11 ม.ค. 2020 เวลา 03:17 • กีฬา
เรื่องราวคลาสสิค ของนักเตะอัจฉริยะ 2 คน เดล ปิเอโร่ กับ อินซากี้ ที่เก่งทั้งคู่ แต่สุดท้ายกลับเล่นด้วยกันไม่ได้ สาเหตุเพราะอะไร วิเคราะห์บอลจริงจังจะเล่าให้ฟัง
ในเกมฟุตบอลที่ใช้ระบบกองหน้า 2 คน สิ่งสำคัญที่สุดคือทีมเวิร์ก
คุณไม่จำเป็นต้องเป็นสตาร์ระดับโลกทั้ง 2 คนก็ได้ ขอแค่เข้าใจกัน ก็สามารถประสบความสำเร็จได้ ตัวอย่างเช่น ไมเคิล โอเว่น กับ เอมิล เฮสกีย์ หรือ เจมี่ วาร์ดี้ กับ ชินจิ โอกาซากิ คนนึงเป็นตัวจบสกอร์ที่เฉียบขาด อีกคนนึงทำหน้าที่ชงบอล ทำทาง ก็ดูส่งเสริมกันได้ดี
แต่ถ้าหากเป็นสตาร์ 2 คน แล้วเล่นเข้ากันได้ก็จะยิ่งอันตรายจนหยุดไม่อยู่ อย่าง เธียร์รี่ อองรี กับ เดนนิส เบิร์กแคมป์ คนนึงยิงกระจุย คนนึงแอสซิสต์กระจาย หรือดไวท์ ยอร์ก กับ แอนดี้ โคล ก็รวมกันซัดประตูเละเทะจนแมนฯยูไนเต็ด คว้าทริปเปิ้ลแชมป์ในปี 1999
ในฟุตบอลอิตาลี เคยมีกรณีศึกษาเรื่องของ 2 นักเตะอัจฉริยะแห่งยุคที่ถูกจับมาเล่นร่วมกัน คืออเลสซานโดร เดล ปิเอโร่ กับ ฟิลิปโป้ อินซากี้ แต่ทว่ากลับไม่สามารถเล่นร่วมกันได้ จนคนหนึ่งต้องโดนปล่อยทิ้ง
เรื่องราวมันเกิดจากอะไรกันแน่ วิเคราะห์บอลจริงจังจะย้อนอดีตให้ฟัง
หลังจากยูเวนตุส แพ้โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ ในรอบชิงแชมเปี้ยนส์ลีก ฤดูกาล 1996-97 ทำให้ทีมมีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ คริสเตียน วิเอรี่ และ อเลน บ็อคซิช 2 หัวหอกของทีมโดนปล่อยตัวทิ้งในช่วงซัมเมอร์
วิเอรี่ยิงได้ 8 ลูกในลีก ส่วนบ็อคซิชยิ่งแล้วใหญ่ยิงได้แค่ 3 ลูก ดังนั้นผู้จัดการทีมมาร์เซลโล่ ลิปปี้ ต้องการหัวหอกในระดับที่ยิง 15-20 ลูกต่อฤดูกาลมาเสริมทีม คือตัวท็อปสักคนที่จบสกอร์ได้ชัวร์ๆ
ดังนั้นยูเวนตุส จึงเอาเงินที่ได้จากการขายวิเอรี่ และบ็อคซิช ไปซื้อ ฟิลิปโป้ อินซากี้ กองหน้าจากสโมสรอตาลันต้าเข้ามาเสริมทัพ โดยสถิติของของเด็กหนุ่มอินซากี้นี่เหลือเชื่อมาก เขายิงไป 24 ประตู คว้าดาวซัลโว เซเรีย อาไปได้แบบสวยหรู ทั้งๆที่อยู่ทีมเล็กๆอย่างอตาลันต้า
กองหน้าคนอื่นในลีกที่ชื่อดังกว่าเขา และอยู่ในทีมใหญ่กว่า ก็ยังไม่มีใครยิงประตูได้เทียบเคียง (กาเบรียล บาติสตูต้า 12 ลูก, เฮอร์นัน เครสโป 12 ลูก, จอร์จ เวอาห์ 13 ลูก, โรแบร์โต้ มันชินี่ 15 ลูก) คือทั้งฤดูกาลอตาลันต้ายิงไป 44 ลูก เป็นผลงานของอินซากี้คนเดียวก็ 24 แล้ว ยิงได้เกินกว่าครึ่งของทั้งสโมสรเสียอีก
