มาคราวนี้ เขาทำได้แล้ว และน่าจะเรียกความมั่นใจในการแอสซิสต์ได้ต่อเนื่องนับจากนี้
7) อีกอาวุธหนึ่งที่ลิเวอร์พูลใช้บ่อยขึ้นมาก คือการให้ กองกลางทำ Early Cross หรือครอสบอลโดยไม่ต้องไปถึงสุดเส้นหลัง ในระหว่างที่คู่ต่อสู้ระวัง การกระชากไปสุดเส้นของอเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ และโรเบิร์ตสัน เราจะเห็นทั้งเฮนเดอร์สัน และมิลเนอร์ พยายามเปิดบอลจากระยะประมาณ 30-40 หลา เข้ามาในเขตโทษ นี่ก็เป็นอีกอาวุธที่เริ่มใช้หลายครั้ง และเกือบได้ประตูด้วย (ลูกที่เฮนเดอร์สัน Early Cross ให้ซาลาห์ แต่โดนโกล์เชฟยูปัดได้นิดเดียว)
8) การโดนนำเร็วทำให้เชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด แผนแตก คือจะรับลึกเหมือนเดิมก็ไม่ดี เพราะโดนนำไปแล้ว แต่จะให้บุกไลน์อัพนักเตะที่วางไว้ก็ใช้เพื่อเกมรับ มันเลยครึ่งๆกลางๆ และไม่มีอะไรมาคุกคามลิเวอร์พูล
จบครึ่งแรกลิเวอร์พูลครองบอล 71% เชฟฯยู ครองบอล 29% ข่มกันแบบชัดเจนมาก
9) ในครึ่งแรกมีช็อตหนึ่งที่น่าสนใจดี ของฝั่งเชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด นาทีที่ 14 เมื่อจอร์จ บัลด็อกแทงให้จอห์น ลันด์สตรัม หลุดเข้าไปดวลกับอลิสซอนตัวต่อตัว ซึ่งไลน์แมนยกธงไปนานมากแล้ว กองหลังลิเวอร์พูลก็หยุดเล่นไปแล้วด้วย แต่ลันด์สตรัมไม่สน วิ่งยิงผ่านอลิสซอน เป็นประตู แต่แน่นอน ภาพช้าเห็นชัดเจนว่าลันด์สตรัมล้ำไปแล้ว ลูกนี้จึงไม่เป็นประตู
ความน่าสนใจคือ ฟุตบอลยุคนี้มี VAR ช่วย ดังนั้นถ้ามีโอกาสจบสกอร์ ยังไงก็ต้องยิงไว้ก่อน จะให้คู่แข่งหยุดเล่น หรือไลน์แมนยกธงยังไงก็ไม่ต้องสน เพราะถ้าย้อนดูภาพช้าแล้ว ไม่มีอะไรผิดเกิดขึ้น กรรมการจะย้อนมาให้ประตูเลย ดังนั้น ถ้ามีโอกาสก็ต้องจบสกอร์ไปเลย อย่าไปสนใจอะไรทั้งนั้น
10) สถิติระบุว่าครั้งสุดท้ายที่ลิเวอร์พูล พลิกกลับมาแพ้ในบ้าน ถ้าหากนำคู่แข่งในครึ่งแรก ต้องย้อนกลับไปเกมเจออาร์เซน่อล เมื่อเดือนธันวาคม 2009 หรือเมื่อ 11 ปีที่แล้ว มันสื่อให้เห็นว่า ถ้าลิเวอร์พูลนำครึ่งแรกไปแล้ว มันปิดประตูแพ้ไปเลย อย่างแย่คือเสมอ ดังนั้นเกมกับเชฟฯยู ถึงตรงนี้ทุกคนพอเดาได้ว่า ทีมเยือนไม่มีทางคัมแบ็กแน่ มีแต่จะจบที่สกอร์นี้ หรือโดนเพิ่มเท่านั้น
