23 ม.ค. 2020 เวลา 08:01 • ความคิดเห็น
อยู่สังคมเมือง...ต้องแลกกับอะไรบ้าง
ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า ด้วยความเจริญที่จำกัด ทำให้ผู้คนทั่วทุกสารทิศต่างหลั่งไหลเข้ามาแสวงหาโอกาสในพื้นที่เล็กๆแห่งนี้ พื้นที่ที่มีเพียง 1.5พัน ตร.กม. แต่กลับ แออัดไปด้วยผู้คนกว่า 4,000 คน / ตร.กม. !!
คุณคิดว่าแต่ละวันคนเมืองต้องเผชิญกับอะไรบ้าง
วันนี้เคทจะพาไปพบกับเรื่องราวของสาวออฟฟิศคนนึงที่จากบ้านนามาอาศัยในเมืองหลวง
นี่คือเรื่องราวของหนูศรีค่ะ
4.00 น. รีบตื่นมาแปรงฟันหนูศรีก็ต้องเจอกับน้ำประปาเค็ม บางวันก็ขุ่น บางวันก็คอรีนเพียบ ถ้าคุณไม่มีเครื่องกรองระดับ ro อย่าหวังว่าจะได้ใช้น้ำดีๆเลย
5.00 น. รีบออกจากบ้านเพื่อหนีการจารจรอันแน่นขนัด แต่ก็ต้องไปอัดกันบนรถโดยสารอยู่ดี เพื่อประหยัดตังค์ในกระเป๋าก็ทนนั่งรถเมล์เอาหน่อย จำใจฝ่ามรสุมฝุ่นกับแมสราคาประหยัดชิ้นละ 5 บาทที่แทบจะกรองอะไรไม่ได้ มารู้สึกตัวอีกทีรถเมล์เจ้ากรรมก็ดันเป็นพาหะต้นกำเนิด ฝุ่น pm2.5 เหมือนสนับสนุนฝุ่นทางอ้อมไปอีก
ผ่านไป 2 ชั่วโมง ยังไปไม่ถึงไหน คนก็แน่น ยืนจนขาแข็งหายใจก็แทบไม่ออก กว่าจะถึงที่ทำงาน สแกนนิ้วสายไป 3 นาที โดนหักเงินไปอีก 50 บาท เกิดอาการตัวเย็นเหงื่อตกขึ้นมาพร้อมกับสมการในหัวรีบคิดคำนวณ เอาไงกับชีวิตดีวะ จะเสี่ยงรถติดแล้วโดนหักตังบ้างไม่หักบ้าง หรือจะเอาชัวร์ๆเสียค่ารถไฟฟ้าแพงหน่อยแต่มาทัน เอาไงดีวะ สมองซีกซ้ายบอก วันหลังขึ้นรถไฟฟ้าดีกว่า ซีกขวาบอก ให้ลาออกเลย หักบ้าไร สายแค่ 3 นาที !!
สรุปซีกซ้ายชนะ ใครจะออก ออกแล้วจะเอาไรแ_ก
19.30 น. ก่อนกลับบ้านแวะซื้อของที่ห้าง กะเดินช็อปชิลๆ แต่เศรษฐกิจอย่างนี้ ความมันส์บังเกิดได้ตลอดเวลา ความชิลไม่มีอยู่จริงใน แคปปิตอล หรอกค่ะ !! ก้าวขายังไม่ทันพ้นประตูดี ได้ยินเสียงปืนดัง วิ่งหนีแทบไม่ทัน ในใจภาวนาสำนึกบุญคุณในระบบขนส่งที่ทำให้ลูกช้างมาถึงห้างนี้ช้าไปเสี้ยวนาที ไม่งั้นอาจเป็นลูกช้างที่โดนลูกหลง พรุ่งนี้ต้องซื้อพวกมาลัยไปไหว้ ขสมก ละ
สุดท้าย ต้มมาม่า ที่ห้อง
21.08 แฟนกลับมา ก่อนกลับคุยกันดิบดี หยอดในไลน์จะปั่มปั๊มกันคืนนี้ โอ้ยฟินกระหยิ่มในใจ พอเห็นสภาพแฟน โถถถ นึกว่าไปอยู่แนวหน้ามา ขนาดวันก่อนสภาพดีๆยังหลับทั้งๆที่เอาหน้าซุกอกอยู่ดีๆ แล้ววันนี้หรอ เลิกฝันเหอะคืนนี้หนูศรี อดกินตามระเบียบ !!
