11 ม.ค. 2020 เวลา 13:55 • บันเทิง
Schindler's List (1993) :
เรื่องของอ็อสการ์ ชินด์เลอร์ ชายผู้ปลดปล่อยชาวยิว
Schindler's List(1993):ชะตากรรมที่โลกไม่ลืม
กำกับและร่วมผลิตโดย "สตีเว่น สปีลเบิร์ก" พ่อมดแห่งวงการฮอลลีวูด ถือเป็นหนังนาซีที่ทรงพลังที่สุดเรื่องหนึ่งของโลก
หนังกล่าวถึงเหตุการณ์ช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง
ที่อ็อสการ์ ชินด์เลอร สมาชิกคนหนึ่งของพรรคนาซีได้ช่วยชีวิตเชลยชาวยิวนับพันเอาไว้
ด้วยความยอดเยี่ยมของหนัง ทำให้ได้รับเสียงชื่นชมและกวาดรางวัลไปมากมาย
ไม่ว่าจะเป็นรางวัลลูกโลกทองคำ สาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยม ประเภทภาพยนตร์ดราม่า , ผู้กำกับภาพยนตร์ยอดเยี่ยม และบทภาพยนตร์ยอดเยี่ยม
.
.
นอกจากนี้ Schindler's List ยังได้รับรางวัลออสการ์ถึง 7 รางวัล ในสาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยม , ผู้กำกับภาพยนตร์ยอดเยี่ยม , บทภาพยนตร์ดัดแปลงยอดเยี่ยม , ถ่ายภาพยอดเยี่ยม , ลำดับภาพยอดเยี่ยม , กำกับศิลป์ยอดเยี่ยม และ ดนตรีประกอบยอดเยี่ยม
การเดินทางของภาพยนตร์
ตุลาคม ปี1980 ขณะที่โทมัส คีเนลลี นักเขียนนวนิยายชาวออสเตรเลียได้เดินทางไปที่ร้านขายเครื่องหนังแห่งหนึ่งในเบเวอร์ลี่ ฮิลส์ (Beverly Hills)
.
.
เขาได้ฟังเรื่องเล่าจากโพลเด็ค เปฟเฟอร์เบิร์ก(Poldek Pfefferberg)เจ้าของร้านเครื่องหนังลีโอโพลด์ เพจ(Leopold Page)
ที่ได้เล่าเรื่องของ " อ็อสการ์ ชินด์เลอร์ " ผู้ช่วยชีวิตภรรยาของเขารวมถึงชาวยิวนับพันให้รอดพ้นจากการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ของกองทัพเยอรมันในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง
หลังจากที่ โทมัส คีเนลลี ได้ฟังเรื่องทั้งหมดรวมถึงได้เห็นเอกสารต่างๆเกี่ยวกับอ็อสการ์ ชินด์เลอร์ที่โพลเด็ค เปฟเฟอร์เบิร์กนำมาให้ดู เขารู้สึกสนใจเป็นอย่างมาก จึงได้นำเรื่องนี้มาเขียนเป็นหนังสือชื่อ " Schindler's Ark "
เรื่องราวในหนังสือเป็นนวนิยายเชิงประวัติศาสตร์ซึ่งมีข้อเท็จจริงผสมกับบทสนทนาที่แต่งขึ้นเพิ่มเติม จัดอยู่ในงานเขียนประภทกึ่งสารคดี
.
.