อินซากี้ ที่อายุแค่ 23 ปี ได้รางวัลนักเตะดาวรุ่งยอดเยี่ยมของเซเรีย อา ซึ่งก็ไม่แปลกใจกับผลงานที่โดดเด่นขนาดนั้น
จุดเด่นของเขาคือความคมหน้าปากประตู เป็นตัว Poacher ที่สมบูรณ์แบบ คือเขาถนัดมากกับการทำประตูในเขตกรอบ 6 หลา ขณะที่ประตูของอินซากี้แต่ลละลูกมักจะไม่ค่อยสวย แต่มันจะสำคัญอะไร ในเมื่อทีมได้ประตู
ลิปปี้ซื้ออินซากี้เข้ามาเสริมทัพ และความตั้งใจของเขาคือ ให้เล่นร่วมกับเดล ปิเอโร่ คนหนึ่งเป็น Poacher อีกคนเป็นกองหน้าตัวต่ำที่ใช้เทคนิคเหนือๆในการจบสกอร์ มันน่าจะเป็นอะไรที่ลงตัวมาก
ยิ่งไปกว่านั้นยังมีมิดฟิลด์ตัวรุกระดับโลก ซีเนอดีน ซีดาน คอยยืนด้านหลัง ทำหน้าที่แจกจ่ายบอลให้ทั้งสองคน ถ้าว่ากันตรงๆแล้ว 3 คนนี้คือแนวรุกในฝันของคนแฟนบอลทั้งโลก
ซีดานอายุ 25, อินซากี้ 23 และ เดล ปิเอโร่ 22 ตามทฤษฎีแล้ว ทั้ง 3 คน สามารถยืนระยะและช่วยยูเวนตุสครองแชมป์ไปได้อีกนานหลายปี
ในฤดูกาลแรก 1997-98 ทุกอย่างเป็นเหมือนที่ลิปปี้ฝันไว้จริงๆ เมื่ออินซากี้ กับ เดล ปิเอโร่ เข้าขากันแบบสุดๆ จนสถิติการยิงประตูของทีมม้าลายเพิ่มขึ้นจากซีซั่นก่อนอย่างชัดเจน
เดล ปิเอโร่ ยิงประตูในเซเรีย อา ไป 21 ลูกในปีนั้น คือความคมของเขาไม่เป็นรองใคร ซึ่งจริงๆเขาจะยิงมากกว่านี้ก็ได้ แต่ก็ตัดใจยอมจ่ายบอล เพื่อให้อินซากี้ ทำประตูอยู่หลายลูกทีเดียว
ในฤดูกาลนั้น นอกจากเดล ปิเอโร่ จะยิงได้ 21 ลูกแล้ว เขายังเป็นคนแอสซิสต์สูงสุดในลีกที่จำนวน 12 ครั้ง คือทั้งคม ทั้งใจกว้างในตัวคนเดียว
สำหรับ อินซากี้ ซีซั่นแรกกับยูเว่ ยิงได้ 18 ประตู อาจจะไม่เยอะเท่าตอนอยู่อตาลันต้า แต่ก็เป็นตัวเลขที่น่าพอใจ
บรรยากาศระหว่าง 2 หัวหอกที่เป็นสตาร์ของวงการเหมือนกัน ยังเรียกได้ว่าดูดี ยูเวนตุสซีซั่น 1997-98 คว้าแชมป์เซเรีย อา แบบสวยงาม ด้วยการทำแต้มทิ้งห่างอันดับ 2 อินเตอร์ มิลาน ถึง 5 แต้ม และยูเวนตุสกลายเป็นทีมที่มีเกมรุกอันดับ 1 ของลีก
ส่วนอตาลันต้า ทีมที่ขายอินซากี้ ปรากฏว่าจากเดิมยิงประตูทั้งฤดูกาลได้ 44 ลูก เมื่อขาดอินซากี้ พวกเขายิงได้แค่ 25 ลูกตลอดปี และแน่นอน อตาลันต้าตกชั้น ซึ่งเราจะเห็นความสำคัญอย่างชัดเจนเลยว่า อินซากี้มีผลกับทีมมากแค่ไหน
