17 ม.ค. 2020 เวลา 07:46 • กีฬา
สิ่งที่เราได้เห็นว่าอากิระ นิชิโนะทำให้บอลไทยเดินหน้ามาถูกทางคืออะไร และวงการฟุตบอลไทยจะซึมซับมันได้หรือไม่ วิเคราะห์บอลจริงจังจะเล่าให้ฟัง
21 กรกฎาคม 2019 หนึ่งวันหลังแต่งตั้งอากิระ นิชิโนะ เป็นเฮดโค้ชทีมชาติไทย ผมเขียนบทความถึงเขาไว้ครับ ขอยก Quote มาเลยนะ
"นิชิโนะรู้วิธีทำงานกับนักเตะเยาวชน เขากล้าเรียกตัวใหม่ๆถ้าหากมั่นใจว่าฝีเท้าดีพอ
นิชิโนะทำการบ้านวางแผนคู่แข่งเสมอ และยึดมั่นในความคิดของตัวเอง แม้จะมีแรงกดดันจากรอบนอก ไม่อ่อนไหวง่ายๆ และที่สำคัญที่สุด เขารู้ว่าวิธีชนะคู่แข่งในสนามทำอย่างไร
เขารู้ว่าอะไรควรทำ อะไรไม่ควรทำ คนแบบนี้ คือโค้ชที่ไทยต้องการ มั่นคง หนักแน่น มีไหวพริบ รู้ว่ากับทีมไหนควรเล่นอย่างไร
การแต่งตั้งครั้งนี้ หากดูจากคุณภาพและดีกรีแล้ว นี่คือตัวเลือกที่ดีที่สุดเท่าที่ไทยจะหาได้"
ผ่านจากวันนั้นไป 6 เดือน สิ่งที่ผมเขียนไว้วันนั้น เราเริ่มเห็นภาพแล้วว่าเออ เขาไม่ได้ทำสิ่งที่เกินคาดจริงๆ
ในรายการ ยู-23 ครั้งนี้ ทำให้เราได้เห็นว่านิชิโนะมีทัศนคติของมืออาชีพจริงๆ แนวคิดของโค้ชระดับเอเชียมันเป็นแบบนี้ เป็นมุมที่แฟนบอลหรือโค้ชทั่วไปอาจจะตัดสินใจไม่ได้แบบนี้
1) แบกรับความรับผิดชอบทั้งหมดด้วยตัวเอง
ความพ่ายแพ้ในซีเกมส์ การตกรอบแรกอันแสนเจ็บปวด ถ้าสังเกตดีๆ คนที่โดนด่าในวันนั้นไม่ใช่นิชิโนะหรอก ส่วนใหญ่ก็จะไปด่านักเตะกัน ด่าศุภชัย ใจเด็ดที่ไร้ความคม ด่าแนวรับที่เล่นบอลยังไงนำเวียดนาม 2 ลูกแต่โดนคัมแบ็กกลับมาตีเสมอได้
ด่าตัวสำรองที่แก้เกมไม่ได้เลย ด่ากรรมการที่ตัดสินให้เวียดนามยิงจุดโทษใหม่ทั้งๆที่เซฟได้ไปแล้ว
ในวันที่ตกรอบนิชิโนะกล่าวว่า "ในฐานะโค้ชผมขอรับผิดชอบแต่เพียงผู้เดียว เพราะผมบริหารจัดการทีมได้ไม่ดีพอ"
คือไม่ต้องโทษใคร ไม่ต้องอ้างว่านักเตะเล่นไม่ดี หรือเขาไร้ประสบการณ์ในการทำรายการระดับอาเซียน เมื่อทำทีมล้มเหลวก็ยอมรับกันตรงๆ
หลังเกมอิรัก นิชิโนะได้อธิบายเรื่องนี้อีกครั้งโดยบอกว่า "ซีเกมส์กับทีมชุด u-23 ชิงแชมป์เอเชีย มีความเข้าใจ และความฟิตไม่ได้ต่างกัน แต่ปัญหาคือผมจัดการได้ไม่ดีเอง"
