11 ม.ค. 2020 เวลา 22:02 • กีฬา
นำฝูง 16 แต้ม! หงส์แดง แรงดีไม่มีตกบุกหักคอ ไก่ คาเล้า 0-1
ลิเวอร์พูล เดินทางไปเยือน ท็อตแน่ม ฮ็อตสเปอร์ ใน พรีเมียร์ลีก คู่สุดท้ายของวันเสาร์นี้ โดยเป็นหนแรกที่ได้มาสัมผัสรังเหย้าใหม่ของ "ไก่เดือยทอง" ด้วย
ก่อนเกมนี้ "หงส์แดง" ได้ข่าวดีเมื่อ เลสเตอร์ ซิตี้ รองจ่าฝูง ดันแพ้คาบ้านต่อ เซาธ์แฮมป์ตัน 1-2 ทั้งที่นำก่อนด้วยซ้ำ ทำให้ ลิเวอร์พูล สามารถทิ้งห่างออกไปได้เป็น 16 แต้ม
สเปอร์ส ปรับทัพ 3 ตำแหน่งจากเกมเสมอ มิดเดิ้ลสโบรช์ 1-1 ใน เอฟเอ คัพ โดยส่ง เจเฟ็ต แทนแกนก้า ปราการหลังวัย 20 ปี ลงเปิดซิงให้ทีมชุดใหญ่ รวมถึง ดาวินซอน ซานเชซ กับ แดนนี่ โรส
โชเซ่ มูรินโญ่ เลือกใช้ปราการหลัง 3 ตัวอย่างที่หลายๆ ฝ่ายคาดกันไว้ โดยส่ง แทนแกนก้า ลงไปผนึกกำลังร่วมกับ ซานเชซ และ โทบี้ อัลเดอร์แวเรลด์ ผู้รักษาประตูเป็น เปาโล กัซซานิก้า ขณะที่ แฮร์รี่ เคน กับ อูโก้ โยริส ยังเจ็บไม่หาย
วิงแบ็ก 2 ข้างจัด แซร์ช โอริเย่ร์ กับ แดนนี่ โรส คู่มิดฟิลด์ฝาก แฮร์รี่ วิงค์ส เชื่อมเกมกับ คริสเตียน เอริคเซ่น ขณะที่ เดเล่ อัลลี่ ทำเกมรุกข้างหลังคู่หน้า ลูกัส มูร่า กับ ซน ฮึง-มิน
ลิเวอร์พูล ปรับทัพ 10 ตำแหน่งจากเกมเชือด เอฟเวอร์ตัน 1-0 เมื่อสุดสัปดาห์ที่แล้ว โดยเรียกบรรดาตัวหลักกลับมากันพร้อมหน้า เหลือเพียง โจ โกเมซ ปักหลักคุมแนวรับต่อไป
อลีสซง เบ็คเกอร์ เฝ้าหน้าปากประตู แนวรับจากขวาไปซ้ายเป็น เทรนท์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์, โจ โกเมซ, เฟอร์จิล ฟาน ไดค์ และ แอนดี้ โรเบิร์ตสัน
แดนกลางวาง จอร์แดน เฮนเดอร์สัน เป็นตัวต่ำ ขนาบด้วย อเล็กซ์ อ็อกซ์เลด-แชมเบอร์เลน กับ จอร์จินโย่ ไวนัลดุม รับหน้าที่เชื่อมเกมตรงกลาง แดนหน้าวาง โมฮาเหม็ด ซาลาห์, โรแบร์โต้ ฟีร์มิโน่ และ ซาดิโอ มาเน่
เกมเริ่มแค่ 2 นาที "หงส์แดง" หวิดนำเร็วจากจังหวะเคาน์เตอร์แอทแท็ค ฟีร์มิโน่ ทะลุเข้าเขตโทษฝั่งขวาไปไขว้หนี เอริคเซ่น ก่อนยิงไปเสาซ้ายมือติดบล็อก แทนแกนก้า กระเด้งมาถึง อ็อกซ์เลด-แชมเบอร์เลน แปด้วยขวาระยะ 12 หลาชนเสาซ้ายมือมาชนตัว แทนแกนก้า ก่อน กัซซานิก้า ตะครุบไว้ได้
3 นาทีต่อมา เจ้าบ้านตอบโต้บ้างจาก มูร่า ลากจากซ้ายตัดเข้าในจนได้ตะบันด้วยขวาพุ่งหลุดเสาซ้ายมือหวุดหวิด
นาที 7 เป็นโอกาสของ สเปอร์ส จาก ซน พาบอลมาถึงบริเวณหัวกะโหลกก่อนปั่นด้วยขวาโค้งหลุดเสาขวามือไปไกลพอสมควร
