22 ม.ค. 2020 เวลา 00:00 • กีฬา
[ #หงส์อดีตกับผีปัจจุบัน ]
ลิเวอร์พูลคว้าแชมป์ลีกครั้งล่าสุดเมื่อฤดูกาล 1989/90
พวกเขาเก็บไปทั้งสิ้น 79 แต้มจาก 38 นัดทิ้งห่างแอสตัน วิลล่าตามมาอันดับ 2 ถึง 9 คะแนนด้วยกัน
ตอนนั้นเดอะ ค็อปไม่ได้รู้สึกตื่นเต้นอะไรนักกับแชมป์ดิวิชั่น 1 (เดิม) เพราะนี่คือสมัย 4 ในรอบ 6 ปีของพวกเขา เรียกว่าได้มาจนเป็นเรื่องปกติ
ขุมกำลังของหงส์แดงนับว่าแข็งแกร่งอย่างมาก แนวรับนำโดย อลัน แฮนเซ่น , แกรี่ จิลเลสพี , แกรี่ แอ็บเล็ตต์ และ สตีฟ นิโคล
แดนกลางมีทั้ง แจน โมลบี้ , รอนนี่ วีแลน และ เรย์ เฮาจ์ตัน ซึ่งกำลังพีกมากๆ คือพลังขับเคลื่อนชั้นดี
ส่วนข้างหน้า จอห์น บาร์นส์ คือตัวริมเส้น หรือปีกที่ซัลโวได้เด็ดขาด ซัดไปทั้งสิ้น 22 ประตูในลีก เหนือกว่าใครทั้งทีม
แต่เราไม่อาจลืมชื่อของ เอียน รัช , จอห์น อัลดริดจ์ หรือ ปีเตอร์ เบียร์ดสลี่ย์ ได้เลยเช่นเดียวกัน
ส่วน เคนนี่ ดัลกลิช สวมหมวกสองใบ เป็นทั้งผู้จัดการทีมและผู้เล่น แต่ซีซั่นนั้นลงไปแค่นัดเดียว เพราะเตรียมจะประกาศรีไทร์จากอาชีพค้าแข้งอยู่แล้ว
เบื้องหลังความสำเร็จอันยาวนานของลิเวอร์พูลในยุคนั้น มาจากโครงสร้างอันแข็งแกร่งจากระบบบูตรูมที่เป็นรากฐานและเอกลักษณ์มาอย่างยาวนาน
นอกจากนักเตะจะถูกปลูกฝังมีดีเอ็นเอในความเป็นสโมสรแห่งนี้อย่างเข้มข้นแล้ว พวกเขายังได้รับรู้ถึงความเกรียงไกรยิ่งใหญ่ที่แทบไม่มีใครมาโค่นจากบัลลังก์ได้เลย
นี่คือสิ่งที่ลิเวอร์พูลภาคภูมิใจและไม่เชื่อว่าจะมีอะไรมาเปลี่ยนแปลงได้
เพราะความที่ยึดติดกับจารีตเดิมๆ มั่นใจเทรดดิชั่นของตัวเอง ต่อให้ไม่ได้แชมป์ปีนี้ ปีหน้าก็ต้องกลับมาอีก เลยจมอยู่กับอดีตอันหอมหวาน สร้างวิมานล่องลอยในอากาศ
กระทั่งความจริงทิ้งห่างไปเรื่อยๆ กว่าจะรู้ตัวก็สายเกินกว่าจะกลับมาได้เหมือนเดิม
จากวันนั้นถึงวันนี้กินเวลามายาวนานเกือบ 30 ปีเข้าไปแล้ว ลิเวอร์พูลยังไม่เคยได้สัมผัสกับแชมป์ลีกสูงสุดอังกฤษอีกเลย
พวกเขาเคยเป็นเจ้าของครองแชมป์มากสุด 18 สมัย ซึ่งยากนักที่ใครจะมาแซงได้ แต่เป็นแมนฯยูไนเต็ดนี่แหล่ะมาเบียดตกจากแท่น ขึ้นไปครองเดี่ยวๆเมื่อปี 2011
จากนั้นปีศาจแดงยังมาหนีห่างเป็น 20 สมัยเมื่อ 7 ปีก่อนอีกและทำท่าจะกวาดความสำเร็จต่อไปเรื่อยๆ กระทั่งการรีไทร์ของ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ในปี 2013 นั่นเอง ที่วงล้อแห่งความสำเร็จพรีเมียร์ลีกเกิดการเปลี่ยนแปลง
เมื่อแมนฯยูไนเต็ดยังติดภาพของ เฟอร์กี้ ยึดมั่นถือมั่นกับความยิ่งใหญ่เมื่อวันวาน มันก็ยากที่จะฉุดตัวเองขึ้นมาจากหลุมพรางนั้น
ตรงกันข้ามพวกเขากับจมลงหนักเรื่อยๆ แทบไม่มีวี่แววเลยว่าจะโผล่พ้นขึ้นมาได้สำเร็จ