นี่คือสปิริตของคนเป็นผู้นำ เมื่อคุณกล้าเข้ามารับผิดชอบงานใหญ่แล้ว สิ่งที่ต้องมีตามไปด้วยคือคำชม และคำด่า ถ้าคุณผลงานดีคนก็ชม แต่ถ้าคุณผลงานแย่คนก็ต้องด่า คุณจะรับแต่คำชมและปฏิเสธคำด่าไม่ได้หรอก เพราะมันก็ว่ากันตามผลงาน
อีกอย่างลองคิดว่าถ้านิชิโนะวิจารณ์เด็กแรงๆ ไปด่าทิตาธรด้วยฟอร์มในซีเกมส์ เด็กคงความมั่นใจจมดินไปเลย คงไม่กล้าเล่นกล้าเลี้ยงเหมือนในรายการชิงแชมป์เอเชียแน่ๆ
2) นิชิโนะกล้าเลือกนักเตะทุกคนถ้าคิดว่าดีพอ
ในโอลิมปิกเกมส์ 1996 ทีมชาติญี่ปุ่นที่มีอากิระ นิชิโนะเป็นโค้ช เอาฮิเดโตชิ นากาตะ เด็กวัย 19 ติดทีมชุด U-23 ไปแข่งโอลิมปิกที่แอตแลนต้าด้วย และไม่ได้ไปเที่ยวเฉยๆนะ นากาตะออกสตาร์ตเป็นตัวจริงเลย
มีน้อยประเทศมากที่จะกล้าเอาเด็ก 19 มาเล่นในรายการของทีม U-23 เพราะเด็กต้องเล่นแบบแบกอายุ แต่นิชิโนะเชื่อมั่นว่าถ้าคุณเก่งพอ คุณก็แก่พอ และสำหรับนากาตะ จากโอลิมปิกวันนั้นก็เป็นบันไดให้เขาไต่เต้าสู่การเป็นสตาร์แถวหน้าของเอเชียต่อไป
หลายๆเกมในศึก U-23 ชิงแชมป์เอเชีย นิชิโนะพิจารณาอย่างดีแล้วว่า จะเอาใครมาติดทีมบ้างในชุดนี้ ซึ่งตอนชื่อ 23 คนออกมา ก็มีเสียงเห็นด้วยบ้าง ไม่เห็นด้วยบ้างปนกันไป
คนก็วิจารณ์ว่าเฮ้ย ทำไมไม่เรียกรัตนากร ใหม่คามิติดทีมล่ะ แล้วใส่ชื่อกองหน้าน้อยจังบ้างล่ะ แต่นิชิโนะก็คัดเอา 23 นักเตะที่เขาคิดว่าเหมาะที่สุดกับทัวร์นาเมนต์นี้
ผลลัพธ์ออกมา เราจะเห็นได้ว่าทุกคนเล่นได้มีประสิทธิภาพ แม้แต่ส่งสำรองมา 7 คน ในเกมกับอิรักก็ยังเล่นได้ดีทั้งหมด ไม่มีใครที่เล่นได้น่าผิดหวังจนต้องไปด่านิชิโนะว่า "เลือกมาได้ยังไง" คือไม่มีแบบนั้นเลย
มันแสดงให้เห็นว่า ถ้านิชิโนะคิดว่า ผู้เล่นคนนี้ดีพอแล้ว เขาก็จะเรียกติดทีมแน่นอน โดยไม่ได้แคร์เสียงวิจารณ์จากคนอื่นทั้งสิ้น
3) ไม่สนดราม่าออนไลน์ ทำงานของตัวเองไป
เป็นธรรมดาของทุกคน ที่อยากรู้อยู่แล้วว่า คนอื่นพูดถึงเราว่าอะไร จริงอยู่นิชิโนะเป็นคนญี่ปุ่น แต่โลกยุคนี้มีระบบ Google Translate ดังนั้นถ้าเขาอยากรู้ว่าคนไทยวิจารณ์ถึงเขาแบบไหน เขาเข้าเว็บ หรือเพจเกี่ยวกับบอลไทย ก็จะได้รู้ฟีดแบ็กที่คนไทยเขียนถึงเขาอย่างง่ายดาย
ผมนั่งย้อนอ่าน ว่านิชิโนะโดนด่าแบบไหนบ้างนะครับ ในช่วงก่อนทัวร์นาเมนต์จะเริ่ม ซึ่งฉายาที่โดนตั้งให้มีดังนี้
"ซามูไรพลาสติก"
"โค้ชจอมเก่าเก็บ"
