21 ม.ค. 2020 เวลา 05:19 • ความคิดเห็น
เมื่อคนกรุง "ปัดฝุ่น"....
ประเด็นยอดฮิตตอนนี้คือเรื่องฝุ่น
รายงานของกรมควบคุมมลพิษบอกไว้ว่า ส่วนใหญ่ของฝุ่นพิษในกรุงเทพมาจากภาคขนส่ง หรือก็คือควันรถที่วิ่งอยู่ภายในกรุงเทพเอง
หน่วยราชการ แย็ปๆออกมาด้วยมาตรการยาแรง เช่น การห้ามรถวิ่งในเขตเมือง อะไรแบบ นั้น
คนกรุงเทพก็ตีโพยตีพาย จนต้องเงียบไปในที่สุด
สิ่งที่เกิดขึ้นตามมาคือคนกรุงเทพจำนวนหนึ่งกำลังหา "แพะ"กับเรื่องที่เกิด และดูเหมือนจะเจอแล้วด้วย
...แพะก็คือ คนบ้านนอก เกษตรกร เหมือนเดิม....
ภาพประกอบจากไทยรัฐ
สองวันมานี่เพจที่ดังที่สุดในเฟสบุ๊คคือ Drama addic กำลังพยามชี้นำสังคมว่า ที่มันมีมลพิษมากๆเนี่ยก็เพราะการเผาทางการเกษตร
ก็มีการแชร์เฟสบุ๊คของคนดังๆมาชักจูงให้คนเชื่อว่ามันเป็นเพราะคนบ้านนอกเผา
...โดนหนักที่สุดตอนนี้คือชาวไร่อ้อย ที่โดนตราหน้าว่าชุ่ย มักง่าย โลภ ขี้เกียจ สารพัดที่จะนึกมาด่าเขาได้
...และน่าตกใจคือเมื่ออ่านคอมเมนท์แล้วไม่มีใครสักคนที่ด่าเข้าใจปัญหาจริงๆ
ทำไมชาวไร่อ้อยต้องเผา?
ผมสรุปให้ง่ายๆเลยคือ
1) หาคนตัดไม่ได้
2) ต้องให้เร็วพอที่จะขายก่อนปิดหีบในช่วงเดือนเมษายน
3) รถรับจ้างตัดไม่มี เพราะราคาสูง
4) ปัญหาทางการเงินของเกษตรกรเอง โดยเฉพาะการมีหนี้นอกระบบ
...คนไม่ทราบปัญหาก็จะด่าว่าเขาขี้เกียจโดยไม่เข้าใจว่าการตัดอ้อยสดมันเป็นงานหนักมาก มากขนาดว่าแรงงานพม่าที่ขึ้นชื่อว่าถึกบึกบึนที่สุดก็ไม่ทำ ถ้าไม่ให้มากเป็นพิเศษ ส่วนแรงงานไทยนั้นเข้าสู่ภาคอุตสาหกรรมกันเยอะจนขาดแคลนมานานแล้ว ปัจจุบันในภาคเกษตรจะเป็นผู้มีอายุ แล้วมันจะไหวได้ยังไง
...ประกอบกับช่วงนี้ประเทศเพื่อนบ้านเองเขาก็เก็บผลผลิตเหมือนเรา ทำให้แรงงานต่างด้าวกลับบ้านเป็นจำนวนมาก การตัดสดที่ช้ากว่า กินแรงมากกว่าจึงแทบเป็นไปไม่ได้ ทางเลือกเดียวก็คือเผาซะก่อนนั่นเอง ถึงจะใช้แรงคนตัดไหว
...ส่วนเรื่องรถตัด ไม่ต้องไปพูดกับชาวบ้านเกษตรกรรายย่อยหรอก มือสองเน่าๆยังแพงกว่าเบนซ์มือหนึ่งเลย จะเอาปัญญาที่ไหนไปซื้อ และเพราะมันแพงนี่แหละคนรับจ้างตัดจึงไม่ซื้อมารับจ้างเหมือนรถเกี่ยวข้าว ที่ใช้รถอยู่คือไร่ของเกษตรกรรายใหญ่ หรือบริษัทน้ำตาลเท่านั้นแหละ
เมื่อตัองรีบตัด รีบส่งหนี้ ขาดแรงงาน การเผามันจึงเป็นทางออกเดียว แม้จะเสี่ยงคุกเสี่ยงตารางก็ตาม
คนกรุงส่วนมากไม่เข้าใจปัญหานี้ ผมค่อนข้างโชคดีที่มีความรู้ด้านนี้อยู่บ้างเพราะลุงผมซึ่งเป็นข้าราชการเกษียณได้ผันตัวเข้าไปอยู่ในภาคการเกษตรจะเล่าให้ฟังเสมอจึงพอบอกได้คร่าวๆถึงปัญหาส่วนใหญ่ของเกษตรกร หลายครั้งผมจึงแก้ตัวให้เกษตรกรเสมอ
ผมยังไม่เห็นแนวทางการแก้ปัญหาจากภาครัฐแบบทั้งระบบ เข้าใจว่ายากพอสมควร ผมจึงไม่อยากตำหนิภาครัฐในส่วนนี้และตอนนี้
...แต่ผมเป็นห่วงทัศนคติที่คนเมืองมีต่อเกษตรกรมาก ปัจจุบันการสื่อสารกันบนโซเชี่ยลสิ่งที่ข่นกันมันเข้าหูเข้าตาฝั่งตรงข้ามที่ถูกพูดถึงง่ายมาก หลายคอมเมนท์ในเพจดังก็เกิดการโต้เถียงระหว่างคนสองกลุ่มนี้ หลายคอมเมนท์ก็เลยเถิดรุนแรง หยาบคาย แบบว่าถ้าคุยกันต่อหน้าคงต่อยกันแน่ๆ
มันไม่น่าเป็นเรื่องที่ดีที่ทุกฝ่ายจะเอาแต่โทษกันไปมา
ลำพังการเมืองมันก็ทำให้คนเมืองและคนชนบทบาดหมางกันมากพออยู่แล้ว ถ้าไม่ทำความเข้าใจกันต่อไปสถานการณ์แบบนี้แหละน่าห่วงว่าจะลามได้ง่ายๆอย่างที่เคยเกิดขึ้นแล้วทั่วโลก
คนกรุงและเกษตรกรควรเข้าใจปัญหาที่เกิดขึ้นมากกว่านี้ โดยเฉพาะคนกรุงที่มีโอกาสมากกว่าก็ควรเปิดใจและร่วมรับผิดชอบบ้าง ไม่ใช่จะไปโยนให้เขาหมด
ถ้าคนกรุงจะให้เขาปรับตัว ก็ต้องถามตัวเองด้วยว่าตัวเองทำได้ไหม เอาง่ายๆไม่ใช้รถส่วนตัวแล้วใช้รถเมล์เนี่ยทำได้ไหม มันง่ายกว่านิ่งที่เกษตรกรต้องทำอีกนะ...
...ทำไม่ได้ก็หุบปากเถอะครับ ประเทศนี้มันวุ่นวายพอแล้ว...
...ปัญหานี้ทุกคนต้องรับผิดชอบ เลิกปัดฝุ่น ปัดสวะกันซะทีเถอะ☹️☹️☹️☹️
โฆษณา