11) เข้าครึ่งหลัง ทรงเกมไม่ต่างจากเดิม ลิเวอร์พูล Dominate หรือคุมทุกอย่างได้หมด จนนาทีที่ 64 ก็ได้ประตู 2-0 ลูกนี้หลายคนชมการต่อบอลกันระหว่าง มาเน่ กับซาลาห์ ที่ชิ่ง 1-2 กันได้สวย แต่จริงๆแล้วจุดเริ่มต้นต้องดูตั้งแต่แรก นั่นคืออลิสซอน เบ็คเกอร์ คว้าลูกครอสของเชฟฯยู เอาไว้ได้
จากนั้นเขาเห็นช่องก็เล่นเร็วทันที รีบขว้างบอลให้โรเบิร์ตสัน ที่รู้งานสปรินท์ตัวไป แล้วจ่ายเร็วให้มาเน่ ก่อนที่มาเน่จะเล่นกับซาลาห์ และซัดเข้าไปในจังหวะสุดท้าย
จากอลิสซอน หน้าประตูฝั่งตัวเอง จนถึงประตูฝั่งคู่แข่ง ลิเวอร์พูลใช้การขึ้นเกมแค่ 15 วินาทีเท่านั้น เปลี่ยนจากโดนบุกเป็นประตู นี่คือการโต้กลับเร็วที่เป็นไม้ตายก้นหีบของทีมหงส์แดงชุดนี้เลย ซึ่งน่าทึ่ง เพราะทีมที่ตั้งใจจะเล่นเกมสวนกลับเร็วในนัดนี้คือเชฟฯยู แต่ไปๆมาๆกลับเป็นหงส์ที่ได้ประตูจากลูกโต้กลับซะอย่างนั้น
ตอนนี้อลิสซอน กลับมาอยู่ในร่างที่สมบูรณ์แบบแล้ว ซูเปอร์เซฟเหมือนเดิมไม่มีเปลี่ยน นัดนี้คลีนชีทได้เกมที่ 5 ติดต่อกัน และยังมีส่วนกับเกมรุกของทีมอีกด้วย
12) เกมนั้นเอาต์คลาสและลิเวอร์พูลไม่มีอะไรต้องกังวลใจเลย แม้จะชนะแค่ 2-0 แต่ทุกอย่างข่มกว่ากันหมด โดยเกมนี้ลิเวอร์พูลต่อบอลไปมาระหว่างนักเตะถึง 954 ครั้ง เป็นเกมที่มีการการต่อบอลกันมากที่สุด ของสโมสรพรีเมียร์ลีกในฤดูกาลนี้ คือเชฟฯยู ไม่มีอะไรที่จะมาคุกคามได้เลย
13) ก่อนจบเกมมีบรรยากาศน่ารักเล็กๆเกิดขึ้น เมื่อแฟนลิเวอร์พูลก็ร้องเพลงแสดงความยิ่งใหญ่ของทีม เราได้แชมป์ยุโรป เราได้แชมป์ลีก เรายิ่งใหญ่ Allez Allez Allez ก็ว่ากันไป ทีนี้แฟนทีมเยือนเชฟฯยู ก็เลยร้องเพลงตอบโต้ว่า
"Champions of league One, you’ll never sing that" - พวกกูได้แชมป์ลีกวัน พวกแกคงไม่เคยร้องเพลงนี้อ่ะเด่ะ
ซึ่งก็จริงของแฟนเชฟฯยู เพราะในประวัติศาสตร์ลิเวอร์พูลไม่เคยได้แชมป์ระดับลีกวันจริงๆ (เพราะไม่เคยหล่นชั้นไปไกลถึงขนาดนั้น) ส่วนเชฟฯยูไนเต็ด เคยได้แชมป์ลีกวันมาแล้ว 1 สมัย นี่เป็นโทรฟี่ที่ลิเวอร์พูลไม่เคยได้ ซึ่งนี่เป็นมุกจิกกัดตัวเองเอาฮา เรียกเสียงหัวเราะได้แอนฟิลด์ได้ไม่น้อยเลยทีเดียว
14) ท้ายเกมมีประเด็นที่น่าคิดดี คือนัดนี้ด้วยความที่เกอิต้า เจ็บกะทันหัน คล็อปป์เลยต้องเรียกตัวเยาวชน เนโค วิลเลียมส์ ขึ้นมาเป็นตัวสำรองแทน