หนังสือได้รับผลตอบรับที่ดีและได้รับรางวัล Booker Prize-winning สาขา non-fiction novel ประเภทงานเขียนเชิงสารคดี ในปี 1982
หลังจากที่Universal Studiosได้ซื้อลิขสิทธิ์บทประพันธ์นี้เพื่อนำมาดัดแปลงเป็นภาพยนตร์แล้ว ทางสตูดิโอได้มอบหมายให้"สตีเว่น สปีลเบิร์ก"รับหน้าที่กำกับหนังเรื่องนี้
ซึ่งนั่นสร้างความลำบากใจให้กับสปีลเบิร์กเป็นอย่างมาก เขาไม่อยากทำหนังหดหู่เกี่ยวกับการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวยิว ส่วนหนึ่งก็เพราะเขาเองก็มีเชื้อสายยิว
แต่ด้วยสัญญาที่ได้รับปากไว้กับเจ้าของร้านลีโอโพลด์ เพจ ซึ่งเป็นผู้เปิดเผยเรื่องของชินด์เลอร์และเป็นแรงบันดาลใจให้กับหนังสือ" Schindler's Ark "
เขาจึงต้องทำให้สำเร็จ
ตลอดระยะเวลาหลายปีในการถ่ายทำ สปีลเบิร์กใช้ความอดทนเป็นอย่างมาก
เขาต้องต่อสู้กับความหดหู่ที่เกิดขึ้นซ้ำๆในขณะถ่ายทำ
แต่ด้วยความพยายาม ในที่สุดหนังก็สำเร็จและได้ออกฉายในปี 1993
ใครจะคิดว่าหนังทุนสร้าง 22 ล้านเหรียญดอลล่าร์สหรัฐ จะประสบความสำเร็จและกวาดรายได้ทั่วโลกไปได้ถึง 322 ล้านดอลล่าร์ ได้กำไรกลับไปมากมาย
แม้หนังจะประสบความสำเร็จ ได้ทั้งคำชม รางวัล และรายได้ แต่สปีลเบิร์กก็ไม่ขอรับค่าตอบแทนใดๆจากหนังเรื่องนี้
เขาให้เหตุผลว่าในเมื่อหนังสร้างมาจากเหตุการณ์ฆ่าล้างเผ่าพันธ์ชาวยิว รายได้ของหนังก็ควรกลับคืนสู่ชาวยิวที่อยู่ในเหตุการณ์ครั้งนั้น
เขานำเงินรายได้ส่วนของเขาทั้งหมดมาก่อตั้งมูลนิธิ USC Shoah Foundation เพื่อรวบรวมเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับชาวยิวในช่วงสงครามโลกครั้งที่สองมาจัดแสดงในพิพิธภัณฑ์ของมูลนิธิ เพื่อเตือนใจคนรุ่นหลังให้รู้ถึงผลกระทบที่เกิดขึ้นจากเหตุการณ์ในครั้งนั้น
ภาพจากหนังเรื่อง " Schindler's List " จะเป็นภาพโทนขาว-ดำทั้งเรื่อง
ประวัติย่อของ " อ็อสการ์ ชินด์เลอร์ "
อ็อสการ์ ชินด์เลอร์ เกิดเมื่อวันที่ 28 เมษายน ปี1908 เขาใช้ชีวิตอยู่ที่ซวิตาวีย์ (Svitavy-ปัจจุบันคือส่วนหนึ่งของสาธารณรัฐเช็ค)
ชินด์เลอร์ เป็นนักธุรกิจที่กว้างขวางในแวดวงอุตสาหกรรม เขาได้เข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งของ
" Abwehr" ซี่งเป็นหน่วยสืบราชการลับหน่วยหนึ่งของนาซีเยอรมัน ก่อนจะเข้าร่วมกับพรรคนาซีในปี 1939
หลังการบุกดินแดนโปแลนด์ของกองทัพนาซี ในปี 1939 กองทัพนาซีได้ปล้นเอาทรัพย์สินต่างๆของชาวโปแลนด์เชื้อสายยิวมาเป็นจำนวนมาก รวมถึงได้กักกันพวกเขาไว้เป็นเชลยศึกเพื่อใช้แรงงาน
ชินด์เลอร์ ได้ใช้โอกาสนี้เข้าซื้อโรงงานผลิตเครื่องเคลือบแห่งหนึ่ง เพื่อผลิตภาชนะเคลือบและอาวุธต่างๆให้กองทัพนาซี ด้วยเหตุนี้โรงงานของเขาจึงเต็มไปด้วยผู้ใช้แรงงานชาวยิว
ช่วงแรก อ็อสการ์ ชินด์เลอร์ คือนักธุรกิจธรรมดาคนหนึ่ง เขาทำทุกอย่างเพื่อผลกำไรเท่านั้น
.
