12 ม.ค. 2020 เวลา 07:44 • กีฬา
ถึงตรงนี้นัดที่ 21 แต่ทุกคนยอมรับหมดแล้วว่า โอกาสที่จะป้องกันไม่ให้ลิเวอร์พูลเป็นแชมป์ ไม่มีทางอีกแล้ว
อัตราต่อรองจากแลดโบรกส์ สำนักพนันถูกกฎหมายที่อังกฤษ เปิดราคาว่าถ้าใครอยากเดิมพันว่าลิเวอร์พูลจะเป็นแชมป์ ราคาอยู่ที่แทง 50 ได้ 1 นั่นแปลว่า คุณลงเงินไป 5000 แต่จะได้คืนมาแค่ 100 บาท ซึ่งคำอธิบายง่ายๆคือ เกมมันจบแล้ว
ในจำนวนเกมที่เหลือทั้งหมด การเจอสเปอร์ส ที่ไวท์ฮาร์ทเลน เป็นโจทย์ยากที่สุดอันดับ 2 เป็นรองแค่ เยือนแมนฯซิตี้ และ เยือนเอฟเวอร์ตันเท่านั้น แต่ลิเวอร์พูลก็ยังผ่านไปได้ด้วย 3 คะแนน
และนี่คือบทสรุป 22 ข้อ จากเกมที่นิวไวท์ ฮาร์ท เลน หรือในชื่อทางการคือ ทอตแน่มฮอตสเปอร์ สเตเดียม
1) สิ่งที่เจอร์เก้น คล็อปป์ทำมาตลอด 4 นัดที่ผ่านมาหลังจากคว้าแชมป์ฟีฟ่าคลับเวิลด์ คือยึด 10 จาก 11 ผู้เล่นชุดเดิมเอาไว้ แนวรับ 5 ตัว มี อลิสซอน,เทรนต์,ฟาน ไดค์,โกเมซ,โรเบิร์ตสัน กองกลาง 2 ตัว มีเฮนเดอร์สัน กับ ไวจ์นัลดุม และ กองหน้า 3 ตัว ซาลาห์, มาเน่, ฟีร์มีโน่
จุดที่น่าสนใจอยู่ตรงนี้ครับ คือคล็อปป์จะเปลี่ยนแค่ "มิดฟิลด์ 1 คน" เสมอ ใน 4 เกมที่ผ่านมา เอามาเล่นร่วมกับเฮนเดอร์สัน และไวจ์นัลดุม
เกมที่ 18 ชนะ เลสเตอร์ 4-0 ใช้ นาบี เกอิต้า
เกมที่ 19 ชนะ วูล์ฟ 1-0 ใช้ อดัม ลัลลาน่า
เกมที่ 20 ชนะ เชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด 2-0 ใช้ เจมส์ มิลเนอร์
เกมที่ 21 ชนะ สเปอร์ส 1-0 ใช้ อเล็กซ์ อ็อกซ์เลด-แชมเบอร์เลน
2) คล็อปป์ทำแบบนี้ทำไม? แน่นอนคือเขาไม่อยากเปลี่ยนผู้เล่นเยอะ ทีมกำลังเล่นได้ดี จำเป็นต้องรักษา Shape ของทีมเอาไว้ให้เหมือนเดิมมากที่สุด กองหลังคลีนชีทมาติดๆกัน ไม่เหมาะที่จะหมุน ส่วนกองหน้า 3 คนผลัดกันยิง ผลัดกันจ่ายมาเรื่อยๆ ไม่มีความจำเป็นต้องพัก จะมีที่พอเปลี่ยนได้บ้างคือมิดฟิลด์ที่เมื่อไม่มีฟาบินโญ่ ก็ไม่มีใครการันตีตำแหน่งตัวจริงตรงนี้
คล็อปป์จึงใช้การหมุนเวียนนักเตะตำแหน่งกองกลาง ใช้แต่ละคนในสถานการณ์ที่เหมาะกับเกม
