15 ม.ค. 2020 เวลา 23:12 • ปรัชญา
จุดชีวิตให้ติด...
"Jump start your life"
เมื่อหลายปีก่อน ไม่น่าเชื่อว่าชีวิตที่มุ่งมั่นเพื่อเดินทางไปเติมเต็มความใฝ่ฝันที่ค้างคาไว้ ว่าอยากไปยังดินแดนแห่งโอกาส สักครั้งหนึ่ง
ในที่สุดก็ได้เดินทางไปเติมพลังฝันค้างที่อเมริกา เวลาไปด้วยความรู้สึกแบบตื่นเต้น กระตือรือร้นในใจ และเป็นการเดินทางครั้งแรกด้วยตนเอง
ต้องใช้เวลาเดินทางยาวนานมากร่วม17-18ชม และยังไม่เคยต้องใช้ชีวิตบนเครื่องบินนานขนาดนี้มาก่อน
ทุกสิ่งที่ได้เกิดขึ้นตลอดในการเดินทางครั้งนั้นคือ..เป็นครั้งแรกในแทบจะทุกเรื่อง
เมื่อคนเราได้เดินตามฝัน มักจะเต็มไปด้วยความคาดหวังสูงมาก..ทำให้รู้ว่าเมื่อใดที่คนเรามีความคาดหวังในชีวิตระดับสูงมากเพียงใด เมื่อไม่เป็นตามนั้นความรุนแรงจะส่งผลสะท้อนกลับลงที่กลางใจเป็นหลายเท่า
ตอนนั้นจำได้ว่ากว่าจะไปถึงต้องเปลี่ยนFlightถึงสองครั้ง จึงไปถึงที่หมายในช่วงเวลาตีหนึ่ง..
ต้องเผชิญอุปสรรคมากขึ้นเรื่อยๆ การเดินทางไม่ราบรื่นเป็นไปตามวาดฝันไว้นัก..กระเป๋าเดินทางกระถูกกระชากขาด และมีน้ำหนักมากเกินกำลังเพราะขาดประสบการณ์ในการเดินทาง
มีคนบอกว่าไม่จำเป็นต้องเยอะ..เพียงแค่เท่าที่จำเป็นแล้วค่อยหาใหม่ ก็ไม่เชื่อ คิดเพียงแค่เพราะต้องอยู่นาน จึงเผื่อไว้
ยิ่งเมื่อต้องไปเข้าพักที่โรงแรม ซึ่งใกล้ชุมทางรถประจำทาง ก็รู้สึกต้องระมัดระวังตัว เพราะก่อนมาได้เคยถูกปูพื้นความเชื่อมาว่าสถานที่แบบนี้เป็นจุดเสี่ยงของเหล่ามิจฉาชีพ ควรเลี่ยงจึงเฝ้าระวังตัว
เข้าที่พักได้กุญแจรีบขึ้นห้อง ไปไขประตูห้อง ต้องตกใจ เพราะมีคนนอนอยู่แล้ว โชคดีที่เขาหลับแล้ว
จึงรีบหลบลงไปที่ด้านล่าง ไปบอกพนักงานต้อนรับ เขาไม่ตื่นเต้น บอกเพียงว่าไม่เป็นไรเดียวเปลี่ยนกุญแจห้องให้ใหม่
เมื่อได้เข้าห้องแล้ว..ทีนี้ได้เรื่องเลย จิตปรุงแต่งไม่หยุดหย่อน ภาพความฝันค่อยๆเลือนหายไปแทบหมด
ไม่น่าเชื่อว่าได้สัมผัสกับอารมณ์"อยากกลับบ้าน"แบบHome sickว่าเป็นอย่างไรกับตนเอง..ตั้งแต่วันแรกเลย
การนอนไม่หลับจึงรวมด้วยหลายเหตุทั้งJetlack..และจิตเริ่มดิ่งตก ต้องใช้เวลานั่งสวดมนต์ สมาธิยังเอาไม่อยู่
ในหัวฟุ้งกระจายเต็มไปด้วยความวิตกกังวลว่าจะมีใครได้กุญแจเข้ามาเปิดห้องกลางดึกเหมือนที่เราไปเปิดห้องเขาไหม
ต้องนอนเปิดทีวีเป็นเพื่อน ไปเรื่อยๆ แบบหนัง"Home alone"ว่าเราไม่ได้นอนอยู่อย่างโดดเดี่ยวคนเดียวในห้องพัก
จนกระทั่งรุ่งเช้า มือไปโดน Remote control เปลี่ยนช่อง ไปพบนักเทศน์ที่ถ่ายทอดสดข้ามฝั่งมาจากตะวันตก California แต่ผมอยู่ที่ฝั่งตะวันออก คอนเนคติกัต
ฟังเขาพูดไปงั้นๆ..แบบไม่ตั้งใจนัก แต่ต้องลุกขึ้นจากเตียงมานั่งฟังหน้าทีวีอย่างจริงจัง
ด้วยการโดนยิงจากประโยคเด็ด..เข้ากลางหัวใจเต็มๆ ของดร.โรเบิร์ตฮาโรลด์ชูลเลอร์ว่า
"If it's going to be ,it's up to you."
"ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นมาในชีวิต..ล้วนแล้วขึ้นอยู่กับตัวเราเองเท่านั้น "เพียงประโยคสั้น ๆนี้ได้ดึงสติให้กลับคืนสู่ร่างอย่างรวดเร็ว
รายการทีวี"Hour of Power" ของเขานั้น ผมยิ่งฟังยิ่งฟื้นพลังให้ รู้สึกฮึกเหิมยิ่งกว่าก่อนเดินทางมาซะอีก..คำอธิบายทุกประโยคที่ตอนนั้นเก็บได้บ้างไม่ได้บ้างกลับช่วยจุดชีวิตให้ได้กลับเข้ามาสู่เส้นทางที่ใฝ่ฝันได้
ผมต้องตั้งคำถามต่อตนเองว่าเราเดินทางมาทำไม..จะกลับบ้านมือเปล่าจริงๆหรือ ใช่ความฝันที่เฝ้ารอมาเพื่อแค่นี้หรือ
ทันทีที่มีสติ จึงรีบอาบน้ำ แล้วทำในสิ่งที่จะเป็นต้นเหตุของทุกสิ่งที่จะเป็นไปในชีวิตด้วยตนเอง
เช้าวันนั้นจึงเริ่มต้นชีวิตใหม่อีกครั้ง ด้วยการออกโรงแรม ก้าวเดินไปค้นหาชีวิตที่ไม่เคยเห็นทันที
จิตใจพุ่งยิ่งกว่าหุ้นกระทิง..ภาพในใจเปลี่ยนไปอย่างยืดหยุ่นพร้อมเผชิญทุกสิ่งเพื่อเรียนรู้ เพราะนั่นคือเป้าหมายเพื่อเติมความฝัน
ใครจะรู้ว่า"ประโยคที่เราได้ยินนั้น"ช่างมีพลังมหาศาล ผมเชื่อว่าทุกคนคงเคยพบประโยคกินใจ บ้างมาแล้วไม่มากก็น้อย
ช่างน่าประหลาดมากเมื่อคนเราเจอทางตัน มักจะมีสัญญาณมาช่วยกระตุ้นใจให้ลุกขึ้น ในใจตน เอง เพียงแต่ต้องเปิดคลื่นรับรู้ไว้เท่านั้น
การได้เดินทางแบบCity ทัวร์ไปทั่วเมือง Hartford ใจชื้นยิ่งขึ้นเมื่อเจอสาวงาม นึกว่าคนบ้านเดียวกันคือคนไทย แต่ไม่ใช่เธอเป็นสาวPhillippine มาท่องเที่ยวกับคุณพ่อที่เป็นฑูต
ดีใจที่ได้คุยกับคนแบบเปิดใจ ทำให้ใจสว่างในโลกกว้างยิ่งนัก
เมื่อมีเพื่อนจึงได้ไปเดินชมนิทรรศการที่เขาจัดไว้..เป็นผลงานของนักเขียนการ์ตูนหน้าปกหนังสือ "The Saturday Evening Post"ที่มีชื่อเสียงในอเมริกาในอดีต ชื่อ Norman Rockwell
ผลงานส่วนใหญ่ของเขาเป็นภาพสะท้อนชีวิตครอบครัวอเมริกัน ในช่วงปี1894-1978
ผมยืนชมผลงานและข้อเขียนของเขาที่ติดบนผนังนิทรรศการ
คราวนี้โดนยิงเข้ากลางใจด้วยประโยคเด็ดที่เปลี่ยนชีวิตผมนับแต่วันนั้นเป็นต้นมา อย่างไม่มีวันลืมอีกเลยในชั่วชีวิตนี้คือ
"I paint life as I would like it to be. If there was sadness in this creative world of mine,it was a pleasant sadness.
If there were problems,they were humorus problems.I 'd rather not paint the agonizing crises and tangles of life."
สิ่งที่เขาบอกนั้นเป็นการเปรียบเทียบชีวิตของคนเรา ว่าเป็นเสมือนดั่งภาพวาด ที่คนเราสามารถสะบัดพู่กันวาดทำให้เป็นไปได้ ด้วยการระบายสีสันต่างๆให้แก่ชีวิตของเราเอง
ไม่ว่าจะเป็นปัญหาชีวิตก็สามารถระบายให้เป็นปัญหาที่น่าขบขันได้
ชีวิตที่มีความเศร้าหมอง หรือมีความสุข สนุกสนานล้วนอยู่ที่การใช้พู่กันแต่งแต้มชีวิตของเราเอง
ด้วยประโยคที่เข้ามาโดนใจเพียงแค่ สองประโยคนี้..ชีวิตผมได้เปลี่ยนไปอย่างมีเป้าหมาย วันเวลาที่อยู่ต่างแดนจึงเติมเต็มความฝันอันมากมายให้ชีวิต
ผมเชื่อว่า คนเราทุกคนต่างสามารถที่จะค้นพบ" The sentences to inspire your whole life"ได้เสมอ
ขอเพียงคนเราพร้อมเปิดใจให้เดินทางเพื่อค้นหา..ย่อมมีสักวันแน่นอนที่จะพบประโยคสร้างอิทธิพล..คลิกชีวิตให้คนเราทะยานไปข้างหน้าด้วยแรงบันดาลใจที่เต็มเปี่ยมได้
อย่างน้อยผมก็ได้ทำความฝันให้เป็นไปได้ก่อนกลับบ้าน ด้วยบินข้ามฟาก ไปยัง Crystal Cathedral in Garden Grove, California.เพื่อไปเอาหนังสือเล่มนั้นติดมือกลับบ้าน...
กลายเป็นความทรงจำ..ที่สร้างจุดเปลี่ยนครั้งที่สำคัญครั้งหนึ่งในชีวิต..นับแต่นั้นมา...."LL&L
โฆษณา