22 ม.ค. 2020 เวลา 00:55 • กีฬา
โคตรมันส์ ! ปืน สิบคนบุกไล่เจ๊า สิงห์ 2-2 แชร์กันไปฝั่งละ 1 คะแนน
พรีเมียร์ลีก นัดกลางสัปดาห์นี้ คู่เอกเป็นศึก ลอนดอน ดาร์บี้ ระหว่าง 2 ยักษ์ใหญ่หลัง เชลซี เปิดรัง สแตมฟอร์ด บริดจ์ รับการมาเยือนของ อาร์เซน่อล
"สิงโตน้ำเงินคราม" ปรับ 2 ตำแหน่งจากเกมปราชัยต่อ นิวคาสเซิ่ล 0-1 เอแมร์ซอน พัลมิเอรี่ กับ มาเตโอ โควาซิช ได้โอกาสเป็นตัวจริงแทนที่ รีซ เจมส์ ที่เจ็บเข่าจากเกมล่าสุด กับ เมสัน เมาท์
ในระบบ 4-3-3 เกปา อาร์รีซาบาลาก้า ดูแลหน้าปากประตู เซซาร์ อัซปิลิกวยต้า กลับไปเป็นแบ็กขวา ฝั่งซ้ายเป็น เอแมร์ซอน พัลมิเอรี่ คู่ปราการหลังวาง อันเดรียส คริสเตนเซ่น กับ อันโตนิโอ รือดิเกอร์
แดนกลางจัด เอ็นโกโล่ ก็องเต้, จอร์จินโญ่ และ มาเตโอ โควาซิช ผนึกกำลังร่วมกัน แดนหน้าจิ้ม คัลลั่ม ฮัดสัน-โอดอย กับ วิลเลี่ยน ขนาบข้าง แทมมี่ อับราแฮม
อาร์เซน่อล ปรับแค่จุดเดียวจากเกมเสมอ เชฟฯ ยูไนเต็ด 1-1 เอ็คตอร์ เบเยริน กลับมาเป็นตัวจริงนัดแรกตั้งแต่วันที่ 5 ธ.ค. ปีที่แล้ว แทนที่ เอนสลี่ย์ เมทแลนด์-ไนล์ส พร้อมสวมปลอกแขนกัปตันทีมด้วย ขณะที่ ปิแอร์-เอเมอริก โอบาเมย็อง ยังต้องชดใช้โทษแบนต่อไป
ในระบบ 4-2-3-1 แบร์นด์ เลโน่ พิทักษ์ด่านสุดท้าย แนวรับจากขวาไปซ้ายเป็น เอ็คตอร์ เบเยริน, ชโคดราน มุสตาฟี่, ดาวิด ลุยซ์ และ บูกาโย่ ซาก้า
แดนกลางวางใจ ลูกัส ตอร์เรยร่า เชื่อมเกมกับ กรานิต ชาคา แผงรุกเลือก นิโกล่าส์ เปเป้, เมซุต โอซิล และ กาเบรียล มาร์ติเนลลี่ สนับสนุน อเล็กซ็องด์ ลากาแซตต์
เจ้าบ้านเป็นฝ่ายทักทายก่อนใน 7 นาทีแรก ฮัดสัน-โอดอย จ่ายจากในเขตโทษฝั่งขวาให้ อัซปิลิกวยต้า ปล่อยลอดขามาถึง โควาซิช สับไกด้วยซ้ายระยะ 15 หลา ติดบล็อกของ มุสตาฟี่ โดยจังหวะนี้ทำเอา มุสตาฟี่ ลงไปนอนกองกับพื้นหลังใช้กล่องดวงใจเข้าขวางลูกยิงเพื่อทีมก่อนลุกกลับมาเล่นต่อได้
3 นาทีต่อมา เชลซี ได้ลูกเตะมุมฝั่งขวา เอแมร์ซอน เปิดเข้ากลางไปให้ คริสเตนเซ่น ก้มศีรษะโหม่งย้อนศรหลุดเสาขวามือออกไป