3) ทีมที่จะเป็นแชมป์ได้นั้น นอกจากฝีเท้าดีแล้ว อีกส่วนคือจังหวะและโชคต้องเข้าทางด้วย ในซีซั่นนี้ 21 นัดที่ผ่านมา สเปอร์สส่งแฮร์รี่ เคนเป็นตัวจริง 20 นัด (มีนัดเดียวที่ส่งไม่ได้ คือเกมเสมอเอฟเวอร์ตันที่เป็นหวัด) แต่ปรากฏว่า ก่อนเจอลิเวอร์พูลแค่นัดเดียว นัดสเปอร์สเจอเซาธ์แฮมป์ตัน เคนดันมาบาดเจ็บเฉยเลย
แล้วสถิติของเคนในการเจอหงส์นี่ดีมาก ก่อนหน้านี้ ยิงลิเวอร์พูลรวมกันไป 6 ลูก นัดล่าสุดที่แอนฟิลด์ก็ยิงได้ ดังนั้นการขาดอาวุธเบอร์ 1 ไป มันทำให้ลิเวอร์พูลเล่นง่ายขึ้นมาก
4) โชเซ่ มูรินโญ่ ไม่ใช่คนโง่ เขารู้ดีว่าถ้าจัดผู้เล่นแบบเดิมๆ จะโดนหงส์ทะลวงแน่ ดังนั้นจึงดร็อปเอาเซ็นเตอร์ที่เชื่องช้า แยน แฟร์ต็องเก้นออก แล้วใช้ดาวรุ่งยาเฟต ทันกันก้า ลงสนามประเดิมนัดแรกยืนเป็นกองหลังตัวขวาสุด ซึ่งมูรินโญ่ให้เหตุผลว่า ที่ส่งลงเพราะทันกันก้า "เร็ว" ดังนั้น ทันกันก้า จะร่วมงานกับแซร์ช โอริเยร์ ที่เร็วทั้งคู่ คอยดักการโจมตีริมเส้นของซาดิโอ มาเน่
5) เกมนี้ครึ่งแรก แนวรับลิเวอร์พูลเก็บกินหมด ลูคัส มูร่า กับ ซน ฮึง-มิน ทำอะไรไม่ได้ นอกจากลากๆนอกเขตโทษแล้วตวัดยิงหลุดกรอบ ลิเวอร์พูลในครึ่งแรกครองบอลถึง 73% คือข่มสมบูรณ์แบบ โอกาสจะแจ้งเหนือกว่ามาก
6) ผมจำคำที่เจอร์เก้น คล็อปป์เคยใหัสัมภาษณ์ได้ดีครับ คล็อปป์บอกว่า "ซาลาห์คือนักเตะระดับโลกแต่ไม่ใช่ทุกวัน มาเน่คือนักเตะระดับโลกแต่ไม่ใช่ทุกวัน ส่วนฟีร์มีโน่คือนักเตะระดับโลกและเล่นในระดับนั้นแทบทุกวัน" นั่นสื่อให้เห็นว่า เซนส์บอล และจังหวะเข้าทำของฟีร์มีโน่ มีความสม่ำเสมอมากๆ
ฟีร์มีโน่ไม่ใช่คนยิงเยอะ แต่เขาจะทำได้ดีมาก ในเกมที่มีความกดดันสูง และในสถานการณ์ที่ต้องการประตู อย่างในฟีฟ่าคลับเวิลด์ เขายิงได้ทั้ง 2 นัด เกมแพ้แมนฯซิตี้ในซีซั่นก่อนเขาก็ยิงได้ เกมเจอเลสเตอร์ทีมรองจ่าฝูงเขายิงได้ 2 ลูก มานัดนี้ก็เช่นกัน การเจอสเปอร์สของมูรินโญ่เขาก็โชว์ให้เห็นอีกครั้งว่า ทักษะของตัวเองอยู่ในระดับเวิลด์คลาส
1
