21 ม.ค. 2020 เวลา 12:39 • ข่าว
ผู้สื่อข่าวที่สร้างปรากฏการณ์มากที่สุดเท่าที่วงการสื่อมวลชนไทยเคยมีมา และสร้างมรดกในการทำข่าวเอาไว้มากมาย เขาคือ สรยุทธ สุทัศนะจินดา
เรื่องราวทั้งหมดเป็นอย่างไร สรยุทธคือใคร เขาสร้างอะไรเอาไว้ให้วงการนี้ และทำไมการติดคุกครั้งนี้ถึงเป็นเรื่องใหญ่ เราสรุปเหตุการณ์ตั้งแต่แรกเอาไว้หมดแล้ว ใน 20 ข้อ อ่านจบเข้าใจได้ในโพสต์เดียว
1
1) สรยุทธ สุทัศนะจินดา เรียนจบจากคณะนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยกรุงเทพ พร้อมด้วยเกรดเฉลี่ย 3.8 คว้าเกียรตินิยมอันดับ 1 ไปครอง ในปี พ.ศ.2530 หลังเรียนจบเขาได้งานทันที เป็นนักข่าวที่หนังสือพิมพ์ เดอะ เนชั่น ในตำแหน่งนักข่าวสายรัฐสภา ก่อนที่จะค่อยๆสร้างชื่อเสียงขึ้นเรื่อยๆ ไต่ตำแหน่งเป็นผู้ช่วยหัวหน้าข่าวการเมือง และเป็นหัวหน้าข่าวการเมืองในปี พ.ศ.2537
1
ใช้เวลาแค่ 7 ปีเท่านั้น ก้าวหน้าจากพนักงานใหม่ กลายมาเป็นหัวหน้าข่าวสายการเมืองของเดอะ เนชั่น จากนั้นในปี พ.ศ.2540 ได้เลื่อนเป็น บรรณาธิการข่าวพร้อมทั้งจัดรายการวิเคราะห์ข่าว ให้กับเนชั่นหลายรายการ เช่น "เก็บตกจากเนชั่น" และ "คมชัดลึก" ถึงตรงนี้ ชื่อเสียงของสรยุทธ เป็นที่รู้จักในวงการมากขึ้น
2
2) นอกจากการวิเคราะห์แบบเดี่ยวๆแล้ว ในช่วงที่ทำงาน กับเนชั่น สรยุทธ ร่วมจัดรายการกับ กนก รัตน์วงศ์สกุล ด้วยความที่สองคนนี้ อายุใกล้เคียงกัน (กนก อายุมากกว่า 2 ปีเศษ) และมีสไตล์การวิเคราะห์ข่าวที่แตกต่างกันชัดเจน ทำให้สองคนนี้ ได้รับความนิยมมาก เนื่องจากมีเคมีที่เข้ากัน
1
3) พ.ศ.2546 สรยุทธ ตอนนี้มีอายุ 37 ปี ได้รับการติดต่อจาก บีอีซี ให้ไปร่วมงานกันที่ช่อง 3 โดยต้องการให้สรยุทธ เป็นพิธีกรหลักในรายการ "เรื่องเล่าเช้านี้" ที่จะออนแอร์ทุกวันเวลา 6.00 น. สรยุทธตกลง และลาออกจากเนชั่นมาทำงานกับช่อง 3 เต็มตัว
ในช่วงเช้า จันทร์ ถึง ศุกร์ สรยุทธจะจัดรายการเรื่องเล่าเช้านี้ ทางช่อง 3 แต่ช่วงดึกจะจัดรายการชื่อ "ถึงลูกถึงคน" ทางช่อง 9 อสมท. โดยมีคอนเซ็ปต์คือ เอาคนสองฝั่งมานั่งคุยกัน แลกหมัดกันตรงๆไปเลยว่าใครคิดอย่างไร โดยสรยุทธจะเป็นคนกลาง คอยดึงจังหวะ เบรกจังหวะ และทำให้การสนทนา จบลงได้ตลอดรอดฝั่ง
1
4) ทั้งเรื่องเล่าเช้านี้ และ ถึงลูกถึงคน ได้รับความนิยมสูงมากๆ เรตติ้งของรายการพุ่งกระฉูด ยอดโฆษณาเข้ามาสู่ช่อง 3 และ ช่อง 9 อย่างมหาศาล และชื่อเสียงของสรยุทธตอนนี้ ได้รับการยกย่องว่าเป็นนักข่าวที่มีชื่อเสียงอันดับ 1 ของวงการ