อย่าไปฝันถึงจะมีลูกเลย แค่ใช้ชีวิตแต่ละวันก็เหนื่อยละ จะเอาเวลาไหนดูแลเด็ก ไม่มีเวลาให้เขาก็กลายเป็นปมอีก แล้วคอนโดขนาด 28 ตรม. ไม่ได้เหมาะกับการมีครอบครัวซักเท่าไหร่หรอก จะสร้างคุณภาพชีวิตคนที่ดี ลำพังเงินเดือนคนละ 2 หมื่น ความน่าจะเป็นคือ สร้างภาระขึ้นมาเพิ่มให้กับตัวเองและสังคมมากกว่า
สุดท้ายหนูศรีตกลงกับแฟนขอบายการมีเบบี๋ ทำให้กลายเป็นวงจรภาวะขาดแคลนแรงงานในอนาคต เนื่องจากดัชนีการเกิดลดลง เมื่อขาดแคลนแรงงานก็ต้องนำเข้าแรงงาน เงินก็ถูกดูดออก ดีมานด์ในระบบก็ลดลง เศรษฐกิจตกต่ำ สุดท้ายหนูศรีและแฟน ตกงานตอนอายุ 50 มีเงินเก็บติดตัวกันคนละ 6แสนบาทรวมเงินสวัสดิการกองทุน ถึงตอนนั้นหนูศรีกับแฟนก็ยัง ไม่รู้ว่าจะทำไงกับชีวิตต่อไป
ภาพชนบท ท้องทุ่งอันสวยงาม ไหลผ่านเข้ามาในหัวราวกับภาพยนตร์โรแมนติก กลิ่นอากาศยามเช้าอันแสนบริสุทธิ ทุ่งนา ป่าไม้อันเขียวขจีสุดลูกหูลูกตา เสียงจิ้งหรีดเรไร พาเคลิ้มชวนฝัน
ราวกับผีห่าซาตานเข้าสิง หนูผี เอ๊ย หนูศรี !!
ทันใดนั้น หนูศรีกระซิบบอกแฟนถึงฝันอันสวยงามสองคนตายายไปใช้ชีวิตบั้นปลายในชนบท โดยหลงลืมไปว่า ด้วยสังขารในวัย 50 จะเอาเรี่ยวแรงจากไหนไปทำเกษตร
ความแข็งแกร่งของ dna แบบชาวไร่ชาวสวนที่เป็นมรดกตกทอดจากรุ่นสู่รุ่นมันสูญสลายไปตั่งแต่หนูศรีมาอยู่ในเมืองแล้ว องค์ความรู้ภูมิปัญญาแม้จะเปิดอากู๋ดูได้ แต่...ความสาหัสอันเคี่ยวกรำที่ต้องใช้แรงกายเข้าสู้มันหนักหนาสาหัสกว่าชีวิตในเมืองหลายขุม
แม้จะหนักหนาเพียงไหน แต่พลังแฝงของมนุษย์ก็สุดยากแท้หยังถึง สุดท้ายหนูศรีตรากตรำสู้กับความลำบากผ่านพ้นอุปสรรคมาได้ แม้จะถอดใจมาแล้วเป็นสิบเป็นร้อยครั้งก็ตาม เหมือนดังที่ใครสักคนกล่าวไว้ "กลิ่นของความสำเร็จมันหอมหวาน"
สุดท้ายหนูศรีและแฟนก็มาบรรลุธรรมเอาเมื่อตอนอายุ 60 หลักจากที่เก็บเกี่ยวบรรดาพืชไร่ที่ถนอมเพาะปลูกเอาไว้เมื่อ 10 ปีที่แล้ว กะว่าวันนี้จะโกยเงินเป็นกอบเป็นกำให้คุ้มกับที่ลงแรงลงมือไป มาวันนี้กลับกลายเป็นผลผลิตที่ตลาดไม่ต้องการอีกต่อไปแล้ว
หนูศรีและแฟนที่ปัจจุบันกลายเป็นตายายแก่ๆหอบสังขารร่างกายอันทรุดโทรมจากงานหนัก กลับไปที่สวน ทั้งสองยืนมองไปที่ต้นไม้ใหญ่พืชผลที่ปลูกไว้กว่า 10 ไร่ อดีตสองคนเคยฝันไว้เมื่อวัยหนุ่มสาวว่าสักวันนึงจะมีบ้านหลังใหญ่ๆ ปลูกต้นไม้ใหญ่ในสวนไว้ผูกชิงช้า นั่งเล่นอ่านหนังสือ
มาวันนี้แม้ไม่มีเงินทอง แต่บ้านหลังใหญ่กับต้นไม้ใหญ่ก็มีแล้ว ขาดเหลือก็แค่ ชิงช้า สองตายายมองหน้ากันเหมือนรู้ใจ รอยยิ้มเล็กๆผุดพราวขึ้นบนใบหน้าของยายศรีพร้อมแววตาที่เปล่งประกายอย่างไม่เคยเห็นมานาน ทั้งสองเดินจูงมือกันไปที่ต้นไม้ใหญ่ที่อยู่ไม่ไกลนักในมือถือเชือกยาวไปผูกชิงช้า ยายศรีเลือกเอาต้นไทรใหญ่
แม้เรี่ยวแรงจะไม่ค่อยมีแต่สองตายายก็ปีนต้นไม้ได้ถนัดทีเดียว ทั้งคู่ปีนไปนั่งลงบนกิ่งไม้ใหญ่ เห็นตะวันคล้อยลงฉาบท้องฟ้าเป็นสีทองอร่ามสวยงาม
ยายศรีกับผัวชรานั่งดูท้องฟ้าด้วยสายตาราวกับคู่บ่าวสาวในวันแต่งงาน สายลมเย็นๆพัดผ่านได้ไม่นาน
ทั้งสองก็บรรจงผูกเชือกคล้องกับกิ่งไม้อย่างแน่นหนา มีปลายบ่วงอีกข้างคล้องอยู่ที่คอ ก่อนที่ทั้งสองจะทิ้งตัวลงมาพร้อมกัน
มิ้วๆเลยนะ
โฆษณา