7) นาทีที่ 2 ของเกมฟีร์มีโน่ ฉีกเข้าไปในเขตโทษสเปอร์ส ก่อนจะไขว้หลอกเอริคเซ่นแต่งบอลมาเข้าซ้าย ยิงติดบล็อค จากนั้นอยากให้สังเกตคือเขายังนิ่งพอที่จะมองรอบข้าง แล้วเห็นว่าอ็อกซ์เลด-แชมเบอร์เลนเติมขึ้นมาแล้ว ก่อนจ่ายให้ยิง แต่อ็อกซ์ยิงไปชนเสา
ลูกนาทีที่ 35 ก็เหนือชั้น ทันทีที่เห็นว่าโรเบิร์ตสันจ่ายให้ซาลาห์ ฟีร์มีโน่อยู่ๆก็หมุนตัววิ่งไปจุดนัดพบทันทีโดยมั่นใจว่าซาลาห์ต้องจ่ายมาแน่นอน และซาลาห์ก็จ่ายให้จริงๆจนหลุดแฮร์รี่ วิงก์ส ก่อนฟีร์มีโน่จะได้ครอส แต่มาเน่ยิงหลุดกรอบอย่างน่าเสียดาย
คือช็อตต่างๆ เราได้เห็นคลาสของฟีร์มีโน่ว่า เอาชนะแนวรับของสเปอร์สได้อย่างสมบูรณ์
8) จนมาถึงประตูนำ 1-0 นี่คือการประชันกันของนักเตะท็อปคลาส ฟีร์มีโน่ กับ นักเตะที่ได้ประเดิมพรีเมียร์ลีกนัดแรก ทันกันก้า ซึ่งผลลัพธ์คือทันกันก้า พยายามแหย่ขาแต่ไม่โดน ฟีร์มีโน่เซนส์บอลไวมาก เพราะบอลหลุดมา เขาแต่งเข้าซ้ายแล้วอัดเต็มข้อทันที หมดสิทธิรับสำหรับกัซซานิก้า
ส่วนท่าดีใจปิดตา ก็เป็นการย้อนความหลังเมื่อ 2 ปีก่อนที่ฟีร์มีโน่โดนแยน แฟร์ต็องเก้นกองหลังสเปอร์สเอานิ้วจิ้มตา ซึ่งเขาเองเคยยอมรับว่ากลัวตาบอดด้วย แต่โชคดีที่ไม่เป็นอะไร ช็อตนี้ฟีร์มีโน่ก็เลยแซวขำๆ ใช้ท่าดีใจปิดตาอีกรอบ (เคยใช้มาแล้วในเกมชนะเปแอสเช ในแชมเปี้ยนส์ลีก)
9) จังหวะนี้กรรมการเรียกขอดู VAR ว่ามีการแฮนด์บอลจอร์แดน เฮนเดอร์สันก่อนหรือไม่ คือถ้าบอลโดนแขน ก็แน่นอนว่าลูกนี้จะริบสกอร์ เพราะกฎเอฟเอ ถ้าบอลโดนแขนฝ่ายรุก จะยกเลิกประตูุทุกกรณี แต่เมื่อดูจากภาพช้าหลายๆมุมแล้ว มันไม่สามารถบอกได้จริงๆว่าโดนแขนเฮนเดอร์สันหรือไม่ ดังนั้นผู้ตัดสินจึงยกให้เป็นประตูตามปกติ
10) สเปอร์สในครึ่งแรกเล่นบอลอย่างโดดเดี่ยวเกินไป ช่วงแรกลูคัส มูร่า เป็นหน้าเป้า แต่บางทีก็สลับเอาซน ฮึง-มินไปยืนหน้าเป้าบ้าง แต่สุดท้ายก็โดนฟาน ไดค์ กับ โกเมซเก็บกินหมด เป็น 45 นาทีแรกที่ลิเวอร์พูลเล่นอย่างสบายใจมากๆ
มีจังหวะหวาดเสียวหน่อยก็นาทีที่ 7 ตอนเฮนเดอร์สันโดนซน ฮึง-มินตัดบอล คืออยากให้ดูการยืนตำแหน่งของคู่เซ็นเตอร์ลิเวอร์พูลที่ลงเร็วมาก มายืนรักษา shape ของแนวรับ ทำให้ซนได้แต่ยิงนอกเขตโทษจนหลุดกรอบไป
