7 ม.ค. 2020 เวลา 02:18 • ประวัติศาสตร์
[สรุป] An Inconvenient Truth หนังสารคดีโลกร้อนรางวัล Oscar ปี 2006 ที่ทุกคนควรย้อนไปดูหลังจากเหตุการณ์ไฟป่าที่ออสเตรเลียและแอมะซอน
สถานการณ์ไฟป่าครั้งใหญ่ที่ออสเตรเลียตอนนี้คงเป็นประเด็นร้อนที่ทุกสื่อต่างพูดถึง ถ้านับรวมเหตุการณ์ป่าแอมะซอนของบราซิลเมื่อปี 2019 ด้วยแล้ว ตอนนี้ป่าของโลกคงหายไปเป็นพื้นที่เท่ากับประเทศใดประเทศนึงได้แล้วครับ
ผมก็เลยนึกไปถึงหนังสารคดีเรื่อง An Inconvenient Truth (2006) ที่โด่งดัง เมื่อ 14 ปีก่อน ซึ่งเป็นสารคดีที่นำ Speech ของ Al Gore นักการเมือง/นักสิ่งแวดล้อมของอเมริกา ที่พูดถึงปัญหาของโลกมารวบรวมและใส่ข้อมูลต่างๆและภาพเหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นจริงสนับสนุนเข้าไปด้วย
นอกจากจะได้รับรางวัล Oscar ในสาขาภาพยนตร์สารคดียอดเยี่ยม แล้วยังเป็นตัวปลุกกระแสรักษ์โลกในช่วงนั้นได้อย่างดี ผมเองจำได้เลยว่าอาจารย์เคยสั่งให้ดูสารคดีเรื่องนี้เพื่อไปสอบกลางภาคด้วย
วันนี้ก็เลยอยากจะพาทุกท่านย้อนเวลาไปดูสารคดีนี้กันอีกซักรอบ โดยผมจะสรุปเนื้อหาสำคัญๆมาให้ (บางประเด็นอาจจะตัดออกนะครับ) แล้วเรามาดูกันว่ามันน่ากลัวเหมือนกับข่าวไฟป่าที่เราเห็นกันอยู่ในทุกวันนี้หรือไม่
(ผมอาจจะแทรกเหตุการณ์ปัจจุบันเข้าไปเพื่อให้เห็นว่าปัญหามันกำลังเกิดขึ้นจริงตามที่สารคดีได้บอกไว้หรือไม่นะครับ)
0
An Inconvenient Truth เป็นภาพยนตร์เชิงสารคดีของผู้กำกับ Davis Guggenheim ที่นำเสนอถึงปัญหาโลกร้อน หรือ Global Warming โดยการตัดต่อเอา Speech ด้านของสิ่งแวดล้อมของ Al Gore (อัล กอร์) ควบคู่ไปกับข้อเท็จจริง และ ภาพเหตุการณ์รอบโลกที่แสดงให้เห็นถึงปัญหาดังกล่าว
1
หนังเริ่มขึ้นโดย Al Gore ใช้วิดีโอในการหาเสียงแคมเปญเลือกตั้งประธานาธิบดีในปี 2000 ในการแนะนำตัวพร้อมกับบอกว่า “I am Al Gore; I used to be the next President of United States.”