แปลว่าตัวสำรอง 7 คนในซุ้มมี อดัม ลัลลาน่า, ดิว็อค โอริกี้, เคอร์ติส โจนส์,เนโค วิลเลียมส์ ,แนท ฟิลลิปส์ และ ฮาร์วีย์ เอลเลียตต์
ตัวที่ต้องใช้แน่ๆคือซีเนียร์ 2 คน คือลัลลาน่า กับ โอริกี้ จุดน่าสนใจอยู่ตรงนี้คือโควต้าอีก 1 ตำแหน่ง จะเป็นโอกาสของเยาวชนคนใดคนหนึ่งลงเล่น ซึ่งตามหลักแล้ว เมื่อลิเวอร์พูลนำ 2-0 เกมจบไปแล้ว ช่วง 5-10 นาทีสุดท้าย จะส่งดาวรุ่งลงสนามสักคน ก็ไม่ใช่เรื่องเสียหาย พวกเขาจะได้มีเกียรติประวัติได้เล่นกับทีมชุดใหญ่ในพรีเมียร์ลีกด้วย
เคอร์ติส โจนส์เคยเป็นสำรองในพรีเมียร์ลีก 1 นัด (เกมกับบอร์นมัธ), อีก 3 คน เอลเลียตต์, เนโค วิลเลียมส์ และ แนท ฟิลลิปส์ ยังไม่เคยได้ลงเล่นในพรีเมียร์ลีกเลยแม้แต่นัดเดียว
แต่สุดท้ายคล็อปป์ก็ไม่อยากส่งใครลงเลย เชื่อว่ากับเอลเลียตต์เขาคงไม่อยากส่งลงด้วยซ้ำ ก่อนจำใจส่งลงด้วยเวลาแค่ 37 วินาที ไม่มีโอกาสสัมผัสบอลเลยสักครั้งเดียว
ผมสังเกตหลายเกมแล้วว่า ในขณะที่ผู้จัดการทีมอื่น จะให้โอกาส 5-10 นาที กับดาวรุ่งหน้าใหม่ๆตลอด แต่คล็อปป์จะไม่ค่อยทำแบบนั้น คือตัวสำรองมักจะเป็นนักเตะซีเนียร์ ส่วนดาวรุ่งมีชื่อในซุ้มก็จริง แต่ไม่ได้ลง โดยจะไปลงเอาในบอลถ้วยมากกว่า
พยายามตีความในไอเดียของคล็อปป์ ถ้าให้เดา คือคล็อปป์ไม่อยากให้เสียระบบในทีม หมายถึงนักเตะซีเนียร์ตัวสำรองจะคิดยังไง ตัวเองก็รอโอกาสเหมือนกัน แต่พอจะส่งลงสนามกลับเลือกดาวรุ่ง
นอกจากนั้น การให้ดาวรุ่งรอคอยโอกาสของตัวเองอย่างอดทน จะเป็นการเห็นคุณค่าของการได้ลงสนาม ว่ามันยิ่งใหญ่แค่ไหน และเมื่อได้ลงเล่น นั่นแปลว่าผู้จัดการทีมมั่นใจจริงๆ ว่าคุณมีศักยภาพสูงพอแล้ว ไม่ใช่ส่งลงเล่นเพื่อให้ซึมซับบรรยากาศแค่นั้น
15) แมน ออฟ เดอะ แมตช์เกมนี้ BBC ยกให้จอร์แดน เฮนเดอร์สัน ได้รางวัลไป ส่วนสกาย สปอร์ต ยกให้ซาดิโอ มาเน่ ต่างคนต่างมุมมอง
สกาย สปอร์ต ระบุว่า มาเน่มีส่วนกับเกมตลอด ยิง 4 เข้ากรอบ 3 ได้ 1 ประตู และเลี้ยงกระชากผ่านคู่แข่งได้ถึง 5 หน สูงสุดในสนาม ก็คู่ควรกับการเป็นแมน ออฟ เดอะ แมตช์ แต่ BBC ก็บอกว่า เฮนเดอร์สันนัดนี้ จ่ายบอลเข้าเป้าถึง 131 ครั้ง (92.4%) และสัมผัสบอลถึง 140 ครั้ง คือทุกการขึ้นเกม ลิเวอร์พูลจะเซ็ตที่เขาตลอดเลย แม้จะไม่ยิงหรือแอสซิสต์แต่ก็เด่นมาก