11) ขณะที่ซาลาห์ กับ มาเน่ เกมนี้โดนประกบเยอะ ทำให้ได้ยิงน้อยมาก (ซาลาห์ได้ยิง 1 หน, มาเน่ 2 หน) แต่สิ่งดีๆที่เห็นคือทั้ง 2 คนมีความเข้าใจกัน มีช็อตนึงนาทีที่ 9 ซาลาห์อ่านแล้วว่า มาเน่จะสปรินท์ไปที่จุดนัดพบ เขารีบตักบอลเร็วทันที แต่กัซซานิก้าอ่านออกวิ่งมาคว้าไว้ได้ก่อน จังหวะนี้หลายคนอาจจะคิดว่าเฮ้ย ซาลาห์จ่ายแรงจัง แต่มาเน่ ยกนิ้วโป้งให้ซาลาห์นะครับ ว่าจ่ายได้ดีมากๆแล้ว และคำนวณสปีดของมาเน่อย่างแม่นยำ แต่แค่กัซซานิก้าอ่านเกมทันแค่นั้น
12) หลังจบครึ่งแรก ปกติภาพที่เราคุ้นชินคือ โชเซ่ มูรินโญ่จะเดินเข้าห้องแต่งตัวก่อนใครเพื่อน เขาจะรีบใช้เวลาพักครึ่งอย่างคุ้มค่าที่สุด แต่นี่น่าจะเป็นครั้งแรกที่มูรินโญ่เข้าห้องแต่งตัวไม่ทันโค้ชอีกฝ่าย เพราะเจอร์เก้น คล็อปป์ รีบสปรินท์ตัววิ่งเข้าห้องแต่งตัวไปก่อนใครเพื่อนเลย
แสดงให้เห็นว่าทั้งๆที่ยังนำอยู่ แต่คล็อปป์รู้ว่ามีอะไรต้องทำอีกเยอะ เขามีความมุ่งมั่นเต็มร้อยที่จะปิดจ๊อบในเกมนี้ให้ได้
13) ครึ่งหลังมูรินโญ่แก้เกมมาได้ดีมาก และมีสัญญาณอันตรายให้หงส์แดงตั้งแต่นาทีที่ 57 เมื่อเดเล่ อัลลี่ กำลังจะได้ซัดบอลเต็มๆ แต่เวอร์จิล ฟาน ไดค์โชว์ลูกเสียบระดับโลก สกัดบอลแบบไม่ฟาวล์ ลูกนี้กรรมการไม่ว่าอะไร แม้แต่ตัวอัลลี่ก็รู้ว่าโดนบอลเลยลุกมาเล่นต่อ ก่อนที่โอริเยร์จะซัดเต็มๆในจังหวะสอง แต่บอลไปเข้าซองอลิสซอน
14) มูรินโญ่ ส่งสองนักเตะอาร์เจนติน่า โจวานนี โล เซลโซ่ และ เอริค ลาเมล่า เข้านวดแนวรับลิเวอร์พูล และทำให้กองหลังป่วนไปหมด โดยเฉพาะโจ โกเมซ ทั้งเคลียร์บอลพลาดและเสียตำแหน่ง จนเกือบโดนลงโทษหลายหน แต่โชคดีของลิเวอร์พูลที่ สเปอร์สทิ้งโอกาสไปหมด ลูกยิงเน้นๆของซน ฮึง-มิน ข้ามคานไปไกล เช่นเดียวกับการชาร์จบอลต่อๆของโล เซลโซ่ ที่หลุดกรอบเหลือเชื่อ
จังหวะโล เซลโซ่ เราเลยได้เห็นภาพ 2 กุนซือที่คนละโลกกันสุดๆ มูรินโญ่ทรุดไปกองกับพื้นแล้วไปกอดผู้ตัดสินที่ 4 ด้วยความปลงตก