5) ผ่านไป 1 ปี วันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2547 สรยุทธที่มีชื่อเสียงในระดับวงกว้างแล้ว ตัดสินใจจดทะเบียนบริษัทของตัวเองขึ้นมา ชื่อ บริษัท ไร่ส้ม จำกัด มีทุนจดทะเบียน 1 ล้านบาท สรยุทธเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ 99.99% โดยจะผลิตรายการเพิ่มอีก 2 รายการชื่อจับเข่าคุย ออนแอร์ช่อง 3 และ รายการ คุยคุ้ยข่าว ออนแอร์ทางช่อง 9
6) จุดเด่นของสรยุทธ ที่ไม่เหมือนใครเลย คือการ "เล่าข่าว" ด้วยภาษาที่เข้าใจง่าย เขาจะหยิบจับข่าวที่เกิดขึ้น กลั่นกรองด้วยภาษาที่เข้าใจง่ายที่สุด นำเรื่องยากๆ มาย่อยให้ประชาชนนึกภาพออก นั่นทำให้เรตติ้งของเรื่องเล่าเช้านี้ พุ่งขึ้นสูงที่สุด ถ้าเรตติ้งของทั้งวัน ช่อง 7 จะยังมากกว่าช่อง 3 แต่ถ้านับเฉพาะเรตติ้งในช่วง 6.00-8.30 ช่อง 3 ที่มีเรื่องเล่าเช้านี้ ถือว่ามีเรตติ้งสูงสุดอันดับ 1
1
7) สรยุทธ กลายเป็นคนข่าวที่เห็นหน้าค่าตาบ่อยที่สุด เพราะนอกจากเรื่องเล่าเช้านี้ตอนเช้าแล้ว ในช่อง 3 ยังมีรายการ "เรื่องเด่นเย็นนี้" จับเอา 15 นาที มาคุยกันในประเด็นสำคัญที่สุดของวัน สอดแทรกในช่วงข่าวเย็น และ "เรื่องเล่าเสาร์-อาทิตย์" ออนแอร์เวลา 11.00-12.15 น. คือเรียกได้ว่า จันทร์ ถึง อาทิตย์ 7 วัน คุณจะเห็นหน้าสรยุทธเสมอ
8) สมภพ รัตนวลี อดีตบรรณาธิการบริหารเนชั่นแชนแนล ซึ่งเคยร่วมงานกับสรยุทธโดยตรงมานานหลายปี เคยเขียนทรรศนะเอาไว้ว่า สรยุทธได้สร้างนิยามใหม่ให้กับวงการข่าวมากมายเช่น
2
1- เปลี่ยนรูปแบบจากข่าวเคร่งขรึม มาเป็นข่าวที่จับต้องได้ ชาวบ้านเข้าถึง
2- หยอกล้อกับคนดูได้ ให้ความรู้สึกเหมือนเป็นพวกเดียวกัน
3- ปฏิวัติราคาโฆษณาข่าวจากเดิมหลักหมื่น พอมีสรยุทธ วงการข่าวกล้าขายโฆษณาหลักแสน
4- รายการฮาร์ดทอล์ก คุยประเด็นตึงเครียดไม่มีใครทาบสรยุทธได้ หลายเรื่องที่มาจากรายการของเขา ถูกภาครัฐนำไปแก้ไขอย่างจริงจัง
5- สรยุทธไม่ใช่แค่นักข่าว แต่เป็นนักสังคมสงเคราะห์ น้ำท่วม ไฟไหม้ ภัยพิบัติ ผู้คนนึกถึงสรยุทธก่อนภาครัฐอีก
1
9) สำหรับรายได้ของสรยุทธนั้น เคยมีการประเมินว่า ช่วงปี 2552 เขาได้รับเงินขั้นต่ำปีละ 300 ล้านบาท และไต่ระดับขึ้นไปเรื่อยๆ จนสรยุทธได้รับฉายาในวงการว่า "กรรมกรข่าวพันล้าน"
10) ชีวิตของสรยุทธ กำลังอยู่ในช่วงขาขึ้นที่สุด แต่ก็มีดราม่าครั้งสำคัญใน วันที่ 20 กันยายน พ.ศ.2555 สรยุทธในวัย 46 ปี ถูก คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ได้ชี้มูลว่า สรยุทธ ได้ร่วมมือกับ นางพิชชาภา เอี่ยมสอาด เจ้าหน้าที่ของบริษัท อสมท จำกัด (มหาชน) ทุจริตกรณีเงินโฆษณาเกินเวลาเป็นจำนวน 138 ล้านบาท ซึ่งสรยุทธเป็นนักข่าวคนแรกในประวัติศาสตร์ที่ถูกชี้มูลข้อหาทุจริตโดย ป.ป.ช.