ผ่านมาถึง นาที 22 ลิเวอร์พูล พลาดโอกาสทองจากจังหวะเตะมุมเปิดเข้ามาถึง ซาลาห์ แตะต่อให้ เฮนเดอร์สัน โยนยาวข้ามไปเสาซ้ายมือ ฟาน ไดค์ เทกตัวโหม่งเหน่งๆ แต่ กัซซานิก้า ยังทุบออกไปได้เหลือเชื่อ
ครึ่งชั่วโมงแรกผ่านไป 5 นาที ทีมเยือนได้ลุ้นจากจังหวะการประสานงานของ 3 เทพ ซาลาห์ เบิ้ลเร็วให้ ฟีร์มิโน่ ทะลุเข้าเขตโทษฝั่งซ้ายแล้วเลือกตบเข้ากลาง มาเน่ วอลเล่ย์ด้วยซ้ายระยะ 12 หลากระดอนพื้นก่อนข้ามคานออกไป
นาที 37 "หงส์แดง" ปลดล็อกสำเร็จ เฮนเดอร์สัน พุ่งโหม่งบอลไปตกที่ ซาลาห์ ในเขตโทษก่อนพิงแล้วจ่ายให้ ฟีร์มิโน่ ดึงบอลหนี ซานเชซ เข้าไปยิงด้วยซ้ายระยะ 8 หลาเสียบเสาไกลเป็นประตู 1-0
โดยในจังหวะดังกล่าว วีเออาร์ ขอเช็คภาพโดยกลัวว่า เฮนเดอร์สัน จะทำแฮนด์บอลก่อนแต่สุดท้ายยืนยันคำตัดสินเดิม
จบ 45 นาทีแรก "หงส์แดง" บุกนำ 1-0 ด้วยความเหนือกว่าชัดเจน ทั้งโอกาสลุ้นประตูและการครองบอล ส่วน สเปอร์ส ก็รอลุ้นจากจังหวะสวนกลับเร็วตามสไตล์ของ มูรินโญ่ เวลาเจอทีมใหญ่
กลับมาต่อครึ่งหลัง ม้านั่งสำรองของทั้ง 2 ฝั่งยังไม่มีการขยับตัวใดๆ รูปเกมก็ยังเหมือนเดิม "หงส์แดง" เดินหน้าบุกเป็นหลัก โดย อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ ได้หวดหลุดกรอบออกหลังไปด้วย
นาที 56 สเปอร์ส น่าได้ประตูตีเสมอ อัลลี่ หลุดเข้าเขตโทษไปโดน ฟาน ไดค์ สไลด์ตัวหยุดไว้ได้แต่บอลยังเป็นใจกลิ้งมาเข้าทาง โอริเย่ร์ ปั่นโค้งไปโดน อลีสซง ป้องกันได้สวย
ลิเวอร์พูล เปลี่ยนตัวคนแรกใน นาที 61 อดัม ลัลลาน่า ลงไปแทนที่ อ็อกซ์เลด-แชมเบอร์เลน
4 นาทีต่อมา ลิเวอร์พูล ได้เสียวจริงๆ เมื่อ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ ครอสเข้าเขตโทษให้ มาเน่ พุ่งโหม่งเข้ามือของ กัซซานิก้า
สเปอร์ส เปลี่ยนรวดเดียว 2 คน โจวานี่ โล เซลโซ่ กับ เอริค ลาเมล่า ลงไปแทน เอริคเซ่น กับ โรส
ช่วง 15 นาทีสุดท้าย เจ้าบ้านพลาดโอกาสทอง ไวนัลดุม เสียบอลในแดนกลางเลยถูก มูร่า ฉกบอลไปจ่ายออกซ้ายให้ ซน ฮึง-มิน เข้าไปยิงข้ามคานอย่างน่าเสียดาย
"หงส์แดง" ส่ง ดิว้อค โอริกี้ ลงมาแทน มาเน่ ใน นาที 81
ใน นาที 81 "ไก่เดือยทอง" พลาดโอกาสแบบน่าเขกกะโหลกหลัง โอริเย่ร์ เปิดโค้งจากริมเขตโทษฝั่งขวาไปให้ โจวานี่ โล เซลโซ่ เข้าชาร์จที่เสาไกลแต่บอลย้อนศรหลุดเสาอีกฝั่งไปไกลอีก