ทุกอย่างสวยงาม เพอร์เฟ็กต์ ยูเวนตุสได้เข้าชิงแชมเปี้ยนส์ลีกอีกครั้ง น่าเสียดายที่ไปแพ้เรอัล มาดริดด้วยสกอร์ 1-0 แต่ในภาพรวมผลงานฤดูกาลแรกที่ อินซากี้ กับ เดล ปิเอโร่ เล่นด้วยกันก็ถือว่าน่าพอใจ พวกเขายิงประตูทุกรายการรวมกันถึง 59 ประตู เป็นตัวเลขที่สุดยอดมาก
อย่างไรก็ตาม หายนะของยูเวนตุสก็มาเยือน เมื่ออเลสซานโดร เดล ปิเอโร่ ได้รับบาดเจ็บเข่าอย่างรุนแรง ในช่วงเดือนพฤศจิกายน ปี 1998 ในเกมเสมออูดิเนเซ่ ซึ่งทำให้เดล ปิเอโร่ลงเล่นไม่ได้ตลอดฤดูกาล 1998-99
เมื่อไม่มีเดล ปิเอโร่ พลังของทีมโดยรวมก็ลดฮวบทันที คืออินซากี้ยังมีสถิติที่โอเคอยู่ ยิงได้ 13 ลูกในเซเรีย อา แต่ในภาพรวมของยูเวนตุส มันขาดคีย์แมนคนที่จะคอยยิงประตูสำคัญในจังหวะชี้เป็นชี้ตาย
จากตำแหน่งแชมป์ในปีก่อน ยูเวนตุส จบอันดับ 7 ของลีกแบบสุดช็อก และแน่นอน มาร์เซลโล่ ลิปปี้ต้องโดนไล่ออก สังเวยกับผลงานอันตกต่ำ และยูเว่ แต่งตั้งคาร์โล อันเชล็อตติเป็นผู้จัดการทีมคนใหม่แทน
ในฤดูกาล 1999-00 เดล ปิเอโร่ หายเจ็บกลับมาแล้ว แต่สิ่งที่เขาไม่มีเลย คือความมั่นใจในจังหวะจบสกอร์ อาการบาดเจ็บอันยาวนานทำให้เขาขาดความคม คือลงเล่นมา 6 เดือน เดล ปิเอโร่ ยังยิงโอเพ่นเพลย์ไม่ได้เลยแม้แต่ลูกเดียว ซึ่งสื่อมวลชนก็วิจารณ์แหลก เพราะจบฤดูกาลนี้ จะเป็นรายการยูโร 2000 และด้วยฟอร์มของเดล ปิเอโร่ ที่ยิงใครไม่ได้เลย คู่ควรที่จะติดทีมชาติไปเล่นยูโรรอบสุดท้ายจริงๆหรือ?
การโดนวิจารณ์อย่างหนัก ทำให้เดล ปิเอโร่เครียดมาก เขาดิ้นรนจะยิงประตูจากโอเพ่นเพลย์ให้ได้ แต่ก็ทำไม่ได้เสียที
ขณะที่อินซากี้ ก็ยังยิงประตูเรื่อยๆด้วยมั่นใจ คือในยูโร 2000 นอกจากฟรานเชสโก้ ต๊อตติแล้ว ก็มีอินซากี้นี่ล่ะที่การันตีพื้นที่ไปเล่นรอบสุดท้ายแน่นอน
สำหรับอินซากี้ ใครจะทุกข์จะร้อนอะไรเขาไม่ได้สนใจ เขาคือกองหน้าตัวเป้า และหน้าที่ของเขาคือการยิงประตูด้วยตัวเอง ซึ่งสิ่งที่เขาทำ มันกลายเป็นการสร้างความขัดแย้งกับเดล ปิเอโร่ โดยที่เขาเองก็ไม่รู้ตัว
จุดแตกหักของเดล ปิเอโร่ กับ อินซากี้ เกิดขึ้นในวันที่ 20 กุมภาพันธ์ ปี 2000 ในเกมที่ยูเวนตุสไปเยือนเวเนเซีย