นาที 15 "สิงโตน้ำเงินคราม" พลาดโอกาสขึ้นนำจากจังหวะเตะมุมอีกครั้งเล่นสั้นมาให้ ฮัดสัน-โอดอย พลิ้วหนี มาร์ติเนลลี่ แล้วเปิดจากขวาไปเสาไกล รือดิเกอร์ โหม่งตั้งเข้ากลางให้ อับราแฮม โขกระยะเผาขนแค่ 6 หลาแต่ดันส่งบอลเข้ามือ เลโน่ ที่ไม่ต้องออกแรงอะไรมาก
ให้หลังนาทีเดียว เจ้าบ้านได้ลุ้นจากเตะมุมอีกครั้ง คราวนี้เป็นฝั่งซ้ายเล่นสั้น วิลเลี่ยน จ่ายให้ ฮัดสัน-โอดอย กึ่งยิงกึ่งเปิดจากริมเขตโทษฝั่งซ้ายไปหน้าประตูผ่านการป้องกันของ เลโน่ ไปแล้วแต่ไปตกตรงคานบนออกหลังไป
"สิงห์บลูส์" เดินหน้าบุกกดดันเป็นชุดๆ แต่ยังขาดความคมในจังหวะสุดท้าย ทว่าก็มาได้จุดโทษใน นาที 26 เมื่อ อับราแฮม สปีดไปถึงบอลที่ มุสตาฟี่ จ่ายคืนหลังให้ เลโน่ สั้นไป โดยแตะหนี เลโน่ ไปแล้วแต่ไม่ได้ยิงเพราะถูก ลุยซ์ ตามมาตัดฟาวล์ โดย เชลซี ได้เปรียบกว่าเดิมเพราะ ลุยซ์ โดนใบแดงโดยตรงในการกลับมาเยือนถิ่นเก่า
จอร์จินโญ่ รับหน้าที่สังหารด้วยขวาเรียดเสียบมุมล่างขวาเป็นประตูให้ เชลซี นำก่อน 1-0
อาร์เซน่อล เลือกที่จะไม่เปลี่ยนกองหลังลงมาเพิ่ม โดยถอย ชาคา ลงมายืนเซนเตอร์แบ็กแทนที่ ลุยซ์
ด้วยความได้เปรียบทั้งสกอร์และจำนวนตัวผู้เล่น เชลซี ก็เดินหน้าบุกเข้าใส่ต่อเนื่องเลย ฮัดสัน-โอดอย ทำชิ่งกับ ก็องเต้ ก่อนได้ฮาล์ฟวอลเล่ย์หน้าเขตโทษฝั่งขวาร้อนให้ เลโน่ ต้องบินปัดออกหลัง
นาที 44 เป็นเตะมุมของ เชลซี อีกแล้ว วิลเลี่ยน โยนเข้าไปให้ รือดิเกอร์ โหม่งข้ามคานออกไปไม่ไกล
ต่อมานาทีเดียว "สิงห์บลูส์" น่าได้เพิ่มจาก ฮัดสัน-โอดอย ตะลุยขึ้นมาทางขวาแล้วหาช่องครอสเข้าเขตโทษ โควาซิช สอดขึ้นมาโหม่งหลุดกรอบออกไป จบ 45 นาทีแรก เจ้าบ้านนำ 1-0
ต้องบอกว่า อาร์เซน่อล โชคดีกับการตามหลังแค่ลูกเดียวเพราะโดนบุกใส่อย่างหนักแถมเป็นรองเรื่องตัวผู้เล่นอีก แนวรับก็มาเสีย ลุยซ์ ที่ต้องยอมเสียสละตัวเองทำฟาวล์ในเขตโทษทั้งที่คนทำพลาดก่อนคือ มุสตาฟี่ ในจังหวะจ่ายคืนก่อนหน้านั้น
กลับมาต่อครึ่งหลัง "ปืนใหญ่" ยังคงยึดตัวจริงชุดเดิม ไม่มีการเปลี่ยนตัวแก้เกมใดๆ ก็เลยไม่น่าแปลกใจที่ เชลซี จะเป็นฝ่ายบุกหนักเหมือนเดิม
สุดท้าย นาที 55 ทีมเยือนต้องขยับตัวบนม้านั่งสำรอง มัตเตโอ เกว็นดูซี่ ถูกส่งลงสนามแทน โอซิล