หรือแปลว่า “ผมคือ อัล กอร์ ผมคือคนที่ใครๆก็เคยมองว่าจะได้เป็นประธานาธิบดีคนต่อไป” ** ซึ่งคนที่ฟังอยู่ก็หัวเราะกันออกมา เพราะ Gore เคยเป็นถึงรอง ปธน. และเป็นตัวแทนของพรรคเดโมแครตในการลงสมัครเลือกตั้ง แต่พอพลาดไปก็หันมาเป็นนักสิ่งแวดล้อมอย่างจริงจัง
** ที่ Gore พูดแบบนี้ก็ไม่ผิดครับ ณ ตอนนั้นใครๆก็คิดว่าเค้าจะได้เป็นประธานาธิบดีคนต่อไปจริงๆ โดยขนาดผลการเลือกตั้งออกมาเค้าได้รับคะแนนเสียง (Popular Vote) สูงกว่า Bush ซะอีกครับ แต่จำนวน สส. ได้น้อยกว่า ด้วยระบบ Electoral Vote ที่ สส. เป็นคนเลือกปธน. ทำให้ Gore พลาดตำแหน่งไปแค่นิดเดียวเท่านั้น ในส่วนนี้ไว้ผมจะมาเล่ากลไกการเลือกตั้งของอเมริกาให้ฟังในอนาคตนะครับ
Al Gore
2
ถัดมา Gore ได้นำรูปภาพของโลกที่ถ่ายจากดาวเทียมบนอวกาศ ในอดีตเปรียบเทียบกับปัจจุบัน ทำให้เราเห็นว่า สภาพแวดล้อมต่างๆบนโลกนั้นเปลี่ยนไปมาก พื้นที่สีเขียวและพื้นที่สีขาวน้อยลง แสดงให้เห็นถึงธรรมชาติที่หายไป และธารน้ำแข็งที่ละลายจากปัญหาโลกร้อน
รวมไปถึงภาพถ่ายของสถานที่ต่างๆที่แสดงให้เห็นถึงปัญหาโลกร้อนอย่างชัดเจน เช่น ยอดเขาคีรีมันจาโร ที่เคยปกคลุมด้วยหิมะ แต่ตอนนี้กลับเหลือแค่ยอดเล็กๆในหน้าหนาวเท่านั้น
3
ประโยคเด็ดของ Speech ในสารคดีก็คือ “Global Warming is really not a political issue, so much as a moral one” หรือแปลว่าปัญหาโลกร้อนนี้ไม่ใช่เรื่องของการเมือง และก็ไม่ใช่เรื่องของจริยธรรม (ตั้งแต่ตรงนี้เป็นต้นไปผมใส่เอง Gore ไม่ได้พูดนะครับ 😂) แต่มันยิ่งใหญ่กว่านั้น เพราะเป็นปัญหาของสิ่งมีชีวิตทั้งหมดของโลก อย่างที่เราเห็นแล้วจากปัญหาไฟป่า
พร้อมกับขู่ว่าถ้ามนุษย์เราไม่สามารถลด ก๊าซเรือนกระจก (Greenhouse Gas) ได้ในเร็วๆนี้ปัญหาโลกร้อนจะรุนแรงขึ้นอย่างมาก
4
Greenhouse Gas ตัวนี้ยิ่งมีมากขึ้น โลกยิ่งร้อนเพราะจะทำให้อากาศที่ร้อนไม่สามารถระบายออกไปทางชั้นบรรยากาศได้ครับ คิดภาพง่ายๆว่าเรารับความร้อนมาจากดวงอาทิตย์ แล้วมีก๊าซตัวนี้เป็นฝามาครอบโลกไว้ทุกด้าน ทำให้ความร้อนไม่ระบายออก โลกเราก็จะร้อนขึ้นเรื่อยๆ
ซึ่งก๊าซเหล่านี้เกิดจากการใช้ทรัพยากรน้ำมันของมนุษย์ที่เพิ่มขึ้นสูงมากนับตั้งแต่เริ่มขุดออกมาใช้ในเครื่องจักรเครื่องยนต์ต่างๆอย่างแพร่หลาย
5
Gore จึงนำกราฟที่แสดงถึงอุณหภูมิของโลกในอดีตจนถึงปัจจุบันมาให้ดู เพื่อให้เราเห็นผลกระทบจากก๊าซเรือนกระจก และสิ่งที่พบก็คือกราฟมีลักษณะเป็น Upward Sloping หรือเพิ่มขึ้นเรื่อย และมีจุดสูงสุดที่ร้อนที่สุดอยู่ที่ปี 2005