11) รายละเอียดของ ป.ป.ช. มีใจความสำคัญคือ ช่วงต้นปี 2548 อสมท ได้ตกลงร่วมกับบริษัท ไร่ส้ม จำกัด ว่าจะผลิตรายการชื่อ "คุยคุ้ยข่าว" ขึ้น โดยรายการจะมีวันจันทร์ ถึง ศุกร์ เวลา 21.30-22.00 น. และ เสาร์-อาทิตย์ เวลา 12.00-13.00 น.
จันทร์ ถึง ศุกร์ เวลา 21.30-22.00 รายการความยาวครึ่งชั่วโมง โดยบริษัท ไร่ส้ม ได้สิทธิขายโฆษณาให้ใครก็ได้ 2:30 นาที ถ้าหากขายเกินเวลาที่กำหนด ต้องจ่ายให้อสมท นาทีละ 240,000 บาท
เสาร์- อาทิตย์ เวลา 12.00-13.00 รายการความยาว 1 ชั่วโมง โดยบริษัท ไร่ส้ม ได้สิทธิขายโฆษณาให้ใครก็ได้ 5 นาที ถ้าหากขายเกินเวลาที่กำหนด ต้องจ่ายให้ อสมท นาทีละ 200,000 บาท
การสืบสวนของ ป.ป.ช. ปรากฏว่า นางพิชชาภา เอี่ยมสอาด ซึ่งเป็นพนักงานของ อสมท เป็นผู้รับผิดชอบเรื่องการจัดคิวโฆษณา และเป็นผู้ต้องรายงานต่อผู้บริหาร อสมท หากมีการโฆษณาเกินเวลา เพื่อเรียกเก็บเงินจากบริษัท ไร่ส้ม อย่างไรก็ตาม ระหว่างวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2548 - 30 มิถุนายน 2549 ซึ่งมีการโฆษณาเกินเวลาหลายครั้ง แต่นางพิชชาภา กลับไม่รายงานเรื่องนี้ ให้ผู้บริหารอสมท รับทราบแต่อย่างใด
1
ป.ป.ช. ระบุต่อไปอีกว่า นางพิชชาภา ได้รับเงินเป็นเช็ค 6 ใบ สั่งจ่ายด้วยลายมือของสรยุทธ เป็นจำนวนเงินรวม 737,770.50 บาท ซึ่งป.ป.ช.เชื่อว่า เป็นการมอบสินบนให้กับนางพิชชาภา เพื่อจะได้ไม่ต้องรายงานเรื่องเวลาโฆษณาเกินให้เบื้องบนได้รับรู้
1
12) กรกฎาคม 2549 ผู้บริหาร อสมท ได้เห็นว่ารายการของคุยคุ้ยข่าว จบรายการช้ากว่าที่ควรจะเป็นเล็กน้อย จึงมีการตรวจสอบและไล่ดูย้อนหลัง ปรากฏว่า จำนวนโฆษณาเกินเวลาทั้งหมดของบริษัท ไร่ส้ม คิดเป็นเงิน 138.79 ล้านบาท ซึ่งหลังจากโดนอสมท ทวงถามเงินมา ทางบริษัท ไร่ส้ม ก็จ่ายคืนให้อสมท ทั้งหมดพร้อมดอกเบี้ย 7.5% ต่อปี รวมเป็นเงิน 152.96 ล้านบาท
13) อย่างไรก็ตาม แม้จะจ่ายเงินคืนไปเรียบร้อยแล้ว แต่ทาง ป.ป.ช. ต้องการเอาผิด บริษัท ไร่ส้ม จำกัด โทษฐานสนับสนุนพนักงานในหน่วยงานรัฐกระทำความผิด ซึ่งบริษัท ไร่ส้ม มีสรยุทธเป็นผู้ถือหุ้น 99.99% นั่นก็แปลว่า ป.ป.ช. ต้องการมีบทลงโทษสรยุทธ สุทัศนะจินดานั่นเอง โดยในคดีนี้นอกจากสรยุทธแล้ว อีกคนที่โดนรัฐเอาผิดด้วยเช่นกัน คือ น.ส.มณฑา ธีระเดช พนักงานบริษัทไร่ส้ม
ในกรณีเรื่องเงินลักษณะนี้ ถ้าหากเป็นบริษัทเอกชน การจ่ายเงินคืนพร้อมดอกเบี้ยอาจทำให้เรื่องยุติได้ แต่อสมท เป็นหน่วยงานรัฐวิสาหกิจทำให้ กลายเป็นว่ามีความผิดอาญาด้วย