ส่วนลิเวอร์พูลหลัง ดัลกลิช วางมือเมื่อกุมภาพันธ์ 1991 ก็ให้ รอนนี่ มอแรน จากบูตรูมมานั่งเก้าอี้แทนช่วงสั้นๆ 2 เดือน ก่อนจะดึง แกรม ซูเนสส์ ซึ่งเป็นอดีตนักเตะยุคทศวรรษ 80 มากุมบังเหียนต่อ
3 ปีเต็มที่หงส์แดงยังไม่เป็นโล้เป็นพายอะไร นอกจากคว้าแชมป์เอฟเอ คัพมาครองได้หนึ่งสมัยในปี 1992
จากนั้น ซูอี้ ลุกจากเก้าอี้กุนซือแล้วส่งไม้ต่อให้ รอย อีแวนส์ ซึ่งคือหนึ่งในบูตรูมมารับช่วงต่อ ด้วยความหวังที่ว่าจารีตอันเข้มขลังจะนำพาความสำเร็จมาอีกครั้ง
แต่ อีแวนส์ พาทีมได้แค่แชมป์ลีกคัพเท่านั้น จนกระทั่งปี 1998 บอร์ดบริหารของลิเวอร์พูลมีความคิดจะโละระบบบูตรูมสต๊าฟฟ์ จึงแต่งตั้ง เชราร์ อุลลิเยร์ มาเป็นกุนซือคนคู่ร่วมงานกัน
แล้วเมื่อได้นั่งตำแหน่งเดี่ยวๆ อุลลิเยร์ ค่อยๆเปลี่ยนแปลงลิเวอร์พูล นำรูปแบบการบริหารและระบบต่างๆของฟุตบอลภาคพื้นยุโรปมาใช้
แต่ก็ยังไม่มากพอที่จะนำลิเวอร์พูลสลายสองขั้วอำนาจอย่างแมนฯยูไนเต็ดกับอาร์เซน่อลได้ เพราะไม่เคยไปถึงแชมป์พรีเมียร์ลีกเลย
เช่นเดียวกับการเข้ามาของ ราฟา เบนิเตซ แชมป์ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีกอันมหัศจรรย์ก็ยังคงไม่เพียงพออยู่ดี
การปรับเปลี่ยนผู้บริหารในปี 2010 ที่เฟนเวย์ สปอร์ตส กรุ๊ปเข้ามาถือหุ้นใหญ่ด้วยมูลค่า 300 ล้านปอนด์ นั่นอาจจะเป็นหนึ่งในจุดหักเหสำคัญ
แม้จะมีการลองผิดลองถูกด้วยการกลับไปหากุนซือชาวอังกฤษอย่าง รอย ฮ็อดจ์สัน รวมทั้งทาบ เคนนี่ ดัลกลิช กลับมาคุม แต่เมื่อรู้แล้วว่าไม่อาจตอบโจทย์ได้ ก็ค่อยๆขยับปรับใหม่
เบรนแดน ร็อดเจอร์ส คือผู้จุดประกายความหวัง จนมาถึง เจอร์เก้น คล็อปป์ ที่กำลังจะทำความฝันให้เป็นจริงขึ้นมา
ส่วนหนึ่งต้องชื่นชมการทำงานของบอร์ดบริหาร ที่ค่อยๆเรียนรู้จากความผิดพลาด นำมาหาวิธีแก้ไข ก่อนหงส์แดงจะขยับปีกบินสูงขึ้นเรื่อยๆ
การทำงานอย่างมืออาชีพ เป็นระบบที่ชัดเจน เฟ้นหาบุคลากรที่เชี่ยวชาญจริงๆและเลือกใช้งบประมาณตามความเหมาะสม ส่งผลให้ลิเวอร์พูลก้าวขึ้นมาอย่างรวดเร็ว
คล็อปป์ ได้รับอิสระในการทำงาน สามารถเลือกทีมงานของตัวเองได้ตามความพอใจ เบื้องบนไม่เคยก้าวก่าย
ไม่ว่าอย่างไรบูตรูมสต๊าฟฟ์ก็ยังเป็นตำนานแห่งความสำเร็จ ที่สะท้อนให้เห็นเอกลักษณ์และจารีตของสโมสรแห่งนี้
แต่ถึงที่สุดแล้วทุกอย่างไม่จีรังยั่งยืน เมื่อถึงเวลาก็ต้องเปลี่ยนแปลง ไม่มีทางเลยที่จะยึดรูปแบบเก่าไปตลอด ในเมื่อสโมสรอื่นพยายามที่จะพัฒนาก้าวไปข้างหน้าอยู่ตลอดเวลา
จอห์น บาร์นส์ เคยให้ทรรศนะไว้ว่า แมนฯยูไนเต็ดยุคนี้ติดหล่มเหมือนกับลิเวอร์พูลในยุคต้น 90 ไม่มีผิด
หงส์แดงโหยหาบูตรูมอยู่ตลอดเวลาและเชื่อว่าจะต้องแก้ไขด้วยวิธีนี้ฝ่าอุปสรรคไปได้