ซึ่่งก็คงไม่มีใครถูกใครผิด เพราะทั้งมาเน่ และเฮนเดอร์สันเล่นดีจริงๆ และรวมถึงอีกหลายคนที่เด่นมาก ทั้งโม ซาลาห์ และจินี่ ไวจ์นัลดุม
16) จบเกมที่แอนฟิลด์ ลิเวอร์พูลชนะไป 2-0 แบบไม่ยากนัก สถิติทุกอย่างข่มหมด ครองบอลมากกว่า 75%-25% โอกาสยิง 19-3 ไม่มีช่วงไหนที่ต้องหวาดวิตกเลย
อีกสถิตินึงที่น่าทึ่งมาก คือนายทวารดีน เฮนเดอร์สัน ทั้งเกมจ่ายบอลเข้าเป้าแค่ 11.1% ไม่เคยเห็นนักเตะคนไหน สถิติจ่ายบอลเข้าเป้าต่ำขนาดนี้ นั่นเพราะ เวลาเขาสาดบอลยาวจากแดนตัวเอง ก็โดนฟาน ไดค์ กับ โกเมซ เก็บกินหมด ไม่มีครั้งไหนที่กองหน้าเชฟฯยู จะเอาชนะเซ็นเตอร์แบ็กของลิเวอร์พูลได้เลย
17) ชัยชนะเกมนี้ ทำให้ลิเวอร์พูลมีคะแนนเพิ่มเป็น 58 แต้ม ทิ้งห่างอันดับ 2 เลสเตอร์ถึง 13 คะแนนเต็มๆ
และอย่างที่ผมบอกไว้เสมอ ตั้งแต่วีกก่อนแล้ว ว่าโอกาสพลิกมันยากมากแล้ว คือใช่ มันเคยมีเคสที่นิวคาสเซิลนำแมนฯยู 12 แต้ม แล้วโดนกลับมาแซงได้ แต่นั่นคู่แข่งคือแมนฯยูไนเต็ดที่แกร่งทั่วแผ่น และนิวคาสเซิลก็มีกุนซือที่คุมอารมณ์ได้ไม่ดีอย่างเควิน คีแกน
แต่ตอนนี้มันไม่ใช่อย่างนั้น ลิเวอร์พูลมีคล็อปป์ ไม่ใช่คีแกน และคู่แข่งที่เหลือทั้งหมด ก็ไม่มีทีมไหนที่แกร่งสุดๆอย่างทีมปีศาจแดงในยุคเฟอร์กูสันอีกด้วย
ดังนั้นการจะให้ลิเวอร์พูลมาแพ้ 4-5 นัด ในช่วง 18 เกมที่เหลือว่ากันแฟร์ๆคือ มันไม่มีมุมเกิดขึ้นได้เลย
18) สำหรับนัดต่อไป ลิเวอร์พูลจะลงเล่นในเอฟเอคัพ เจอกับเอฟเวอร์ตัน ที่แอนฟิลด์วันอาทิตย์นี้ เวลา 23.01 น. ตามเวลาไทย
ทำไมต้องมีติ่ง 1 นาที? สาเหตุเพราะเกมเอฟเอคัพ สุดสัปดาห์นี้ทุกคู่ จะมีติ่ง 1 นาทีทุกเกมก่อนเริ่มเตะครับ โดยทางสมาคมฟุตบอลอังกฤษ ต้องการใช้ 1 นาทีนี้ ให้แฟนบอลทั่วประเทศ ได้ตระหนักถึงประเด็นสุขภาพจิต
คือเป็น Gimmick ให้เห็นว่า ทุกๆวัน คนเราควรตรวจสอบสภาพจิตใจตัวเอง สัก 1 นาทีเสมอ ให้เวลาตัวเองได้อยู่กับจิตใจตัวเอง โดยไม่ต้องไปคิดถึงเรื่องอื่นๆใด
คืออย่าทำงาน เรียนหนังสือ หรือใช้ชีวิตอย่างเดียว โดยไม่หันมาทบทวนกับจิตใจตัวเองว่า เรายังไหวอยู่หรือไม่ และต้องการปรึกษาใครในเรื่องไหนหรือเปล่า
ดังนั้นเกมระหว่างลิเวอร์พูลกับเอฟเวอร์ตัน จะเริ่ม 16.01 ที่อังกฤษ และ 23.01 ที่ไทยครับ ซึ่งหลังเกมเอฟเอคัพ เรามาวิเคราะห์หลังเกมกันเช่นเคยครับผม
#Liverpool
โฆษณา