ครึ่งแรกอินซากี้ พยายามอย่างหนักแต่ยิงไม่ได้ อย่างไรก็ตามเขาเป็นคนเรียกจุดโทษให้ทีมได้สำเร็จ ก่อนที่เดล ปิเอโร่ จะรับหน้าที่ยิงเข้าไปไม่พลาด ให้ยูเวนตุสนำ 1-0 แต่ตัวเดล ปิเอโร่เองก็ยังไม่พอใจ เพราะเขาอยากจะยิงประตูจากโอเพ่นเพลย์ให้ได้เร็วๆ เพื่อกลบเสียงวิจารณ์ให้เร็วที่สุด
เข้าสู่ครึ่งหลัง ในนาทีที่ 80 กองหลังของเวเนเซียพลาด โดนอินซากี้ฉกบอลมาได้ เข้าไปดวลตัวต่อตัวกับนายทวารเวเนเซีย เดล ปิเอโร่ รู้ตำแหน่งทันที เขาฉีกมารอในจุดที่ดีมาก คืออินซากี้จ่าย เดล ปิเอโร่ก็ยิงเข้าแน่นอน แต่อินซากี้ เลือกล็อกหลบโกล์แล้วยิงเข้าไปเอง ให้ยูเวนตุส นำ 2-0
จริงๆมุมนี้ เดล ปิเอโร่ก็คิดว่าควรจะส่งมากกว่า แต่ในเมื่ออินซากี้เป็นคนแย่งบอลมาได้ และการล็อกหลบก็มีโอกาสยิงได้พอๆกัน ดังนั้นเขาก็ไม่ได้ว่าอะไร คงเป็นแค่จังหวะเกม อินซากี้ ไม่ได้มีเจตนาอะไรไม่ดีหรอก
แต่ในจังหวะต่อมา เดล ปิเอโร่ ได้รู้แล้วว่าสิ่งที่เขาคิดในลูกเมื่อกี้ เป็นการมองโลกในแง่ดีเกินไปมาก
นาที 90+1 ฆวน เอสไนแดร์ ตัดบอลได้จากแนวรับของเวเนเซีย ก่อนจะตอกส้นให้อินซากี้ สปรินท์หลุดไปในเขตโทษเยื่องขวา ซึ่งเดล ปิเอโร่ วิ่งสปรินท์สุดตัว มายืนรอตรงกลางประตูที่ไม่มีใครเลยแม้แต่คนเดียว
ลูกนี้ยิ่งกว่าลูกก่อน คืออินซากี้มีมุมน้อยมาก จะล็อกหลบก็ยาก วิธีดีที่สุดคือจ่ายบอลให้เดล ปิเอโร่ แต่ปรากฏว่าเขาซัดเองด้วยขวาไปติดเซฟนายทวาร แต่โชคดี ที่บอลเด้งมาเข้าทางอินซากี้อีกรอบ ก่อนจะซ้ำเข้าประตูไปเป็นสกอร์ 3-0
เดล ปิเอโร่ ยืนนิ่งไม่ไหวติง ไม่เข้าไปร่วมดีใจกับอินซากี้ด้วย เขาแค่ไม่เข้าใจว่าทำไมตอนเขามีโอกาส เขาส่งให้อินซากี้เสมอ แล้วพออินซากี้เลือกจะส่งได้ เขากลับยิงเองมันทุกครั้ง
แต่อินซากี้ หาได้สังเกตอาการของเดล ปิเอโร่ไม่ เขาวิ่งไปสะใจกับกองเชียร์ด้านหลังโกล์อย่างบ้าคลั่ง
2 ครั้งยังไม่พอ ยังมีครั้งที่ 3 ในนาที 90+5 เมื่อเอสไนแดร์ จ่ายบอลเข้ามากลางประตูโล่งๆ หน้าประตูมี 2 คนคืออินซากี้ กับ เดล ปิเอโร่ ซึ่งก็ไม่ได้เดายาก อินซากี้ อัดเปรี้ยงหน้าโกล์ทำแฮตทริกให้ตัวเอง โดยไม่ให้โอกาสเดล ปิเอโร่ได้ยิงจากโอเพ่นเพลย์เลยสักลูกเดียว
ช่วงนาทีสุดท้ายของเกม เราเห็นเดล ปิเอโร่ น็อตหลุดเป็นครั้งแรก เขารีบปรี่ไปแย่งอินซากี้ยิงด้วยเท้าซ้ายทั้งๆที่ตัวเองไม่ถนัด และก็ไม่เป็นประตู คือนี่เป็นครั้งแรกจริงๆ ที่คนอย่างเดล ปิเอโร่ ที่ใจกว้างเสมอจะมาแย่งเพื่อนทำประตูแบบนี้