"อากิระ นิชชิน" (เลียนเสียงกับบะหมี่ Nissin)
"นิชิโนะโค้ชตกยุค"
ถ้านิชิโนะเป็นคนคิดมาก คงอกแตกแล้วล่ะ ผลงานรวมๆก็ไม่ได้แย่ เพิ่งคุมทีมยังไม่ถึงครึ่งปี กลับโดนถล่มเละเทะขนาดนี้ นี่เราอุตส่าห์มาคุมทีมชาติไทยให้ แถมไม่ได้เอาสตาฟฟ์ตัวเองมาจากญี่ปุ่นเลย มาคนเดียว จะได้กระจายความรู้ให้สตาฟฟ์โค้ชชาวไทยให้มากที่สุด แต่กลับโดนด่าเละเทะขนาดนี้
แต่เขาก็ไม่ได้สนเสียงด่าทออะไรแบบนั้น ยังคงมุ่งมั่นทำงานของตัวเองต่อไป โดยไม่สนเสียงวิจารณ์
ตอนปลายปีก่อน จำได้ไหมครับ นิชิโนะบอกว่าพอจบซีเกมส์จะให้นักเตะพักผ่อนเต็มที่ แล้วค่อยมาร่วมแคมป์ทีมชาติวันที่ 26 ธันวาคม จากนั้นซ้อม 5 วัน ก็ให้พักอีกวันที่ 31 ธันวาคม กับ 1 มกราคม แล้วค่อยมารวมตัวฝึกซ้อมอีกรอบวันที่ 2 มกราคม
ตอนนั้นเขาก็โดนโลกออนไลน์ด่ายับเลยเหมือนกัน บอกว่าเสียดายเวลา ทำไมไม่ทำเหมือนเวียดนามที่ลุยเก็บตัวทรหด 20 วันรวด จะปล่อยให้เด็กมันพักทำไม เดี๋ยวพอพักเยอะๆแล้วก็ปล่อยเนื้อปล่อยตัว
แต่นิชิโนะให้เหตุผลอย่างหนักแน่นว่า "ทราบดีที่อยากให้มีการเก็บตัวนานๆ แต่หากว่า นักฟุตบอลเข้าแคมป์ด้วยร่างกายที่ไม่ได้พักผ่อนอย่างเพียงพอ ก็เสี่ยงต่ออาการบาดเจ็บ และไม่เป็นผลดีต่อทัวร์นาเมนต์ ดังนั้นนักเตะต้องพักอย่างเหมาะสมไม่ใช่แค่ร่างกาย แต่ต้องเป็นจิตใจด้วย"
คนทุกอาชีพต้องมีเวลาพักของตัวเองทั้งหมด วันสิ้นปี กับวันปีใหม่ คือถามจริง ใครจะอยากทำงาน ขอเวลาอยู่กับครอบครัวในวันพิเศษไม่ได้หรือไง ซึ่งตรงนี้นิชิโนะก็เข้าใจดี และให้นักเตะได้พักอย่างเหมาะสมแบบที่มนุษย์พึงจะเป็น
การกระทำของตัวเองมีเหตุผลรองรับ ดังนั้นใครจะด่าก็ด่าไป เขาไม่ได้สนใจนัก
4) Mindset ที่แตกต่างกัน
ผมไปอ่านบทความของพี่กุ่ย ตังกุย เขียนถึงนิชิโนะจุดนึงแล้วชอบมากๆ เห็นด้วยทุกประการครับ คุณตังกุยบอกว่า ระหว่างที่แฟนบอลไทยกำลังดีใจ ที่เข้ารอบน็อกเอาต์ครั้งแรกในประวัติศาสตร์ แต่นิชิโนะไม่ได้มองแค่นี้
เป้าหมายของเขาคือ อยากลุ้นพาไทยไปโอลิมปิกให้ได้ และถ้าจะทำแบบนั้นได้ แค่ผ่านรอบแบ่งกลุ่มยังไม่พอ คุณต้องชนะรอบ 8 ทีมสุดท้ายเป็นอย่างน้อย ต้องฝ่าฟันไปให้ถึงรอบรองชนะเลิศถึงจะมีสิทธิ
ดังนั้นในมุมของนิชิโนะ ในเกมนัดที่ 3 กับอิรัก จะเอาตัวจริงลงบู๊จนให้หมดแรงทำไม เพราะถึงทำแบบนั้นผ่านเข้ารอบไปก็ไม่เหลือสภาพ คุณก็เสร็จแชมป์กลุ่ม B อยู่ดี