ในขณะที่ปีศาจแดงยังคงพูดถึง เฟอร์กี้ อยู่เสมอ อดีตนักเตะเก่าๆที่มาทำหน้าที่วิเคราะห์เกม ยังคงนำปัจจุบันไปเปรียบเทียบกับอดีต ซึ่งไม่มีทางที่จะย้อนกลับไปแล้วได้อย่างเด็ดขาด
ไม่ว่าใครจะเข้ามาเป็นผู้จัดการทีมก็ดูเหมือนจะสลัดเงาของ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ไม่ได้เลย
เดวิด มอยส์ , หลุยส์ ฟานกัล หรือ โชเซ่ มูรินโญ่ พยายามเหลือเกินที่จะหาแนวทางของตัวเอง ซึ่งมันต้องใช้เวลาและได้รับการสนับสนุนอย่างเต็มที่ แต่เมื่อล้มเหลวไม่เป็นไปตามเป้าหมายหรือคาดหวัง แฟนบอลมักจะหยิบเอา เฟอร์กี้ ขึ้นมาพูดถึงเสมอ
ยิ่งในยุคของ โอเล่ กุนนาร์ โซลชา ด้วยแล้ว พยายามที่จะพลิกฟื้นความสำเร็จในอดีตกลับมาตามแนวทางของอดีตเจ้านาย
ไม่ว่าจะเป็นนโยบายปั้นเด็กดาวรุ่งเพื่อตามรอยคลาส ออฟ 92 การเชิญ เฟอร์กี้ ไปยังสนามซ้อมเพื่อสร้างแรงบันดาลใจและพูดปลุกใจผู้เล่นชุดปัจจุบันหวังว่าจะช่วยให้ฮึกเหิมมากขึ้น
เช่นเดียวกับการเชิญ รอย คีน อดีตกัปตันทีมยุคเกรียงไกรไปที่เออน เทรนนิ่ง กราวด์ เพื่อให้พูดกระตุ้นลูกทีมของตัวเอง ซึ่งไม่ต่างกับการจมอยู่ในอดีตเลย
ขณะเดียวกันบอร์ดบริหารดูจะสับสนจับต้นชนปลายไม่ถูกเลยเมื่อไม่มี เฟอร์กี้ เป็นกุนซือและ เดวิด กิลล์ นั่งเก้าอี้หัวหน้าผู้บริหาร
ชัดเจนแล้วว่า เอ็ด วู้ดเวิร์ด มีความเข้าใจเรื่องฟุตบอลน้อยมาก มุ่งมั่นกับการหาสปอนเซอร์หรือผู้สนับสนุนอยู่ตลอดเวลา เน้นการหาเงินให้ได้มากๆ โดยอาศัยชื่อเสียงและความสำเร็จเก่าๆมากอบโกย
ในขณะเดียวกันไม่ได้พัฒนาเกี่ยวกับบุคลากรเลย ฟุตบอลยุคใหม่สู้กันที่ตัวเลขหรือสถิติต่างๆ นำมาวิเคราะห์เพื่อสร้างความแตกต่างสารพัด รายละเอียดเล็กน้อยเหล่านี้แหล่ะที่จะนำทีมไปสู่ชัยชนะได้
แต่แมนฯยูไนเต็ดแทบไม่ได้ให้ความสำคัญ รวมไปถึงฟิตเนสและทีมแพทย์ซึ่งขาดความเชี่ยวชาญที่แท้จริง จนทำให้ ปอล ป็อกบา ต้องบาดเจ็บยาว ไม่หายขาดสักที
เคสของ มาร์คัส แรชฟอร์ด ก็คล้ายกันมาจากอาการบาดเจ็บที่ข้อต่อกระดูกด้านหลัง ซึ่งเคยร้าวมาก่อน แต่ไม่ได้รับการเยียวยารักษาที่ถูกต้อง จนเรื้อรังกลับมาเล่นงานอีก
ถ้าแมนฯยูไนเต็ดยังไม่ยอมปรับหรือเปลี่ยนแปลงในบางเรื่อง มันก็ยากมากๆที่จะหวนคืนสู่ความยิ่งใหญ่ แชมป์พรีเมียร์ลีกกลายเป็นเรื่องห่างตัวไปทุกที
จนถึงตอนนี้ 7 ปีเข้าให้แล้วที่ร้างราไป แต่ โซลชา เคยบอกว่าไม่ต้องรอนานถึง 30 ปีหรอก แมนฯยูไนเต็ดกำลังเดินมาในทิศทางที่ถูกต้อง
แต่ถ้ายังหลงเงาความสำเร็จในอดีตอยู่ ขอให้เข้าใจว่าคุณกำลังหลงทางมากกว่า
และไม่รู้ด้วยว่าเมื่อไรจะหาทางออกเจอ
.
ทุกท่านสามารถติดตามอ่านบทความย้อนหลังได้ที่ ..
.
และเพิ่มเพื่อนไลน์แอด "เพื่อเด้งเตือน" ให้คุณได้อ่านก่อนใคร กดที่ลิงค์นี้ครับ
ขอบคุณครับ
โฆษณา