6 ม.ค. 2020 เวลา 12:17 • กีฬา
ดาวรุ่งยกทีม แต่โค่นเอฟเวอร์ตันที่ส่งตัวใหญ่ยกเซ็ตได้ นี่คือหนึ่งในเกมเมอร์ซีไซด์ดาร์บี้ ที่มีสตอรี่ให้พูดถึงมากมายจริงๆ และบทสรุปคือชัยชนะอันสวยงามของลิเวอร์พูล
นัดนี้เป็นจุดเริ่มต้นของอะไรหลายๆอย่าง ทั้งการประเดิมสนามของนักเตะตัวใหม่ , การได้เห็นว่าใครบ้างที่หงส์แดงจะฝากความหวังเอาไว้ได้ ,รวมถึงประตูแรกอันสุดงดงามของเคอร์ติส โจนส์
นี่คือบทสรุป 16 ข้อ จากเกมเอฟเอคัพ รอบ 3 ที่สนามแอนฟิลด์
1) ก่อนอื่นต้องบอกว่า "ตกใจ" เมื่อเห็นไลน์อัพของลิเวอร์พูล เพราะไม่รู้ว่าเจอร์เก้น คล็อปป์ สวมหัวใจสิงห์มาจากไหน ขนดาวรุ่งลงเยอะขนาดนั้น แล้วก็พักแกนหลักไว้ทั้งทีม ทั้งๆที่น่าจะรู้แน่ๆ ว่าเอฟเวอร์ตันเขาจัดเต็มแน่ คือเกมเมอร์ซีไซด์ดาร์บี้ ยังไงมันก็มีศักดิ์ศรีของมัน ใจแวบแรกคือ จัดตัวแบบนี้ หงส์มีสิทธิ์โดนกดคาบ้านได้เลยนะ
ก่อนเกมคล็อปป์ให้สัมภาษณ์ว่า จัดตัวแบบนี้เขาคิดดีแล้ว และมั่นใจในตัวนักเตะทุกคน ตอนแรกเข้าใจว่าพูดตาม Pattern ไปแบบนั้นเอง แต่พอดูในเกมแล้วจึงเข้าใจว่า คล็อปป์หมายถึงอย่างนั้นจริงๆ เขามั่นใจในตัวนักเตะทุกคนจริงๆ
2) ลิเวอร์พูลเปลี่ยนถึง 9 ตัว จากเกมชนะเชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด นัดล่าสุด โดยเก็บไว้แค่ 2 คน คือเจมส์ มิลเนอร์ (จากกองกลาง มาเล่นแบ็กซ้าย) และ โจ โกเมซ รับหน้าที่เป็นเซ็นเตอร์แบ็กตัวหลัก ที่เหลืออีก 9 ตัว ขนดาวรุ่งและตัวสำรอง ลงสนามพร้อมหน้าพร้อมตา
3) ตรงกันข้ามสิ้นเชิงกับเอฟเวอร์ตัน ที่เปลี่ยนผู้เล่นแค่ 2 ตัว จากเกมแพ้แมนฯซิตี้ 2-1 และเก็บถึง 9 คนในนัดนั้น เอามาลงนัดนี้ คือพวกตัวหลัก ริชาร์ลิซอน, ลูก้า ดีญ, เชมัส โคลแมน, เยอร์รี่ มีน่า, โดมินิค คัลเวิร์ต-เลวิน ลงกันทุกตัว คือจัดเต็มจริงๆ
4) ไฮไลท์เกมนี้คือทาคุมิ มินามิโนะ สตาร์ชาวญี่ปุ่นที่ซื้อมาจากซัลซ์บวร์ก พร้อมลงเล่นแล้ว และคล็อปป์ส่งเป็นตัวจริงทันที ซึ่งแน่นอนมีความคาดหวังว่า เขาจะสร้างความแตกต่างได้ทันที แต่สิ่งที่เห็นนัดนี้คือ มันไม่ง่ายขนาดนั้น มินามิโนะ มีทักษะที่โอเค การครองบอลเนียนตา อยู่ในระดับเดียวกับนักเตะพรีเมียร์ลีก แต่ปัญหาคือเขาเล่นได้อย่างอึดอัดมาก และโดนเปลี่ยนตัวออก นาทีที่ 70