ช่วงท้ายเกมก็ไม่มีอะไรเพิ่มเติม ช่วงทดเจ็บ เซอร์ดาน ชากิรี่ ลงไปแทน ซาลาห์ จบเกม ลิเวอร์พูล บุกเชือด สเปอร์ส 1-0
ทำให้ ลิเวอร์พูล ทิ้งห่าง เลสเตอร์ ซิตี้ 16 แต้มเข้าไปแล้ว โอกาสจะคว้าแชมป์ พรีเมียร์ลีก ก็ยิ่งสดใสขึ้นไปอีก
เอาจริงๆ นี่ก็ไม่ใช่ว่า ลิเวอร์พูล เล่นกันได้สมบูรณ์แบบ มันมีช่วงครึ่งหลังที่พวกเขาแผ่วลงไปบ้าง แต่ก็ยังเขี้ยวลากดินรักษาสกอร์นำไว้ได้จนสิ้นเสียงนกหวีดสุดท้าย
แดนหน้าของ "หงส์แดง" ยังเฉียบคมเหมือนเดิม พวกเขาไม่จำเป็นต้องฟอร์มร้อนแรงกันทุกคน ขอแค่มี 1 หรือ 2 คนก็พอแล้ว และในวันนี้ ฟีร์มิโน่ ก็ก้าวขึ้นมาเป็นฮีโร่ได้อีกครั้ง ทว่ามันก็เป็นอีกหนเหมือนกันที่เขายังยิงได้แต่นอกบ้าน
ส่วนเกมรับภายใต้การจับคู่ระหว่าง โกเมซ กับ ฟาน ไดค์ ก็สนุกกับการเก็บคลีนชีทเหลือเกิน เมื่อกองหลังยิ่งแกร่ง มันก็เพิ่มความเป็นไปได้ในการคว้าแชมป์พร้อมสถิติไร้พ่าย
มูรินโญ่ ถือว่ารู้ไต๋ในการเจอกับ เจอร์เก้น คล็อปป์ โดยเลือกจัด 3 กองหลัง แถมตั้งรับต่ำ มาท้าชนกับ 3 เทพ "หงส์แดง" ซึ่งก็ทำได้ดีในหลายๆ จังหวะ ทว่าก็ไปไม่สุด ต้องยอมรับว่าถ้า สเปอร์ส มี เคน เป็นตัวชูโรงในแดนหน้า สกอร์อาจไม่ลงเอยเช่นนี้
สำหรับชัยชนะนัดนี้ของ ลิเวอร์พูล กลายเป็นการสร้างสถิติใหม่ของ 5 ลีกใหญ่ยุโรปด้วยเพราะพวกเขาเก็บได้ถึง 61 แต้ม ทำลายสถิติเดิม 59 แต้มของทั้ง ยูเวนตุส (2018-19), แมนฯ ซิตี้ (2017-18), บาเยิร์น มิวนิค (2013-14) และ ปารีส แซงต์-แชร์กแมง (2018-19)
ต่อให้ คล็อปป์ ปฏิเสธว่าไม่คิดถึงเรื่องการคว้าแชมป์แบบไร้พ่าย แต่ยังไงพวกเขาก็สลัดความคิดนี้ไม่พ้นแน่ๆ และเชื่อได้เลยว่าพวกเขาจะตั้งมันเป็นเป้าหมายหลักของ พรีเมียร์ลีก ฤดูกาลนี้ ด้วย
เพราะการเฝ้ารอแชมป์ลีกสูงสุดหนแรกในรอบ 30 ปีและแชมป์ พรีเมียร์ลีก สมัยแรกสุดในประวัติศาสตร์ ถือว่าจบลงแล้ว
แต่ถ้าจะให้ยิ่งใหญ่กว่าเดิม มันก็ต้องแชมป์แบบไร้พ่ายทั้งฤดูกาลเนี่ยแหละ และมันจะยิ่งใหญ่กว่าขุนพล "ดิ อินวินซิเบิ้ลส์" ของ อาร์เซน่อล แน่ๆ เพราะ ลิเวอร์พูล ไร้พ่ายแบบชนะเกือบทุกนัด ไม่เหมือน "ปืนใหญ่" ที่ไม่แพ้ใครก็จริงแต่เล่นเสมอถึง 12 นัด แทบจะ 1 ใน 3 เลย
.
ทุกท่านสามารถติดตามอ่านบทความย้อนหลังได้ที่ ..
.
และเพิ่มเพื่อนไลน์แอด "เพื่อเด้งเตือน" ให้คุณได้อ่านก่อนใคร กดที่ลิงค์นี้ครับ
ขอบคุณครับ
โฆษณา