16 ม.ค. 2020 เวลา 23:05 • ปรัชญา
"ความเชื่อ...ในความเคยชิน"
มีใครเคยคิดบ้างไหมว่า ทำไมคนในองค์กรของเราจึงยังทำในสิ่งที่มีความเสี่ยงที่จะเกิดผลกระทบตามมา..โดยไม่ยอมปรับเปลี่ยนกัน
และรู้สึกว่า"ตนเองเหมือนเป็นแกะดำ..ในฝูงแกะขาว"ไม่มีความสุขเลย อยากจะหลีกหนี ย้ายหลบไปที่อยู่ที่อื่นดีกว่า
อยากบอกว่า...
การหลีกหนีอาจจะไม่ได้ช่วยแก้ไขให้อะไรดีขึ้นมาได้เลย..เพราะที่อื่นก็อาจจะเจออีกเช่นกัน
เพราะนั่นคือ แบบทดสอบของชีวิต ที่ทุกคนต้องแก้โจทย์ด้วยการหาคำตอบที่เหมาะสมด้วยตนเองเสมอจึงจะผ่านไปได้
เพราะการดำรงอยู่ แล้วตั้งใจทำหน้าที่ให้มั่นคง บางเรื่องที่เราแก้ไม่ได้เพราะอยู่เหนือในอำนาจหน้าที่เรา ก็ขอให้จดและท่องจำให้ขึ้นใจไว้ว่า
"..เมื่อฉันเติบโตเป็นเช่นนั้น ฉันจะไม่ทำเช่นนี้อย่างแน่นอน"
โดยหลักพื้นฐานแล้วคือ คนเรามักจะไม่สามารถ.."เปลี่ยนแปลงใครได้ง่ายๆ..นอกจากเปลี่ยนแปลงตนเองก่อนเท่านั้น"
ลองเริ่มที่ตัวเราก่อนเสมอ..และ
ให้ถือว่าเราได้พยายามทำในสิ่งที่ควรทำแล้ว ส่วนใครจะรับฟังกันได้แค่ไหนก็สุดแล้วแต่ว่าเขาจะgetกันเองตามกรอบอัตตา ได้แค่ไหน
ยิ่งเป็นเรื่องที่ยังมาไม่ถึงและมองเห็นไม่ชัด ถึงสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นในอนาคต จึงเป็นการยากที่จะมีใครมองเห็นและเข้าใจได้ง่ายๆกันนัก
แต่ก็ขอให้เชื่อมั่นว่า อาจมีใครบางคนที่มีมุมมองเห็นความคุกคามที่กำลังคืบใกล้เข้ามาตรงหน้าแล้ว
โดยที่คนอื่นๆอาจจะไม่รู้ตัว แม้จะมีกระบวนการพยายามบ่งบอกว่าอันตรายกำลังคุกคามและมีความเสี่ยงมากสักเพียงใดก็ตาม
มีเล่าเรื่อง..ว่าวันหนึ่งมีจระเข้3ตัวรวมตัวกันและได้ว่ายมาถึงฝั่งแม่น้ำ ใกล้ๆบริเวณที่มีกลุ่มคนอาศัยกันอยู่เป็นจำนวนมาก จึงค่อยๆเคลื่อนตัว..ลอยตัวส่วนหัวเฝ้ามองอย่างสงบนิ่งเพื่อหาจังหวะเวลาจัดการเหยื่ออย่างใจเย็น
แต่คนทั่วไปในกลุ่มนั้นมองว่านั่นคือ"ขอนไม้ทั้งสามท่อน"ลอยน้ำมา ไม่มีภัยอันตรายใดๆ..เข้ามาคุกคามพวกเขาอย่างแน่นอน
พวกเขาจึงใช้ชีวิตริมฝั่งน้ำอยู่กันแบบเดิมๆมีความสุขและสนุกสนานกันตามสบาย ตามความเคยชินที่มีมานานแล้วหลายสิบปี