คำถามคือ ทำไมมินามิโนะ ถึงเล่นไม่ออกล่ะ? ผมว่ามี 2 ปัจจัยสำคัญ
ข้อแรก คือตำแหน่งที่มินามิโนะยืนในสนามคือกองหน้าตัวเป้า นัดนี้ไลน์อัพก่อนแข่ง เขียนว่ามินามิโนะเล่นกลางรุก แต่ลงเล่นจริงๆ เขายืนตัวเป้าเลย โอริกี้โยกไปซ้าย ฮาร์วีย์ เอลเลียตต์ โยกไปขวา มินามิโนะยืนกลางแบบฟีร์มีโน่
คือถามว่าเคยเล่นไหม ใช่ เขาเคยเล่นหน้าเป้าอยู่ แต่ไม่บ่อย ในซีซั่นนี้ กับซัลซ์บวร์ก ในลีกออสเตรีย มินามิโนะลงเล่นตัวจริงไป 19 เกมทุกรายการ เขาเล่นหน้าเป้าแค่ 1 นัดเท่านั้น (ปีกขวา 15 นัด, ปีกซ้าย 2 นัด, กลางรุก 1 นัด, หน้าเป้า 1 นัด) มันแปลว่า ตำแหน่งหัวหอกเบอร์ 9 มันไม่ใช่อะไรที่เขาคุ้นเคยเลย
มินามิโนะยังต้องเรียนรู้หลายอย่าง ถ้าจะยืนตรงนี้ เขาต้องลงมาล้วงบอลมากกว่านี้อีก นัดนี้เขามีส่วนร่วมน้อยมาก ได้สัมผัสบอลแค่ 33 ครั้ง น้อยสุดในทีม ถ้าไม่นับอาเดรียน กับมิลเนอร์ ที่โดนเปลี่ยนตัวออกตั้งแต่นาทีที่ 8 และจ่ายบอลเข้าเป้าแค่ 22 ครั้ง น้อยที่สุดถ้าไม่นับอาเดรียน กับมิลเนอร์ เช่นเดียวกัน
คำถามคือ เมื่อมินามิโนะถนัดปีกขวาที่สุด ทำไมคล็อปป์ไม่จับเขายืนปีกขวาล่ะ จุดนี้มองได้ว่า คล็อปป์ไม่ได้คิดจะใช้งานเขาตรงนั้นน่ะสิ ปีกขวาของหงส์ตัวหลักถ้าเล่นในระบบ 4-3-3 คือโม ซาลาห์ มินามิโนะคงยากจะสอดแทรก ขณะที่ชุดดาวรุ่ง ก็เป็นฮาร์วีย์ เอลเลียตต์ นักเตะที่คล็อปป์โปรดปราน นี่คืออนาคตของสโมสร คล็อปป์ก็คงอยากใช้เอลเลียตต์ในตำแหน่งที่เหมาะที่สุดกับตัวเอง
ดังนั้นมินามิโนะมาลิเวอร์พูล ในฐานะผู้เล่นที่เล่นได้ทุกตำแหน่งในแนวรุก ดังนั้นเขาต้องปรับตัวกับการเล่นตำแหน่งอื่นด้วย วันนี้เล่นกองหน้าตัวเป้า นัดหน้าอาจต้องเล่นปีกซ้าย ทุกอย่างต้องศึกษากันไป
5) อีกเหตุผลนอกเหนือจากเรื่องตำแหน่ง คือ เพื่อนไม่ส่งบอลให้เขา