"การเปลี่ยนแปลง 11 ตัวจริงในวันนี้ เปลี่ยนหลายตำแหน่งจากเกมนัดที่ 1 และ 2 เพราะแม้นักเตะทุกคนฟื้นฟูได้ดี แต่เห็นได้ชัดว่าทุกคนก็มีอาการล้า" นิชิโนะให้สัมภาษณ์หลังเสมออิรัก 1-1
"ผมจึงตัดสินใจ ใช้ตัวสำรองที่ยังไม่ได้ลงสนาม ซึ่งในตอนซ้อมหลายคนก็ทำได้ดี เราก็อยากให้โอกาส ซึ่งในช่วงก่อนเกม ก็ได้กำชับนักเตะ ว่าไม่ต้องกลัว และจงมีสมาธิ สุดท้ายก็สามารถยันสกอร์ไว้ได้"
การตัดสินใจช็อตนี้ เท่ากับว่าไทยได้ประโยชน์สองเด้ง เด้งแรกคือตัวหลักได้พักฟื้นเต็มๆ มีเวลาฟื้นฟูสภาพร่างกาย ซึ่งในทัวร์นาเมนต์แบบนี้ การได้โอกาสพักเพิ่มไม่ได้ต้องเล่น 1 แมตช์ มีคุณค่าราวกับทองคำ
เด้งสอง คือนักเตะตัวสำรองได้ความมั่นใจเต็มๆ คิดดูว่าคุณกล้าส่งเขาลงในเกมชี้เป็นชี้ตายแบบนี้ ที่จะตัดสินการเข้ารอบได้ และพอกลุ่มตัวสำรองทำได้ มันก็ทำให้เขามีแรงฮึดมากขึ้น ถ้าในเกมต่อๆไปได้โอกาสลงสนามก็จะเล่นด้วยความมุ่งมั่นมากกว่าเดิม
แต่อยากให้สังเกตครับว่า การที่นิชิโนะเปลี่ยน 7 ตัวลงเล่น ไม่ใช่ว่าเขาคิดอ่านไม่รอบคอบ แต่เกิดจากการคำนวณแล้วว่า คู่แข่งคืออิรัก ซึ่งไม่ได้มีระดับฝีเท้าที่เหนือกว่าบาห์เรนหรือออสเตรเลียเลย ดังนั้นเมื่อไทยทำผลงานได้ดีกับสองทีมนั้น การเจออิรักเราก็ย่อมไม่ได้เป็นรอง
มีประโยคหนึ่งของพี่ตังกุยที่เขาอ่านขาดมาก ผมยก Quote มาเลย นะครับ มันใช่จริงๆ
"เรามีความรู้สึกว่าเอาตัวเองเข้ารอบก่อน ประคับประคองตัวผ่านเข้าไปให้ได้ก่อน ก็คู่แข่งอย่างอิรักอันตรายจะตาย เจอกันเคยชนะที่ไหน ส่วนรอบต่อไปค่อยมาว่ากันอีกที
นั่นคงจะเป็น Mindset ของเรา เพราะเราอยู่ในมาตรฐานประมาณนี้มาตลอด ไม่ใช่เรื่องผิดที่เราจะคิดแบบนี้
แต่สำหรับนิชิโนะที่คุ้นเคยกับมาตรฐานความคิดอีกแบบ เพราะทีมชาติญี่ปุ่นทุกชุดไม่เคยมองแค่การผ่านรอบแรกเท่านั้นแต่มองไกลถึงจุดหมายที่ถือว่าเป็นความสำเร็จ ถ้าเป็นทัวร์นาเม้นต์ระดับทวีปต้องแชมป์ ถ้าเป็นรายการคัดเลือกต้องคว้าตั๋วเข้ารอบสุดท้าย
Mindset ของ อากิระ นิชิโนะ จึงมองข้ามไปถึงนัดที่รออยู่ในวันเสาร์ ถามว่าเสี่ยงไหมเพราะด่านกับอิรักถือว่าใกล้ตัวกว่าเขาก็ยอมรับว่าเสี่ยง แต่เมื่อได้ผลมันก็กลายเป็นประโยชน์ยิ่งกว่า อย่างน้อยเราก็มีทีมที่พร้อมกว่าคู่ต่อสู้แน่ๆ ในรอบ 8 ทีมสุดท้าย"