ฟังดูไม่อันตรายใช่มั้ย เพราะมันก็ตั้ง 15 ปีที่แล้ว โลกน่าจะเย็นลง แต่อย่าลืม !! ว่าสารคดีเรื่องนี้ออกมาในปี 2006 !! แปลว่าข้อมูลที่มีก็แสดงให้เห็นแล้วว่าอุณหภูมิของโลกมันเพิ่มมาไม่หยุด แต่ที่มันหยุดเพราะข้อมูลมันมีแค่นั้น ซึ่งถ้าทำกราฟต่อจนถึงปัจจุบันนี้ ผมก็เขื่อว่าอุณหภูมิของโลกก็ทำ New High มาตลอดแน่นอน
6
ยิ่งอากาศร้อนมากเท่าไหร่ ภัยพิบัติต่างๆจะรุนแรงขึ้น โดยเฉพาะพายุ อย่างที่ผมเคยอธิบายแบบง่ายๆไปแล้วในช่วงของไต้ฝุ่นฮากิบิส (เดี๋ยวแปะลิ้งค์ให้ด้านล่างครับ) ว่าพายุนั้นเกิดจากความร้อนที่ระเหยเป็นไอ และสะสมจนกลายเป็นพายุในที่สุด
ดังนั้นโลกยิ่งร้อน พายุยิ่งเกิดง่าย และรุนแรง อย่างที่เราได้เห็นกันแล้วในปัจจุบัน โดยผมจะขอยกตัวอย่างในข้อถัดไปครับ
7
เหตุการณ์พายุที่ถูกนำมาพูดถึงในสารคดีก็คือพายุ Hurricane Katrina ที่เพิ่งเกิดสดๆร้อนๆในปี 2005 และทำให้มีผู้เสียชีวิตถึง 1,200 คน ซึ่งเป็นพายุ 1 ในพายุที่รุนแรงที่สุดในขณะนั้น
ซึ่ง Gore ก็ได้เตือนว่าถ้าเรายังไม่ปรับเปลี่ยนการใช้ชีวิต จะมีพายุลูกที่รุนแรงกว่านี้เกิดขึ้นมาอีกมากมายในอนาคต
และมันก็เกิดขึ้นจริง ยกตัวอย่างเช่น Hurricane Maria ในปี 2017 ที่มีผู้เสียชีวิตมากกว่า 3,000 คน และ พายุไต้ฝุ่นฮากิบิสที่รุนแรงมากๆ แต่โชคดีที่ไม่ได้ขึ้นฝั่งที่ญี่ปุ่น ไม่ยังงั้นเราอาจจะได้เห็นตัวเลขที่ไม่มีใครอยากเห็นกันก็ได้
8
ปัญหาถัดมาจากพายุ ก็คือน้ำแข็งขั้วโลกที่จะละลายลงครับ ในส่วนนี้ก็มีภาพและข้อมูลต่างๆในอดีตมาให้ดูว่าปริมาณน้ำแข็งที่บริเวณขั่วโลกของโลกเรานั้นมีปริมาณที่น้อยลง สอดคล้องกับระดับน้ำในมหาสมุทรที่เพิ่มสูงขึ้น
ซึ่งถ้าอุณหภูมิของโลกเพิ่มขึ้นในอัตราที่ Gore คาดเดาไว้ ระดับน้ำทะเลน่าจะสูงขึ้นถึง 20 ฟุต หรือประมาณ 6 เมตร (ตึก 2-3 ชั้นดีๆนี่เอง) เมืองใหญ่ๆในหลายประเทศก็จะจมลงสู่ใต้น้ำในไม่ช้านี้ โดยมีการทำกราฟฟิคให้ดูเหมือนกับที่หลายท่านน่าจะเรยเห็นจากข่าวที่บอกว่ากรุงเทพจะจมน้ำในอีก 10 ปีข้างหน้านั่นแหละครับ
ปัญหาที่ใหญ่กว่าเมืองจมน้ำก็คือประชากรจำนวนมากที่ต้องหนีออกจากพื้นที่ไปยังพื้นที่ที่สูงกว่านั้นจะสร้างความวุ่นวายโกลาหลอย่างมากแน่นอน
9
อีกปัญหานึงก็คืออัตราการตายของสิ่งมีชีวิตที่เกิดจากปัญหาโลกร้อนนั้นคาดว่าจะเพิ่มสูงขึ้นเป็นเท่าตัวในอีก 25 ปีข้างหน้า รวมไปถึงสิ่งมีชีวิตอีกกว่าหลายล้านสปีชี่ส์จะสูญพันธุ์จากปัญหานี้ด้วย
ในมุมมองจากสารคดีผมคิดว่าเค้าหมายถึงสัตว์หลายชนิดจะไม่สามารถปรับตัวเข้ากับอุณหภูมิที่สูงขึ้นได้และสูญพันธ์ุไปในที่สุด แต่จากเหตุการณ์ปัจจุบันนี้เราน่าจะได้เห็นสัตว์หลายชนิดที่สูญพันธุ์จากไฟป่าทั้งที่แอมะซอน และออสเตรเลียมากกว่าครับ