ตอนแรกมีช็อตที่มินามิโนะ เรียกบอลอยู่ แต่อดัม ลัลลาน่าไม่ส่งให้และเลือกจะยิงเองเฉยเลย แถมหลุดกรอบไปอีก ก็รู้สึกว่า เอ๊ะ ลัลลาน่า ทำไมไม่ส่งล่ะ แต่ทว่าในจังหวะอื่นๆ เราเห็นได้ว่า ไม่ได้มีแค่ลัลลาน่าคนเดียวที่ไม่ส่งให้ แต่คนอื่น อย่างช็อตนึง มินามิโนะ ขอบอลจาก ยาสเซอร์ ลารูซี่ ก็ไม่ได้ โดนจ่ายให้ตัวอื่น
เมื่อไปดูจากภาพช้า ปัญหาของมินามิโนะคือตำแหน่งของเขายืนในจุดที่ยากเกินไป ครั้งที่ขอบอลแล้วไม่ได้ คือมินามิโนะเอาตัวเองไปใกล้กองหลังมากจริงๆ คือต่อให้ส่ง ก็โดนตัดได้ (ลัลลาน่าอาจคิดแบบนี้) แต่หลายจังหวะ ถ้าเขาอยู่ในตำแหน่งที่ถูก เพื่อนก็จะส่งบอลให้ อย่างช่วงกลางครึ่งแรก ที่เขาจ่ายให้เอลเลียตต์ แล้ววิ่งทำทางทันที เอลเลียตต์ก็ชิ่ง 1-2 ให้ จนเรียกเตะมุมได้
ตัวอย่างที่ชัดเจน ลองย้อนไปดูนาทีที่ 19 ในเกม จะมีช็อตที่มินามิโนะเรียกบอลจากชิริเบย่า ทั้งๆที่โดนผู้เล่นเอฟเวอร์ตันบัง 2 คน ซึ่งชิริเบย่าก็จ่ายนะ แต่ก็โดนสกัดได้ จากนั้นบอลมาเข้าทางเคอร์ติส โจนส์ ซึ่งมินามิโนะก็ทำแบบเดิมอีก คือขอให้ส่งมา ทั้งๆที่มี 2 ผู้เล่นเอฟเวอร์ตันขวางไว้เตรียมสกัดอยู่แล้ว ซึ่งโจนส์ก็เลยส่งไม่ได้ จ่ายให้ลัลลาน่าแทน
คือไม่ใช่ไม่อยากส่ง แต่มินามิโนะยังยืนตำแหน่งไม่ถูก ส่งไปโอกาสเสียมีมากกว่าโอกาสได้
สรุปใน 70 นาทีที่มินามิโนะอยู่ในสนาม คือเห็นชัดว่าทักษะดี จับบอลสมูธ แต่ยังต้องเรียนรู้แนวทางการเล่นของลิเวอร์พูลอยู่ ซึ่งไม่ใช่เรื่องใหญ่ นักเตะใหม่ทุกคนต้องปรับตัวทั้งนั้น
แต่ก็นั่นแหละ เรายังตัดสินอะไรไม่ได้ เพราะอย่าลืมว่านี่คือทีมเด็ก ถ้าหากมินามิโนะ ได้เล่นกับผู้เล่นที่เซนส์บอลระดับสูงแบบมาเน่ ซาลาห์ ฟีร์มีโน่ เขาอาจจะติดเครื่องไปเลยก็ได้ ต้องรอดูต่อไปก่อน
6) ในเกมนี้อีกคนที่เราต้องพูดถึงกันคือ โจ โกเมซ
ตั้งแต่เดยัน ลอฟเรน บาดเจ็บ แล้วโกเมซ ยืนเป็นตัวจริง เขาลงไป 6 นัด ลิเวอร์พูลเก็บคลีนชีทได้ 5 และมีหลุดเสียประตูนัดเดียวคือ เกมชนะมอนเตอร์เรย์ 2-1 จุดที่น่าสนใจคือ ไอ้ 5 เกมที่คลีนชีทนั้น โกเมซ ยืนคู่ ฟาน ไดค์ทั้งหมด ส่วนอีก 1 เกมที่เสียประตู นัดนั้นฟาน ไดค์ไม่ได้ลง