.
หลังจากที่เขาได้เห็นการสังหารเด็กหญิงชาวยิววัย 3 ขวบ และการสังหารหมู่ที่เกิดขึ้นกับชาวยิวในค่ายกักกันคาดู ในปี ค.ศ 1942 แล้ว เขาก็ไม่อาจนิ่งเฉยกับสิ่งนี้ได้อีกต่อไป
สิ่งที่นาซีทำกับชาวยิวคือความเลวร้ายที่มนุษย์กระทำต่อมนุษย์ด้วยความเหี้ยมโหด มนุษยธรรมที่มีอยู่ในจิตใจของชินด์เลอร์เริ่มเกิดขึ้นมาในตอนนั้น
ชินด์เลอร์ ใช้สายสัมพันธ์ที่เขามีกับพรรคนาซีช่วยเหลือชาวยิว
เขาขอแรงงานชาวยิวให้เข้ามาช่วยผลิตในโรงงานของเขามากขึ้น ซึ่งเรื่องนี้เป็นเพียงข้ออ้างที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อต้องการปกป้องความปลอดภัยให้กับชาวยิวเท่านั้น
ทุกคนในโรงงานของชินด์เลอร์ได้รับการคุ้มครองเป็นอย่างดี พวกเขามีคุณภาพชีวิตดีกว่าตอนอยู่ภายนอกโรงงานมาก
ชินด์เลอร์ใช้ลูกล่อลูกชนของนักธุรกิจ บวกกับความสามารถในการเจรจา จนสามารถช่วยชาวยิวไว้ได้มากกว่า 1,100 คน
ภาพของอ็อสการ์ ชินด์เลอร์ (ตัวจริง)
ในช่วงท้ายของสงครามชินด์เลอร์ใช้เงินจำนวนมหาศาลเพื่อติดสินบนและซื้อเสบียงอาหารมากมายเพื่อเลี้ยงดูแรงงานชาวยิว
มีการคาดการณ์ว่าจำนวนเงินที่เขาหมดไปกับเรื่องนี้นั้น มีมูลค่าสูงถึง 1,056,000 ดอลล่าสหรัฐ
จำนวนชาวยิวที่ชินด์เลอร์ช่วยมาได้นั้น มีมากกว่า 1,100 ราย และนี่อาจจะเป็นเพียงแค่ส่วนหนึ่ง เพราะเราพบเอกสารรายชื่อชาวยิวที่เขาช่วยไว้เพียง 4 ชุด จากทั้งหมด 7 ชุด มีเอกสารสูญหายไป 3 ชุด
เรื่องราวที่ถ่ายทอดในภาพยนตร์เรื่อง"Schindler's List"นั้น เป็นส่วนที่เกี่ยวข้องกับรายชื่อจากเอกสารเพียงสองชุด ในปี 1944 เท่านั้น
ยังมีรายชื่อแก้ไขเพิ่มเติมอีก 5 ชุด ที่อยู่นอกเหนือจากรายละเอียดในภาพยนตร์ นั่นแสดงว่าจำนวนเหยื่อที่ได้รับการช่วยเหลือจากชินด์เลอร์มีมากกว่านั้น
หลังจากสงครามสิ้นสุด...ชินด์เลอร์ถูกส่งไปอยู่ในความดูแลของทหารอเมริกัน เขาใช้ชีวิตอย่างยากลำบาก
ทรัพย์สินที่เคยมีถูกริบจนหายไปทั้งหมด และเมื่ออดีตแรงงานชาวยิวได้รู้ถึงสิ่งที่เกิดขึ้นกับชินด์เลอร์ พวกเขาก็ทนไม่ได้กับผลตอบแทนที่ชินด์เลอร์ได้รับ
จึงได้มีการรวมตัวกันเพื่อยื่นหนังสือถึง American Jewish Joint Distribution Committee(JDC) ซึ่งเป็นคณะกรรมการที่ก่อตั้งขึ้นโดยคณะกรรมการชาวอเมริกันร่วมกับบรรดาชาวยิวผู้มั่งคั่งเพื่อระดมทุนช่วยเหลือชาวยิวทั่วโลก