แล้ว 8 นาทีต่อมา อาร์เซน่อล ไล่ตีเสมอสำเร็จจากจังหวะสวนกลับเร็วหลัง เชลซี ได้เตะมุมแท้ๆ มาร์ติเนลลี่ ควบมาเองแล้วพลิ้วหนี ก็องเต้ เข้าเขตโทษก่อนโชว์ความนิ่งเกินวัยแปเล่นทางเสียบเสาขวามือเป็นประตู 1-1
เชลซี ไม่อยู่นิ่งหลังโดนยิง รอสส์ บาร์คลี่ย์ ถูกส่งลงไปแทน โควาซิช ใน นาที 66 ตามด้วย เมสัน เมาท์ แทนที่ ก็องเต้ ใน 4 นาทีต่อมา เพื่อเพิ่มโควตาในเกมรุก
นาที 74 เชลซี เกือบขึ้นนำอีกครั้ง วิลเลี่ยน หลุดเข้าเขตโทษฝั่งซ้ายก่อนลากตัดเข้าในแล้วตะบันด้วยขวายัดเสาแรกทว่า เลโน่ ยังเซฟได้สวยอีกครั้ง
3 นาทีต่อมา จากฟรีคิกกราบซ้าย เมาท์ สาดยาวเข้าเขตโทษ อับราแฮม วิ่งเข้าโหม่งจากระยะร่วมๆ 15 หลาแต่ก็ตรงตัว เลโน่
เจ้าบ้านเปลี่ยนตัวสำรองคนสุดท้ายลงสนาม มิชี่ บาตชูอายี่ แทนที่ วิลเลี่ยน ใน นาที 79
ช่วง 10 นาทีสุดท้าย "สิงห์บลูส์" หวิดได้อีกแล้ว จอร์จินโญ่ บรรจงวางยาวข้ามแนวรับทีมเยือนเข้าเขตโทษ บาร์คลี่ย์ เทกตัวหันหลังโหม่งเกือบเสียบเสาซ้ายมือแต่ เลโน่ ยังพุ่งปัดออกไปได้อีก
อาร์เซน่อล มองถึงการควัก 1 แต้มกลับบ้านแล้วหลังส่ง ร็อบ โฮลดิ้ง ลงไปแทนที่ เปเป้ ใน นาที 81
ให้หลัง 2 นาที เชลซี ขึ้นนำ 2-1 สมใจจากลูกเตะมุมฝั่งซ้ายเล่นสั้น ฮัดสัน-โอดอย เปิดจากริมเขตโทษไปหน้าประตู อัซปิลิกวยต้า เหยียดขาขวาชาร์จระยะ 6 หลาผ่านการป้องกันของ เลโน่ ไปในที่สุด
ทว่า เชลซี ดีใจได้ไม่นานเพราะ "ปืนใหญ่" ไล่ตีเสมออีกหนใน นาที 87 เบเยริน ลุยเข้าเขตโทษฝั่งขวาแต่ล็อกหนีมาหน้าเขตโทษแล้วปั่นโค้งด้วยซ้ายกระดอนพื้นหนีมือ อาร์รีซาบาลาก้า ก่อนเสียบเสาไกลเข้าไปเป็นประตู 2-2
เชลซี พลาดโอกาสทองใน นาที 89 ฮัดสัน-โอดอย เปิดจากกราบขวาผ่าน ชาก้า มาได้แล้ว บาตชูอายี่ พุ่งเข้าชาร์ตที่เสาแรกด้วยซ้ายแต่ดันยิงไม่เข้ากรอบไปเองอย่างน่าผิดหวัง
ช่วงทดเจ็บ นาที 90+1 "ปืนใหญ่" ถอด มาร์ติเนลลี่ แล้วส่ง โจ วิลล็อค ลงไปเติมแดนกลาง
"สิงโตน้ำเงินคราม" พยายามบุกเฮือกสุดท้ายแต่ก็ทำอะไรเพิ่มไม่ได้ จบเกม เชลซี โดน อาร์เซน่อล บุกแบ่งแต้มด้วยสกอร์ 2-2
แม้ว่าตัวผู้เล่นน้อยกว่า แต่ "เดอะ กันเนอร์ส" เล่นด้วยหัวใจจริงๆ ต้านทานเกมรุกของเจ้าถิ่นกันสุดตัว ต้องยกเครดิตให้ มิเกล อาร์เตต้า ที่เข้ามาปรับทัศนคติของลูกทีมได้ดีขึ้นทันตาเพราะว่าก็ไม่ได้เสริมทัพในตำแหน่งใดๆ จนถึงเวลานี้