มันเลยเกิดคำถามว่าที่คนบอกว่าโกเมซฟอร์มดี เก็บคลีนชีทได้ เป็นเพราะเขาเล่นดีด้วยตัวเอง หรืออาศัยใบบุญจากฟาน ไดค์? นัดนี้โกเมซ ต้องพิสูจน์ตัวเอง ว่าถ้าเขาเล่นคู่กับเซ็นเตอร์แบ็กคนอื่น จะยังทำให้ทีมไม่เสียประตูได้อยู่ไหม
ในช่วงแรก การยืนของโกเมซ กับแนท ฟิลลิปส์ ดูมีความสับสนอยู่บ้าง ปล่อยให้เอฟเวอร์ตันหลุดมาจนได้ยิงหลายที แต่ก็ยังดี ที่เอาตัวรอดได้ และกว่าจะกลับมาโฟกัสได้ ก็คือช่วงครึ่งหลังแล้ว
เกมนี้โกเมซ ถือว่าทรงดี และสอบผ่าน ยิ่งหลังจากเจมส์ มิลเนอร์บาดเจ็บต้องเปลี่ยนตัวออกไป ทำให้เขาเป็นผู้เล่นที่มีดีกรีที่สุดในแผงหลัง ซึ่งเจ้าตัวทำหน้าที่ได้ดี เว็บ Whoscored ให้คะแนน 7.43 เป็นรองแค่ อาเดรียน กับ เคอร์ติส โจนส์ เท่านั้นในนัดนี้
7) เกมนี้พอเจมส์ มิลเนอร์เจ็บไปตั้งแต่นาทีที่ 8 ทำให้คล็อปป์ต้องส่งยาสเซอร์ ลารูซี่ ลงสนาม นั่นแปลว่ากองหลังลิเวอร์พูล 4 ตัว มีแต่วัยละอ่อน (ลารูซี่ 19, โกเมซ 22, ฟิลลิปส์ 22, วิลเลียมส์ 18) ซึ่งก็แน่นอน เด็กก็คือเด็ก ยังมีความ Raw ความดิบให้เห็น
8 ) เนโก้ วิลเลียมส์ แบ็กขวาชาวเวลส์ สไตล์ของเขาคล้ายกับเทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ คือมีพลังวิ่งขึ้นลง และครอสบอลได้ดี (ซีซั่นนี้ ครอสให้โอริกี้ ยิงอาร์เซน่อล ในคาราบาวคัพมาแล้ว) แบบนี้ น่าจะพอโรเทชั่นกับอเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ได้ในบอลถ้วย
9) ส่วนลารูซี่ มีความเร็ว แต่ยืนตำแหน่งมั่วไปบ้าง คือชอบดันแล้วลงไม่ทัน ช่วงกลางครึ่งหลัง เขาปล่อยให้วัลคอตต์หลุดไปริมเส้นดื้อๆเลย โชคดีที่วัลคอตต์จ่ายจังหวะสุดท้ายแรงเกินไม่งั้นลิเวอร์พูลจะโดนนำไปแล้ว เช่นเดียวกับแนท ฟิลลิปส์ อาจมีข้อดีที่สูงใหญ่ (190 ซม.) แต่ชอบหลุดตำแหน่งเหมือนกัน แต่ก็นะ เกมแรกในสีเสื้อลิเวอร์พูล ก็ต้องให้โอกาสเรียนรู้กันไป