เออ มันใช่จริงๆ มุมมองของโค้ชระดับนี้เขาคิดไปโน่นแล้ว ไม่ได้แค่มาดีใจกับการเข้ารอบแบบพวกเราหรอก เป้าหมายของเขามันใหญ่จริงๆ
ดังนั้น ใครจะชอบหรือไม่ชอบนิชิโนะอย่างไรก็แล้วแต่ แต่ส่วนตัวผมคิดว่าเขาเป็นคนเก่ง
ไม่ใช่ว่าผมไม่เคยตำหนิเขานะครับ ผมก็เคย ในเกมที่แพ้มาเลเซีย ที่เขาเปลี่ยนแผงหลัง 3 จาก 4 ตัวจากชุดชนะยูเออีผมก็ตำหนิตรงๆเหมือนกัน แต่ในภาพรวม เขาทำสิ่งที่ถูกมากกว่าสิ่งที่ผิด และอะไรที่ผิดแล้วผมไม่เห็นนิชิโนะจะทำซ้ำนะ
ในขณะที่ข้อดีที่ผมเคยบอกไว้วันแรกว่าเขาเป็น เขาก็เอาสิ่งนั้นมาใช้กับทีมชาติไทยทั้งหมดเลย
- รู้วิธีทำงานกับเยาวชน
- รู้ว่าควรเล่นกับทีมต่างๆอย่างไร อะไรควรทำ ไม่ควรทำ
- ยึดมั่นในแนวคิดของตัวเอง แม้จะมีแรงกดดันจากรอบนอก มั่นคง หนักแน่น
การที่เขามาที่ไทย นอกจากจะมาทำให้ทีมไทยดีขึ้นแล้ว อีกแง่หนึ่งคือแฟนบอลไทย และคนที่ทำงานด้านสตาฟฟ์โค้ชจะได้ศึกษาทัศนคติของเขาด้วย
ว่าทำแบบไหนถึงพาญี่ปุ่นผ่านรอบน็อกเอาต์ฟุตบอลโลกไปได้ และ ทำแบบไหนถึงเอาชนะบราซิลในโอลิมปิกได้
การมีนิชิโนะอยู่ย่อมเป็นประโยชน์ ที่เราจะเก็บเกี่ยวสิ่งดีๆจากเขาให้มากที่สุดครับ ผมเชื่อแบบนั้นนะ
เสาร์นี้มาเชียร์ไทยโค่นซาอุฯกันครับ ถ้าทำได้ ประวัติศาสตร์โอลิมปิกจะใกล้เข้ามาอีกก้าว ครั้งสุดท้ายที่เราได้ไปคือปี 1968 ถ้าทำได้อีกครั้งมันจะมหัศจรรย์มากแน่ๆ
แต่ถ้าไทยไม่สามารถชนะซาอุดิอาระเบียได้ เราก็จะไม่ได้ไปโอลิมปิก ซึ่งแน่นอน ทุกคนก็เสียใจ ผมก็เสียใจ แต่อย่างน้อย มันก็พอจะพิสูจน์ให้เห็นว่า ทิศทางของบอลเยาวชนไทย มันค่อยๆดีขึ้นจริงๆ
จากที่เราเคยท้อแท้ในซีเกมส์ มาตอนนี้ เราเริ่มเห็นแสงทองแห่งความหวัง ในเจเนเรชั่นต่อไป ว่าเออ เด็กไทยมันก็เก่งนี่หว่า ถ้าได้โค้ชที่ดีพอก็ชักจูงให้เด็กๆสามารถปล่อยของได้เหมือนกัน
และสุดท้าย ผมยังคงยืนยันเหมือนเดิมในวันแรกที่นิชิโนะได้รับการแต่งตั้ง
"การแต่งตั้งครั้งนี้ หากดูจากคุณภาพและดีกรีแล้ว นี่คือตัวเลือกที่ดีที่สุดเท่าที่ไทยจะหาได้"
และแน่นอน ฉายาซามูไรพลาสติกที่โดนคนตั้งให้ จึงห่างกับความเป็นจริงแบบไกลลิบเลยทีเดียว
#Nishino #Thailand
โฆษณา