14) มกราคม 2558 อัยการสูงสุดสั่งฟ้องคดี ทั้งกับบริษัท ไร่ส้ม จำกัด และ นางพิชชาภา พนักงานอสมท. โดยอัยการมองว่า สรยุทธ "สนับสนุนพนักงานรัฐกระทำความผิด" ซึ่งเป็นกฎหมายอาญา
1
ซึ่งถึงตรงนี้ สรยุทธโดนภาคสังคมเรียกร้องให้แสดงสปิริต โดยสภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติ ออกแถลงการณ์ว่า "แม้พฤติกรรมของผู้ถูกกล่าวหาแม้จะยังไม่มีบทสรุปทางกฎหมาย แต่ในแง่การประกอบวิชาชีพนับว่าไม่เหมาะสม มีการกระทำที่สุ่มเสี่ยงต่อการละเมิดจรรยาบรรณแล้ว"
ขณะที่ภาคเอกชน โรงพยาบาลเขลางค์นคร-ราม โรงพยาบาลเอกชนใหญ่ในจังหวัดลำปาง ลงภาพในเฟซบุ๊กของโรงพยาบาลเป็นรูปโลโก้ช่อง 3 ถูกขีดคาดทับด้วยสีแดงพร้อมข้อความว่า "ต้องเรียนให้ผู้ใช้บริการโรงพยาบาลทุกท่านรับทราบว่า ทางโรงพยาบาลของดให้บริการทีวีช่อง 3 ทั้งส่วนงานผู้ป่วยนอก และผู้ป่วยใน เนื่องจากโรงพยาบาลเรายึดมั่นในคุณธรรม และจริยธรรมเสมอมา เราอยากเห็นสังคมไทยมีจิตสำนึก"
15) วันที่ 29 กุมภาพันธ์ 2559 ศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาคดีไร่ส้ม สั่งจำคุกนางพิชชาภา 20 ปี ส่วน สรยุทธ และ น.ส.มณฑา จำคุกคนละ 13 ปี 4 เดือน โดยไม่รอลงอาญา แต่ทั้งหมดขออุทธรณ์คดีต่อ โดยหลังจากมีคำตัดสินของศาลชั้นต้น สรยุทธ ประกาศยุติการทำหน้าที่พิธีกร เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบกับช่อง 3 และเพื่อความสบายใจของทุกฝ่าย และหลังจากนั้น เรื่องเล่าเช้านี้ก็เปลี่ยนพิธีกรหลักเป็นครั้งแรกในรอบ 13 ปี
1
16) มีการนำพิภู พุ่มแก้ว มาเป็นพิธีกรหลักคู่กับ ไบรท์ พิชญทัฬห์ แต่อยู่ได้พักเดียวก็เปลี่ยนมาเป็นไก่ ภาษิต ยืนเป็นตัวหลัก อย่างไรก็ตาม หลังจากไม่มีสรยุทธ์ เรตติ้งเรื่องเล่าเช้านี้ก็ดิ่งลงอย่างชัดเจน มีโฆษณาถอนตัวออกมากขึ้น เรตติ้งข่าวช่วงเช้ากลายเป็น เช้านี้ที่หมอชิต จากช่อง 7 แซงขึ้นเป็นอันดับ 1 แทน เป็นครั้งแรกในรอบหลายปี และปริมาณคนดูข่าวเช้าที่ช่อง 3 ลดลงไปมากถึง 50% หากเทียบกับตอนมีสรยุทธ
4
17) วันที่ 29 สิงหาคม 2560 เวลา 1 ปี กับอีก 6 เดือน เข้าสู่คำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ ปรากฏว่า ศาลอุทธรณ์ยืนคำตัดสินของศาลชั้นต้น สั่งจำคุกนางพิชชาภา 20 ปี ส่วน สรยุทธ และ น.ส.มณฑา จำคุกคนละ 13 ปี 4 เดือน โดยไม่รอลงอาญา แต่สรยุทธ ขอสู้ต่อที่ศาลสุดท้าย คือศาลฎีกา
2
ระหว่างช่วงรอตัดสินคดี ศาลอนุญาตปล่อยตัวให้ สรยุทธ มาใช้ชีวิตได้ตามปกติ แต่ต้องวางเงินประกัน 5 ล้านบาท และมีเงื่อนไขห้ามออกนอกประเทศ และต้องมารายงานตัวต่อศาลทุกๆ 3 เดือน
1