10) นัดนี้แมน ออฟ เดอะ แมตช์ ทุกสำนักให้เคอร์ติส โจนส์ มีคอมเมนต์ต่างชาติบอกเหมือนกันว่า เกมนี้ถ้าไม่นับลูกยิงสุดสวย โจนส์เหมือนจะไม่ได้ทำอะไรมากเลย แต่จริงๆถ้าไปดูสถิติ เขาจ่ายบอลเข้าเป้าถึง 88.6% แม่นยำที่สุดในสนาม คือเป็นกองกลางตัวใหญ่ บังบอลดี และเล่นผิดพลาดน้อย แน่นอนว่าเขาสามารถพัฒนาได้มากกว่านี้อีก
11) อีกคนที่ถ้าได้รับแมน ออฟ เดอะ แมตช์ ก็ไม่น่าเกลียดเลย คือนายทวารอาเดรียน ในฤดูกาลนี้ เมื่่อไหร่ก็ตามที่เขาลงเล่น หงส์แดงชนะทุกครั้ง (มีเกมเสมอเชลซีที่ยูฟ่า ซูเปอร์คัพ นัดเดียวที่เสมอในเวลา 120 นาที)
จริงอยู่อลิสซอน เบ็คเกอร์ คือมือ 1 ของโลก แต่อาเดรียนก็ทำให้แฟนบอลอุ่นใจได้ทุกครั้งที่ลงเล่น เกมนี้ เขาเซฟจะจะไปสามหน ลูกยิงของคัลเวิร์ต-เลวิน, ลูกโหม่งของเมสัน โฮลเกต และ ลูกยิงตามน้ำของริชาร์ลิซอน คือช่วยหงส์ไม่ให้ตามหลังในครึ่งแรก
อาเดรียนมีสัญญากับหงส์ถึงปี 2021 และฟอร์มแบบนี้โอกาสจะต่อไปอีกสัก 1-2 ซีซั่นก็มีโอกาสเกิดขึ้นได้แน่นอน
12) สรุปในเกมที่หงส์ใช้ Youngsters ลงเล่น ถ้าให้ตัดเกรดด้วยสายตาตัวเองผมมองแบบนี้ครับ
มีคุณสมบัติของสตาร์ - ฮาร์วีย์ เอลเลียตต์
1
ปั้นเป็นตัวหลักได้ - เคอร์ติส โจนส์,โจ โกเมซ
พอไหว - เนโก้ วิลเลียมส์
ต้องลุ้นต่อ - ยาสเซอร์ ลารูซี่, แนท ฟิลลิปส์, เปโดร ชิริเบย่า
13) จริงๆเอฟเวอร์ตันพวกเขาเป็นทีมที่ดี มีโค้ชที่เก่ง คือคาร์โล อันเชล็อตติ และถ้าดูจากทรงบอล จากที่เคยแพ้รัว แพ้เละในยุคมาร์โก ซิลวา พออันเช่มาคุมทีม ทิศทางก็ดีขึ้น (ชนะเบิร์นลีย์, ชนะนิวคาสเซิล, แพ้แมนฯซิตี้ ,แพ้ลิเวอร์พูล) คือเอาจริงๆ 2 นัดหลังสุดที่แพ้ คือทีมท็อปของลีกอยู่แล้ว มันก็ไม่ใช่เรื่องที่ต้องอับอายอะไร
14) ส่งท้ายที่สาเหตุการจัดตัวที่ต่างกัน ของลิเวอร์พูล (ชุดเด็ก) กับ เอฟเวอร์ตัน (ชุดใหญ่) นั่นคือเป้าหมายที่ต่างกันนั่นเอง
ลิเวอร์พูลต้องการให้ตัวหลักสดที่สุดในเกมพรีเมียร์ลีก เพราะเป้าหมายของหงส์แดงคือแชมป์ลีกสูงสุดครั้งแรกในรอบ 30 ปี ดังนั้นพวกเขาต้องโฟกัสที่ถ้วยนั้นก่อน ถ้ามีช่องให้นักเตะได้พักร่างกาย คล็อปป์จะทำแน่นอน ซึ่งก็คือในเกมนี้เอง