ส่วนเจอร์เก้น คล็อปป์โวยด่าลูกทีมแหลก เพราะทุกตัวในแนวรับเล่นแบบเหม่อกันสุดๆ เทรนต์เคลียร์ไม่ขาด โรเบิร์ตสันปล่อยให้โอริเยร์ครอสง่ายๆโดยไม่เข้าบอล รวมถึงโจ โกเมซ ที่ปล่อยลูกครอสหลุดไปถึงโล เซลโซ่จนได้ยิง
15) สุดท้ายเมื่อนักเตะหงส์ตั้งสติได้ในช่วง 10 นาทีที่เหลือ จึงเอาตัวรอดมาได้ เกมนี้จริงๆทด 3 นาที แต่ผู้ตัดสินบวกเวลาเปลี่ยนตัวของเซอร์ดาน ชาคิรี่ช่วงทดเจ็บไปนิดหน่อยเลยทดเพิ่มเป็น 4 นาที และสุดท้ายเป่านกหวีดหมดเวลาด้วยความระทึกใจอย่างยิ่ง
โดยกลุ่มตัวสำรองที่โดนส่งลงมาทำหน้าที่ตัวเองได้ดีหมด โอริกี้โชว์สเต็ปล็อกหลบแนวรับหลายตัวของสเปอร์สจนเกือบยิงเข้า ขณะที่อดัม ลัลลาน่าแย่งบอลในจังหวะชี้เป็นชี้ตายจากดาวินซอน ซานเชซ นาทีที่ 90+4
จริงๆถ้าสกอร์ขาดๆกว่านี้ อาจได้เห็นทาคุมิ มินามิโนะลงเล่น แต่เกมที่ต้องเอาผลการแข่งขันแบบนี้จะส่งเอาตัวใหม่ลงไปเสี่ยงก็ไม่ได้ ดังนั้นมินามิโนะ ต้องรอโอกาสในเกมอื่นแทน
16) นัดนี้ครึ่งแรกคนที่เด่นสุดคือฟีร์มีโน่ ส่วนครึ่งหลังคือเวอร์จิล ฟาน ไดค์ กับ อลิสซอน เบ็คเกอร์ ในขณะที่แนวรับหงส์เริ่มปั่นป่วนในครึ่งหลัง พวกเขาก็มีฟาน ไดค์กับอลิสซอน ยืนเป็นเสาหลักและไม่ก่อข้อผิดพลาดให้เห็น
บีบีซี ยกให้ฟาน ไดค์เป็นแมน ออฟ เดอะ แมตช์ ส่วนอลิสซอนเกมนี้ทุกครั้งที่เขาเซฟคือเซฟอยู่มือหมดไม่มีกระฉอกเลยแม้แต่ครั้งเดียว คือถ้ารับกระฉอกอาจโดนสเปอร์สซ้ำได้ แต่อลิสซอนไม่มีพลาดเลย
17) หลังจบเกมมูรินโญ่ออกมาโวย 2 เรื่อง คือ 1-ประตูนำ 1-0 ของลิเวอร์พูลควรจะเป็นลูกทุ่มของสเปอร์สก่อนแล้ว และ 2-โรเบิร์ตสันควรโดนใบแดงจากจังหวะเสียบแซร์ช โอริเยร์
เรื่องแรกคือลูกทุ่มอันนี้ มูรินโญ่พูดถูกเพราะจังหวะสุดท้ายโดนขาซาดิโอ มาเน่ออกจริงๆ แต่โชคร้ายของสเปอร์สที่ไลน์แมนอยู่ริมเส้นอีกด้านมันไกลเกินกว่าจะเห็น ลูกนี้ลิเวอร์พูลมีดวงไป ที่ได้ทุ่มจนนำมาสู่ประตู
ส่วนเรื่องที่ 2 จังหวะเสียบของโรเบิร์ตสัน อันนี้ไม่ได้รุนแรงถึงต้องดู VAR อยู่แล้ว โรเบิร์ตสันเสียบบอลก่อนแล้วไถลไปโดนเท้าของนักเตะสเปอร์ส แต่ก็ไม่ได้ถึงกับเป็น Possible Red Card แน่นอน