จบเกมยูเวนตุส ชนะเวเนเซีย 4-0 อินซากี้ยิง 3 ลูกจากโอเพ่นเพลย์ ส่วนเดล ปิเอโร่ ก็ยังยิงโอเพ่นเพลย์ไม่ได้เหมือนเดิม
หลังจบเกม เดล ปิเอโร่ ให้สัมภาษณ์โจมตีอินซากี้ ว่าโชคดีที่ยิงได้โดยเฉพาะลูก 3-0 และบอกว่าอินซากี้ จะไม่มีวันจ่ายบอลยกเว้นว่าจะไม่มีทางเลือกจริงๆ คือบรรยากาศของสองคนนี้ ตึงเครียดถึงขีดสุด
เดล ปิเอโร่ มองว่าทีมฟุตบอลมันจะเล่นแบบนี้กันได้เหรอ เล่นแบบไม่ต้องแคร์ใจเพื่อนร่วมทีมเลย แต่ในมุมของอินซากี้ที่เป็นสไตรเกอร์ที่มีหน้าที่ยิงอย่างเดียว ทำไมเขาต้องแคร์ล่ะ
หลังจบเกม คาร์โล อันเชล็อตติ ก็ไม่พอใจเช่นกัน "อินซากี้ กับเดล ปิเอโร่ ควรจะเป็นคู่ที่เล่นด้วยกันได้ดี แต่ปัญหาคือมันเป็นแค่ทางทฤษฎีเท่านั้น ปัญหาที่เกิดขึ้น นั่นเป็นเพราะหนึ่งในสองคนนี้ เป็นนักเตะที่มีความใจกว้างน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์ฟุตบอล และผมไม่ได้พูดถึงอเลสซานโดร"
เมื่อคู่หัวหอกไม่มีทีมเวิร์กแล้ว นักเตะคนอื่นๆในทีมก็เล่นยากไปด้วย ในเกมชี้ชะตาตัดสินแชมป์กับลาซิโอ ที่เดลเล่ อัลปิ ตลอดเกม 90 นาที ทั้งสองคนจ่ายบอลให้กันแค่ 1 ครั้งเท่านั้น ส่งผลให้เกมรุกของยูเว่เล่นไม่ออกเลย ก่อนแพ้ลาซิโอคาบ้านไป 1-0
จบฤดูกาล 1999-00 ลาซิโอคว้าแชมป์ลีก ส่วนยูเวนตุสพลาดแชมป์อีกครั้งเป็นปีที่ 2 ติดต่อกัน หลายคนเชื่อว่า สาเหตุก็เพราะเรื่องทีมเวิร์กระหว่างคู่กองหน้านี่ล่ะ ที่เป็นตัวตัดแต้มของทีม
จากนั้นในฤดูกาล 2000-01 สถานการณ์ก็ยังไม่ดีขึ้น ยูเวนตุส พลาดแชมป์ลีก เป็นปีที่ 3 ติดต่อกัน ถึงตรงนี้ผู้บริหารทีมก็เข้าใจแล้วว่า คุณไม่สามารถใช้งานสองคนนี้พร้อมกันได้ ควรจะเก็บไว้คนหนึ่ง แล้วปล่อยอีกคนไปจะดีกว่า
ถ้าไม่นับปีแรกที่อินซากี้ย้ายมา แล้วทุกอย่างไม่มีปัญหา อีก 3 ซีซั่นต่อมา เดล ปิเอโร่ เล่นได้ตกต่ำมาก เขายิงไม่ถึง 10 ลูกในเซเรีย อาเลยสักครั้ง
1998-99 ยิงได้ 2 ลูก
1999-00 ยิงได้ 9 ลูก
2000-01 ยิงได้ 9 ลูก
กลายเป็นว่าหัวหอกอัจฉริยะอย่างเดล ปิเอโร่ ฟอร์มดิ่งลงไป เมื่อต้องเล่นร่วมกับอินซากี้ และระหว่างสองคนนี้ถ้าต้องให้เลือกแค่คนเดียว ยูเวนตุสก็ต้องเลือกเดล ปิเอโร่อยู่แล้ว