ส่วนเอฟเวอร์ตัน จะไปลุ้นท็อปโฟร์ก็อาจจะยากแล้ว (ห่างอันดับสี่ 11 แต้ม) ดังนั้นพวกเขาจำเป็นต้องจริงจังที่สุดกับรายการที่เหลือ ก็คือเอฟเอคัพ อันเชล็อตติเลยส่งชุดใหญ่มานั่นเอง
เพียงแต่เกมนี้ทุกอย่างไม่เป็นไปอย่างที่อันเช่ต้องการ เพราะทีมใหญ่ของเขา โค่นทีมเล็กของลิเวอร์พูลไม่ลง
15) บทสรุปนัดนี้ เท่ากับว่าเจอร์เก้น คล็อปป์ได้ทุกอย่างที่ตัวเองต้องการ
กลยุทธ์การส่งเด็กลงเล่นได้ผล มันเป็นการกระตุ้นเด็กๆด้วยว่า ในพรีเมียร์ลีก กับแชมเปี้ยนส์ลีก พวกนายอาจไม่มีโอกาสได้ลง ดังนั้นโอกาสเดียวคือเอฟเอคัพ ถ้าหากชนะได้ ก็ได้ลงเล่นอีก แต่ถ้าแพ้ทุกอย่างก็จบลงแค่นี้ ดังนั้นการส่งเด็กยกเซ็ต เป็นการกระตุ้นให้ดาวรุ่งทุ่มเทสุดๆ เพื่อโอกาสลงเล่นในนัดต่อไป
นอกจากนั้น ยังเป็นการเซฟพลังงานของตัวหลักอีกด้วย คู่แข่งเกมต่อไปของลิเวอร์พูลคือสเปอร์ส ซึ่งในเอฟเอคัพ สเปอร์สส่งตัวหลักลงเล่นยกเซ็ต ซน ฮึง-มิน, เดเล่ อัลลี่, ลูคัส มูร่า, แยน แฟร์ต็องเก้น, โทบี้ อัลเดอร์ไวเรลด์ คือจัดหนักไม่พักใครเลย แถมยังไม่ชนะมิดเดิลสโบรห์อีก เท่ากับว่านัดต่อไปที่จะเจอหงส์ ตัวหลักลิเวอร์พูลได้พักหมด ส่วนสเปอร์สใช้แรงมาจากเกมนี้
16) ลิเวอร์พูลจะกลับไปโหมดพรีเมียร์ลีกเต็มตัวอีกรอบ ขณะที่กลุ่มดาวรุ่งจะเตรียมพร้อมสำหรับคู่แข่งในรอบ 4
โปรแกรมของหงส์แดงเป็นแบบนี้ครับ ในเดือนมกราคม
พรีเมียร์ลีก / เสาร์ 11 มกราคม - สเปอร์ส (เยือน)
พรีเมียร์ลีก / อาทิตย์ 19 มกราคม - แมนฯยูไนเต็ด (เหย้า)
พรีเมียร์ลีก / พฤหัสบดี 23 มกราคม - วูล์ฟแฮมป์ตัน (เยือน)
เอฟเอคัพ รอบ 4 / อาทิตย์ที่ 26 มกราคม
พรีเมียร์ลีก / พุธ 29 มกราคม - เวสต์แฮม (เยือน)
อีก 5 เกมที่เหลือในเดือนมกราคมของหงส์แดง จะได้เห็นทั้งชุดใหญ่ และชุดเล็กออกมาวาดลวดลายแน่นอน
สอง 2 ทีมสองอารมณ์จริงๆ ชุดใหญ่พลังเหนือชั้น เอาชนะคู่แข่งด้วยศักยภาพที่เหนือกว่า
ส่วนชุดเล็ก ทักษะเป็นรองแต่ใจสู้ ลุ้นกันนาทีต่อนาที ได้เฝ้าดูดาวรุ่งค่อยๆเรียนรู้และเติบโตขึ้นมา
ฤดูกาล 2019/20 เป็นปีที่แฟนลิเวอร์พูลเชียร์บอลแบบหลายอารมณ์ดีเหลือเกิน
#Liverpool
โฆษณา