18) หลังจบเกมนักเตะหลายคนของลิเวอร์พูลดูไม่พอใจกับฟอร์มมากนัก อย่างเวอร์จิล ฟาน ไดค์ พูดว่า "เราต้องวิเคราะห์เกมนี้กันให้ละเอียดแล้วทำผลงานให้ดีขึ้น โดยเฉพาะในครึ่งหลัง" ขณะที่กัปตันเฮนเดอร์สันกล่าวว่า "เราต้องพัฒนาขึ้นให้มากกว่านี้ มีหลายๆจังหวะที่เราเหม่อลอย และปล่อยให้พวกเขาเล่นได้ง่ายๆ"
19) ส่วนเจอร์เก้น คล็อปป์ ก็ไม่ได้แฮปปี้มากเช่นกัน โดยกล่าวว่า "ผลการแข่งขันคือสิ่งสำคัญที่สุด ในสนามแห่งนี้มีทีมเดียวที่สมควรเป็นผู้ชนะ และทีมนั้นคือเรา เราสร้างโอกาสมากมายแต่ปิดไม่ลง มีจังหวะที่โรเบิร์ตสันหลุดไปด้านซ้าย โดยมี 4 คนรออยู่ตรงกลางแต่ไปจ่ายติดอย่างน่าเสียดาย แต่แน่นอน เราทำได้ดีกว่านี้"
20) จบ 90 นาที ก็เป็นอีกหนึ่งเกมที่ลิเวอร์พูลเหนื่อย แต่ก็ยังสามารถชนะได้อีกครั้ง ทำให้ยืดช่องว่างห่างจากอันดับ 2 เลสเตอร์ ซิตี้ ถึง 16 คะแนน แถมยังแข่งน้อยกว่า 1 เกม มันแปลว่าในอีก 17 นัดที่เหลือลิเวอร์พูลสามารถแพ้ได้ถึง 5 เกมเต็มๆ ก็ยังได้แชมป์ลีก
คิดดูว่า 21 เกมแรกหงส์ไม่แพ้สักนัด แล้ว 17 นัดสุดท้ายจะแพ้ถึง 5 นัดเชียวหรือ มันเป็นไปได้ยาก แต่แน่นอน อะไรก็เกิดขึ้นได้ในโลกฟุตบอล และเจอร์เก้น คล็อปป์ จะไม่มีประมาทแน่นอน
21) เกมต่อไปในพรีเมียร์ลีก จะเป็นอีกหนึ่งเกมที่มีความหมายที่สุดในฤดูกาลนี้ ลิเวอร์พูลเจอกับแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่แอนฟิลด์ อย่าลืมว่าปีศาจแดงเป็นทีมเดียวที่ลิเวอร์พูลเอาชนะไม่ได้ในลีกซีซั่นนี้ และแน่นอน คล็อปป์คงไม่อยากคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีก โดยปล่อยให้แมนฯยูไนเต็ดอ้างได้ว่า อย่างน้อยก็เอาชนะแมนฯยูไม่ได้ทั้งเหย้าและเยือนก็แล้วกัน
ดังนั้นเกมหน้าหงส์จัดหนัก จัดเต็ม เพื่อเป้าหมายโค่นปีศาจแดงให้ได้แน่นอน
22) บทสรุปพรีเมียร์ลีกหลังผ่านไป 21 นัด หงส์แดงเอาชนะได้อีกครั้ง พวกเขาเก็บคลีนชีทได้ 6 นัดติดต่อกัน เกมรุกยิงได้อันดับ 2 ในลีก เกมรับดีที่สุดอันดับ 1 และเป้าหมายเป็นแชมป์พรีเมียร์ลีก ถึงตรงนี้พวกเขาจะไม่พลาดแล้ว
#Liverpool
โฆษณา