อินซากี้ โดนขายให้เอซี มิลานในราคา 25 ล้านปอนด์ ไปสร้างตำนานบทใหม่ของตัวเองกับทีมรอสโซเนรี่ ขณะที่เดล ปิเอโร่ ก็ได้ยืนคู่กับหัวหอกอีกคนที่ชื่อ ดาวิด เทรเซเกต์ ซึ่งต่อจากนี้สองคนนี้จะกลายเป็นคีย์แมนของยูเวนตุสไปอีกในระยะยาว
ทันทีที่ขายอินซากี้ ฤดูกาลต่อมา 2001-02 ยูเวนตุสกลับมาเป็นแชมป์กัลโช่ เซเรีย อา อีกครั้ง ส่วนเดล ปิเอโร่ ที่ยิงไม่ถึงหลักสิบมา 3 ปีติดต่อกัน ในซีซั่นนี้ก็ซัดไป 16 ประตู ความมั่นใจกลับคืนมาอย่างสมบูรณ์แบบ
หลังจากแยกทางกัน เดล ปิเอโร่ ได้แชมป์ลีก 5 สมัย ส่วนอินซากี้ไปอยู่มิลานก็รุ่งเรืองดี ได้แชมป์ลีก 2 สมัย กับแชมป์ยุโรป 2 สมัย เรียกได้ว่าต่างคนต่างประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี
ในภายหลังเดล ปิเอโร่ ยืนยันว่า เขาไม่เคยเกลียดชัง ฟิลิปโป้ อินซากี้อะไรเป็นการส่วนตัว เช่นเดียวกับอินซากี้ ที่ยืนยันว่าทุกอย่างมันเป็นแค่จังหวะในสนามเท่านั้น
จริงๆแล้ว ทั้ง 2 คน ถือเป็นผู้เล่นที่มีพรสวรรค์ เพียงแต่พรสวรรค์นั้นจะเปล่งประกายที่สุดก็ต่อเมื่อไม่ได้เล่นด้วยกันเท่านั้น
ในชีวิตการทำงาน เราคงเห็นบ่อยๆว่า เก่ง+เก่ง ไม่ได้เท่ากับ เก่งมาก คือมันไม่สามารถสรุปได้แบบนั้น เก่ง+เก่ง แล้วเจ๊งก็มีเยอะแยะ
นั่นเพราะสิ่งที่สำคัญ คือความเก่งของ 2 คน สามารถจูนเข้าหากันเพื่อทำงานด้วยกันหรือเปล่า 2 คนนี้สามารถใช้ความเก่งของตัวเอง ผลักดันให้อีกคนเติบโตไปด้วยกันได้หรือไม่ นี่ต่างหากเป็นเรื่องที่มีความหมายมากกว่า
เช่นเดียวกับเรื่องความสัมพันธ์ คนที่เกียรติประวัติเลิศเลอเพอร์เฟ็กต์ สุดท้ายแล้วอาจจะไม่ลงตัวกับใจเราก็ได้
มีคนจำนวนไม่น้อยที่ได้ลองคบกับคนที่โพรไฟล์เป็นเลิศ แต่สุดท้ายกลับค้นพบว่าอยู่กับคนโพรไฟล์ธรรมดา แต่น่ารักกับเรา ยังมีความสุขมากกว่าเสียอีก
ท้ายที่สุดแล้ว ความสัมพันธ์ระหว่างคนสองคน จะพัฒนาต่อไปได้ มันอยู่ที่เคมีจริงๆ
ทัศนคติไปทางเดียวกันหรือเปล่า ความคิดในเรื่องสำคัญเหมือนกันหรือไม่ และ เวลาเจอหน้าอีกฝ่ายสามารถทำให้เราสบายใจได้หรือเปล่า
ถ้าเคมีไม่ตรงกัน ไม่ใช่ว่าจะรักกันไม่ได้ แต่แน่นอนว่าต้องปรับตัวกันเหนื่อยมาก
ตรงข้ามถ้าค้นพบคนที่เคมีตรงกันเมื่อไหร่ แค่พูดง่ายๆก็เข้าใจกัน เชื่อไหม ทุกอย่างมันจะง่ายไปหมดเลยจริงๆ
#Delpiero #Inzaghi
โฆษณา