ชินด์เลอร์ได้รับเงินช่วยเหลือจากกองทุนนี้ เขาจึงกลับมาสร้างธุรกิจใหม่ได้อีกครั้ง
เขาย้ายไปทำธุรกิจปูนซีเมนต์อยู่ที่ประเทศอาเจนติน่า แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จ ธุรกิจของเขาขาดทุน และในที่สุดชินด์เลอร์ก็กลายเป็นบุคคลล้มละลาย
เขาเดินทางกลับมาใช้ชีวิตที่เยอรมันอีกครั้ง
ในช่วงบั้นปลายของชีวิตแม้ว่าชินด์เลอร์จะได้รับเงินช่วยเหลือจากกลุ่มองค์กรของชาวยิว แต่ด้วยนิสัยส่วนตัวของเขาที่ใช้จ่ายอย่างสุรุ่ยสุร่ายเกินตัว ทำให้เงินนั้นหมดลงอย่างรวดเร็ว
และในวันที่ 9 ตุลาคม ปี 1974 ชินด์เลอร์ก็เสียชวิตลงในห้องเช่าย่านฮิลเดสไฮม์ (Hildesheim)ประเทศเยอรมนี
ร่างของเขาถูกนำมาฝังที่สุสานคาธิลิค บนภูเขาไซออน ณ เยรูซาเล็ม ดินแดนศักสิทธิ์ของอิสราเอล นับเป็นสมาชิกเพียงคนเดียวของพรรคนาซีที่ได้รับเกียรตินี้ เขาคือคนที่คอยช่วยเหลือชาวยิวจากเหตุการณ์ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์
ชินด์เลอร์ได้กลับสู่อ้อมแขนของพระเจ้าอีกครั้ง เขาได้ทำหน้าที่อันยิ่งใหญ่ในการช่วยเหลือชาวยิวนับพันให้รอดพ้นจากหายนะมาได้
" พระเจ้าส่งให้เขามาดูแลเรา " จากคำพูดหนึ่งของชาวยิวที่รอดชีวิตมาได้เพราะชินด์เลอร์
ชื่อของเขาจะเป็นที่จดจำตลอดไปในฐานะของชายผู้ปลอดปล่อยชาวยิว
สงครามคือความเลวร้าย...
มันเป็นเช่นนี้เสมอมาไม่ว่าจะผ่านไปกี่ยุคกี่สมัย
เช่นเดียวกัน ในความเลวร้ายนั้น...มักมีเรื่องราวดีๆซ่อนอยู่
คงจะดี ถ้ามนุษย์ยุติความขัดแย้งด้วยสันติ
หรือจะดีมากขึ้น ถ้าเราร่วมกันสร้างโลกแห่งสันติภาพขึ้นมาได้
เหตุการณ์ในประวัติศาสตร์สอนเราไม่รู้กี่ครั้งแล้วว่า " หายนะที่รุนแรงที่สุดของมนุษย์ คือ สงคราม "
เราควรจดจำและนำสิ่งนี้มาเป็นบทเรียนว่า
" ไม่ควรมีใครต้องตายด้วยภัยของสงครามอีกแล้ว "
แด่อ็อสการ์ ชินด์เลอร์ ชายผู้เป็นส่วนหนึ่งของการสร้างสันติภาพบนโลก
หมายเหตุ :
ผมเคยบอกกับแฟนเพจคนหนึ่งว่า " มีหนังเรื่องหนึ่งที่เป็นแรงบันดาลใจให้กับผม "ผมชอบหนังเรื่องนี้มาก ตามอ่านข้อมูลเกี่ยวกับหนังอยู่หลายวัน
หนังเรื่องนั้นคือต้นแบบและเป็นจุดเริ่มต้นจนเป็นเพจหนังหลายมิติในเวลาต่อมา หนังเรื่องนั้นชื่อ " Schindler's List"
โฆษณา