ถ้าไม่ถึงกับสูญพันธุ์ก็คงมีปริมาณลดลงจนใกล้สูญพันธุ์เช่นกัน ยิ่งพูดยิ่งเศร้า 😭😭
10
หลังจากที่มีแต่ความเลวร้ายมาตลอดชั่วโมงกว่าๆ Gore ก็ได้ปิดท้ายด้วยการบอกคนดูทุกคนว่าเรายังมีความหวังอยู่ เพราะเรายังสามารถปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภคเพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ พร้อมกับแนะนำให้ร่วมกันผลักดันปัญหานี้ให้เป็นวาระแห่งชาติ เพื่อเราจะได้ช่วยกันรักษาโลกใบนี้เอาไว้ให้ได้นานที่สุดครับ
ซึ่งหนังสารคดีนี้ก็เป็นจุดเปลี่ยนที่ทำให้หลายๆคนหลายๆองค์กรหันมาให้ความสนใจกับปัญหาโลกร้อนมากขึ้น จนมีการรณรงค์อยู่จนถึงทุกวันนี้ครับ
ก็เป็นอันจบ An Inconvenient Truth แบบพยายามกระชับที่สุดแล้ว 🤓🤓
ในตัวสารคดีเองไม่ได้พูดถึงปัญหาไฟป่ามากนัก แต่เราก็ได้เห็นกันแล้วว่า อากาศที่ร้อนขึ้น และแห้งแล้งยังเป็นสาเหตุให้เกิดไฟป่าที่รุนแรงมากๆถึง 2 ครั้งภายในระยะที่ห่างกันไม่ถึงปี
ซึ่งไฟป่าทั้งสองครั้งนี้อาจจะเกิดจากทั้งเรื่องของอุณหภูมิของโลกที่เปลี่ยนไป และความประมาทในการแก้ปัญหาของมนุษย์ แต่ผมเชื่อว่าเหตุการณ์นี้จะเป็นบทเรียนในอนาคตให้แต่ละประเทศหันมาระวังเรื่องไฟป่ากันมากขึ้น เหมือนกับที่ An Inconvenient Truth นี้ได้สร้างกระแสตื่นตัวให้กับคนในสังคมเมื่อ 14 ปีก่อนครับ
โดยตัวเราเองทุกคนก็เป็น 1 ในฟันเฟืองที่จะช่วยยืดอายุของโลกใบนี้และช่วยกันลดปัญหาต่างๆในอนาคตได้ ไม่ว่าจะเป็นการลดการใช้ถุงพลาสติก, การประหยัดน้ำมัน, การปลูกต้นไม้ หรือการบริจาคเงินเพื่อช่วยเหลือปัญหาไฟป่าที่ออสเตรเลียในตอนนี้ครับ
สุดท้ายนี้ก็อยากจะฝากให้ช่วยๆกัน เพราะ ถ้าไม่เริ่มที่ตัวเราก่อน แล้วใครจะมาเริ่มให้เรา ลองเลือกทำซัก 1 วิธีก็ดีกว่าไม่ทำอะไรเลยนะครับ
สำหรับวันนี้สวัสดีครับ 🙂
ใครที่อ่านมาถึงตรงนี้จะกดไลค์ กดแชร์ให้กำลังใจแอดมิน ก็ไม่ว่านะครับ ชอบด้วย 😂😂
ส่วนในโพสต่อๆไปก็จะนำเรื่องน่าสนใจของหนังสือเล่มอื่นๆ รวมไปถึงเกร็ดความรู้ต่างๆ มาเล่าให้ฟังเรื่อยๆ สนใจก็กดติดตามเพจ “เล่า” ไว้เพื่อที่จะไม่พลาดเนื้อหาดีๆในอนาคต
ส่วนถ้าใครไม่อยากพลาดทุกโพสต์ของเพจ “เล่า” แอดมินแนะนำให้กด See First เอาไว้ด้วยครับ :)
ติดตามเรื่อง “เล่า” ผ่าน facebook ได้ที่
#เล่า #เล่าหนังสือ #เล่าความรู้ #unfold #ส่งเสริมการอ่าน #ส่งเสริมการเรียนรู้ #AnInconvenientTruth #GlobalWarming #AlGore #PrayforAustralia #Wildfires
โฆษณา