18) วันที่ 21 มกราคม 2563 ในที่สุด วันชี้ชะตาก็มาถึง ศาลฎีกานัดอ่านคำพิพากษา และยังคงยืนยันว่า จำเลยทั้งหมดมีความผิดจริง โดยนางพิชชาภา ในฐานะเจ้าหน้าที่รัฐ โดนจำคุก 12 ปี , บริษัท ไร่ส้ม โดนปรับเงิน 72,000 บาท ขณะที่ นายสรยุทธ และ น.ส.มณฑา รับโทษจำคุก 6 ปี 24 เดือน
ศาลฎีกาอธิบายเหตุผลว่า นายสรยุทธ เป็นสื่อมวลชนอาวุโส แต่กลับกระทำผิดโดยไม่เกรงกลัวกฎหมายบ้านเมือง ทั้งๆที่ควรเป็นแบบอย่างที่ดีให้กับวงการสื่อมวลชน จึงไม่มีเหตุให้รอการลงโทษ และจำเลยทั้งหมดจะเข้าสู่เรือนจำทันทีหลังจากสิ้นสุดคำพิพากษา
19) ทั้งนี้ ในมุมของสรยุทธ ได้เขียนความในใจเอาไว้ ก่อนจะรับฟังคำพิพากษาจากศาลฎีกา โดยใจความสำคัญระบุว่า
"ผมได้ต่อสู้ตามกระบวนการยุติธรรมมาอย่างครบถ้วนแล้ว ผลออกมาอย่างไร ผมก็ต้องยอมรับ ผมได้แสดงให้เห็นว่าไร่ส้มโฆษณาเกิน ในขณะที่อสมท.โฆษณาเกินมากยิ่งกว่า โดยไร่ส้มไม่เคยไปเบียดบังเวลาโฆษณาของ อสมท."
1
"กระบวนการโฆษณา ไม่เคยมีการปกปิด และถึงจะต้องการปกปิด แต่ก็ปกปิดไม่ได้ด้วยเจ้าหน้าที่ธุรการเพียงคนเดียว นี่เป็นกระบวนการที่เปิดเผยอย่างต่อเนื่องเกินกว่า 500 ครั้ง เจ้าหน้าที่คนนี้ ได้รายงานต่อผู้บังคับบัญชาแล้ว ผ่านใบคิวโฆษณาทุกวัน"
"การจ่ายเช็คให้ 6 ฉบับ มีที่มาที่ไปว่าเป็นการจ่ายค่าจ้างเพื่อให้ทำงานเกี่ยวกับการขายโฆษณา มีการหักภาษี ณ ที่จ่ายครบถ้วน และตัวเลขไม่ได้มีความสัมพันธ์กับโฆษณาที่เกินเลยเวลา แต่เมื่อเชื่อว่าเป็นการจ่ายสินบนผมก็ต้องยอมรับ"
"เงินค่าโฆษณาเกิน 138 ล้าน ผมชำระคืนให้อสมท.ครบถ้วนตั้งแต่ยังไม่เกิดคดีความ เพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจ ว่าไม่ได้ทำให้อสมท.เสียหาย แต่เมื่อมันชดใช้สิ่งที่เห็นว่าผิดไปแล้วไม่ได้ ผมก็ยอมรับ"
"วันนี้ผมคงติดคุกตามคำพิพากษาของศาลสูงสุด ความยากลำบากเดียวคือ ทำใจ ซึ่งผมยังไม่รู้ว่าจะทำได้ขนาดไหน จะต้องใช้เวลาเท่าไหร่ ที่จะทำความคุ้นเคยกับมัน แต่ที่สุดผมก็ต้องยอมรับให้ได้ ชีวิตต้องดำเนินต่อไป อย่างน้อยวันนี้ชีวิตผมก็จะได้เริ่มต้นใหม่เสียที แม้จะต้องเริ่มต้นจากติดลบ อยู่ในคุกตะราง จุดต่ำสุดของชีวิต แต่ก็ได้เริ่มต้น ซึ่งมันจะมีวันหนึ่งในที่สุด ที่จะได้นับหนึ่งใหม่"
3
"ขอบคุณทุกคนที่เจอกันก็เข้ามาจับมือให้กำลังใจ ไม่ได้เจอกันก็ส่งกำลังใจมาให้ จนกว่าจะมีโอกาสพบกันใหม่ครับ"
20) การตัดสินของศาลฎีกา เป็นการสิ้นสุดคดีไร่ส้มอันยาวนาน ที่เริ่มต้นจากปี 2555 รวมถึงปัจจุบันก็เกือบ 8 ปีเต็ม และลงเอยด้วยโทษจำคุกของพิธีกรเล่าข่าวที่ครั้งหนึ่งได้รับการยกย่องว่า เป็นผู้สื่อข่าวที่เป็นแม่เหล็กอันดับ 1 ของประเทศไทย
สรยุทธ สุทัศนะจินดา
โฆษณา