ชาคา เกิดใหม่อีกครั้งหลังการมาของ อาร์เตต้า และกลับมาชนะใจกองเชียร์ตัวเองมากขึ้นเรื่อยๆ เกมนี้ต้องถอยไปยืนเซนเตอร์แบ็กจำเป็นก็ช่วยงานเกมรับได้เยอะเลย
พระเอกของ "ปืนใหญ่" ในเกมนี้ต้องยกให้ มาร์ติเนลลี่ เพราะยิงประตูจุดประกายตีเสมอ 1-1 ด้วยความนิ่งเกินวัยทั้งที่เพิ่งอายุ 18 ปี นี่ก็เป็นอีกคนที่เริ่มฉายแสงตั้งแต่ อาร์เตต้า เข้ามากุมบังเหียน และอาจเป็นความหวังใหม่ของพวกเขาในการกลับมาไล่ล่าความสำเร็จอีกครั้งในอนาคต
ขณะเดียวกัน ต้องชม เลโน่ สำหรับการช่วยเซฟประตูในหลายๆ จังหวะไม่ให้ อาร์เซน่อล เสียไปมากกว่านี้
ทว่าลองมองไปอีกฝั่ง เชลซี ก็ยังคงไม่ได้อุ่นใจเมื่อมี อาร์รีซาบาลาก้า เฝ้าประตู โดยล่าสุดสถิติการเซฟของเขาอยู่ที่ 55.4 เปอร์เซ็นต์ เป็นตัวเลขต่ำสุดใน พรีเมียร์ลีก และรั้งอันดับ 127 จากนายด่านทั้งหมด 132 คนใน 5 ลีกใหญ่ยุโรป
เกมรับของ เชลซี ก็ยังคงแย่ไม่หาย ยิ่งตอกย้ำให้เห็นถึงปัญหาของทีมชุดนี้ เกมรุกยังไม่สามารถรักษาความเฉียบคมได้อย่างคงเส้นคงวา ตัวผู้เล่นก็เยอะกว่า ครองเกมบุกใส่ต่อเนื่อง แต่สุดท้ายมาแพ้ภัยตัวเองโดนแบ่งแต้มซะอย่างงั้น
มันเป็นปัญหาที่ แฟรงค์ แลมพาร์ด ยังต้องแก้กันต่อไปในเรื่องการปิดเกมให้ได้หลังเป็นฝ่ายขึ้นนำ เพราะนี่คือสถานการณ์ที่พวกเขาได้เปรียบสุดๆ ทั้งเล่นในบ้าน, ทั้งตัวผู้เล่นมากกว่า และ เป็นฝ่ายขึ้นนำแท้ๆ
จากผลเสมอนัดนี้ ทำให้สมรภูมิสำหรับการแย่งชิงพื้นที่ท็อป 4 หรือพูดตรงๆ ว่า อันดับ 4 ยังสนุกกันต่อไป เพราะ เชลซี ก็ฉีกหนี แมนฯ ยูไนเต็ด อันดับ 5 ที่จะลงเล่นในคืนวันพุธนี้ เพียง 6 แต้ม เรียกว่าไม่ไกลเกินเอื้อม
สำหรับแฟนๆ พรีเมียร์ลีก ก็คงจะต้องหันมาดูสงครามท็อป 4 หรือพื้นที่ฟุตบอลยุโรปกันแล้วล่ะ เพราะว่ายังไงก็ดุเดือดกว่าการลุ้นแชมป์แน่ๆ ในเมื่อรู้ตัวแล้วว่าใครจองถ้วยแชมป์ในฤดูกาลนี้
.
ทุกท่านสามารถติดตามอ่านบทความย้อนหลังได้ที่ ..
.
และเพิ่มเพื่อนไลน์แอด "เพื่อเด้งเตือน" ให้คุณได้อ่านก่อนใคร กดที่ลิงค์นี้ครับ
ขอบคุณครับ
โฆษณา