ส่วนคนที่มองเห็นว่าเป็นจระเข้..ก็พยายามจะเรียกชายอีกคนหนึ่งมาบอกให้รู้ว่าอันตรายกำลังซุ่มดูพวกเราอยู่ แต่ก็ไม่สามารถเปลี่ยนความคิดของอีกคนได้เลยแม้แต่น้อย
จนกระทั่ง รู้สึกโมโหจนต้องกระโดดขึ้นไปยืนสาธิต ..บนขอนไม้นั้น..ว่ามันไม่ใช่ และแล้วเขาก็ต้องจากไปอยู่ในท้องจระเข้ตัวที่สองในพริบตา
เมื่อเห็นกับตาตนเองว่าจระเข้ได้งาบ..ชายผู้หวังดีไปแล้วเช่นนั้น ชายอีกคนนั้นก็เข้าใจถึงสิ่งที่เพื่อนคนก่อนได้พยายามบอกมาอย่างแจ่มแจ้งชัดเจน โดยไม่สงสัยใดๆอีกต่อไป
สิ่งที่เกิดขึ้นคือกรอบความคิดของเขาที่เรียกว่า"Paradigm shift"จึงเปลี่ยนไปได้ ณ.บัดดล..ว่าความเสี่ยงที่มาคุกคามนั้นคืออะไร
แต่ปรากฏว่าเมื่อคนเก่าจากไป..ก็มีคนรุ่นใหม่ๆเข้ามาทดแทนเสมอ เขาจึงพยายามทำหน้าที่เตือนภัยแบบชายคนก่อนว่านั่นไม่ใช่ขอนไม้ลอยมา..
แต่คือจระเข้ตัวเขื่องถึงสามตัวที่พร้อมจะขม้ำเหยื่อได้ตลอดเวลาหากทุกคนตั้งอยู่บนความประมาท
ดังนั้นเขา..จึงทุ่มเทใช้ความพยายามอธิบายความน่าสะพรึงกลัวให้ตระหนักถึงภัยคุกคามไว้..จากประสบการณ์ตรงที่เคยเห็นมากับตาตนเอง
คนมาใหม่ก็ไม่เชื่อตามคำบอกเล่า..และคิดว่านั่นคือตำนานในอดีตที่อาจถูกแต่งแต้มสีสันให้ตื่นเต้นกันเกินเหตุ..เขาจึงเลือกเชื่อตามสายตาที่เขามองเห็นเท่านั้น
แล้ววงจรการเปลี่ยนความคิดก็เป็นเช่นเดิมวนเวียนซ้ำไปมาไม่รู้กี่Generation..ในแบบนั้นดั่งวัฏจักรที่ไม่มีวันสิ้นสุด
ดูท่าจระเข้ทั้งสามน่าจะอิ่มหนำสำราญ..และได้ปรับเปลี่ยนความเชื่อที่เคยชิน(Paradigm shift)ว่าต้องว่ายไปหาเหยื่อเช่นเคย
เพราะรู้แล้วอย่างชัดเจนว่าที่นี่ช่างอุดมสมบูรณ์ต่อการทำธุรกิจเป็นหุ้นส่วนร่วมกันทั้งสาม เป็น"Start up"ดาวรุ่ง
คงไม่ต้องย้ายไปหาแหล่งทำเลทำธุรกิจหากินที่ไหนอีก..เพียงพัฒนาชุดทักษะใหม่ในการซุ่ม..เกาะ..และคอยกินเหยื่ออยู่ที่องค์กรนี้..นี่แหละ..ใช่เลย..."LL&L
 
@@@@@@@
มีผู้ทำนายอนาคต..มองเห็นว่า:
จระเข้สามตัวนั้น อนาคตจะยิ่งมีชื่อเสียงมากจนติดอันดับTopในทุกสำนักและมีความสำเร็จยิ่งใหญ่::::
ตัวแรก..ชื่อว่า"พญาโลภะ ..
มีความมั่งคั่งไม่สิ้นสุด"
ตัวที่สอง..ชื่อ"มหาโทสะ"
มีอำนาจล้นเหลือ"
ตัวที่สาม..ชื่อ"เทพาโมหะ"....
มีคะแนนนิยมลุ่มหลงสูงส่ง"
@@@@@@@@@
โฆษณา