24 ม.ค. 2020 เวลา 00:49 • บันเทิง
อะไรคือสิ่งที่ทำให้เรายังคงอยู่ต่อไปได้ในความสัมพันธ์ที่เราไม่ชอบใจเหรอครับ?
ภาพยนตร์ Spider-man Into The Spider-verse ปี 2018
แปลเพลง - Sunflower - แม่ดอกทานตะวัน - Post Malone, Swae Lee - Spiderman: Into The Spider-verse OST
ประสบการณ์ "ลิ้นกับฟัน" นั้นเป็นประสบการณ์พิเศษในความสัมพันธ์ของคนที่มีคู่ :D บางครั้งอาจเป็นเรื่องที่เราได้ยินคนอื่นเล่ามา บางครั้งก็เป็นเรื่องของคนสนิทของเรา หรืออาจจะหลายครั้งหลายคราที่เราคงจะได้เคยเผชิญประสบการณ์พิเศษนี้ด้วยตัวของเราเอง :D แล้วเป็นยังไงกันบ้างครับ? อารมณ์ตอน "อยู่ในเหตุการณ์" กับตอนที่เหตุการณ์มัน "ผ่านไปแล้ว" นี่ต่างกันราวฟ้ากับเหว แต่ก็น่าแปลกนะครับที่ในความสัมพันธ์ของคนบางคู่นั้นไม่เป็นที่น่าพอใจอย่างมาก แต่เค้าก็ยังคงอยู่ต่อไปได้ในความสัมพันธ์นั้น แล้วมันคืออะไรกันนะ (หากไม่ใช่ลูก เพราะบางคู่ไม่มีลูกด้วยซ้ำ) ที่ยังคงทำให้คนเหล่านั้นสามารถอยู่ด้วยกันต่อไปได้
ผมไปอยู่ไหนมาเนี่ย! เพิ่งรู้ว่ามีสไปเดอร์แมนภาคนี้ แล้วพอเห็นว่าเป็นแอนนิเมะเลยไม่อยากดูซะงั้น พอดูไปๆ อ้าวเฮะ สนุกดีนี่นา หนังไอเดียดีมากแม้จะเดาถูกก็เถอะว่าจะจบยังไง แต่ก็ชอบอยู่ดีครับโดยเฉพาะเพลงเพลงนี้ที่ได้ยินมาซักพักนึงแล้ว ค่อนข้างติดหูมากด้วย แล้วก็มาเฉลยว่าประกอบหนังเรื่องนี้นี่เอง :D
Sunflower
Post Malone, Swae Lee
Needless to say, I keep her in check
She was all bad-bad, nevertheless (yeah)
Callin' it quits now, baby, I'm a wreck (wreck)
Crash at my place, baby, you're a wreck (wreck)
Needless to say, I'm keeping her in check
She was all bad-bad, nevertheless
Callin' it quits now, baby, I'm a wreck
Crash at my place, baby, you're a wreck
Thinkin' in a bad way, losin' your grip
Screamin' at my face, baby, don't trip
Someone took a big L, don't know how that felt
Lookin' at you sideways, party on tilt
Ooh-ooh, some things you just can't refuse
She wanna ride me like a cruise
And I'm not tryna lose
Then you're left in the dust
Unless I stuck by ya
You're a sunflower
I think your love would be too much
Or you'll be left in the dust
Unless I stuck by ya
You're the sunflower
You're the sunflower
Every time I'm leavin' on ya
You don't make it easy, no, no
Wish I could be there for ya
Give me a reason to go
Every time I'm walkin' out
I can hear you tellin' me to turn around
Fightin' for my trust and you won't back down
Even if we gotta risk it all right now, oh
I know you're scared of the unknown (known)
You don't wanna be alone (alone)
I know I always come and go (and go)
But it's out of my control
And you'll be left in the dust
Unless I stuck by ya
You're a sunflower
I think your love would be too much
Or you'll be left in the dust
Unless I stuck by ya
You're the sunflower
You're the sunflower
(Yeah)
แม่ดอกทานตะวัน
ไม่ต้องพูดเลยเธอต้องโดนคุม
เธอน่ะมันร้ายไม่ว่าจะมองมุมไหน (ใช่)
ถอนตัวเดี๋ยวนี้ชั้นเองก็ไม่ไหว (ไม่ไหว)
มาถึงบ้านแล้วเธอเองก็แพ้ไป (แพ้ไป)
ไม่ต้องพูดเลยเธอต้องโดนเช็ค
ก็เธอมันร้ายไม่ว่าจะมองยังไง
ถอนตัวบัดดลรึว่าจะยังไม่สาย
พอถึงบ้านชั้นแล้วเธอก็พังจนได้
ลองคิดแง่ร้ายเธอคงจะเหลืออด
ตะโกนใส่ชั้นควบคุมตัวเองหน่อย
ก็ถูกมองแย่พอจะเข้าใจอยู่
ชำเลืองมองดูเธอเหมือนจะเสียศูนย์
บางอย่างก็ปฏิเสธยากอยู่
อยากมาลงที่ชั้นให้เพลินใช่มั้ยล่ะ
แต่ชั้นน่ะไม่แพ้หรอก (นะ)
แล้วเธอคงถูกทิ้งไม่มีใครต้องการ
เว้นแต่จะมีชั้นอยู่ด้วย
เพราะเธอน่ะคือดอกทานตะวัน
ถ้าขาดตะวันแล้วเธอจะทำยังไง
รึจะทิ้งไปปล่อยเธอไว้เหลือแต่ฝุ่น
เว้นแต่ชั้นจะอยู่กับเธอต่อไป
ก็เธอน่ะมันดอกทานตะวัน
เพราะเธอน่ะเป็นแม่ดอกทานตะวัน
ทุกทุกครั้งเลยเวลาจะทิ้งเธอ
เธอทำให้มันยากไปเสมอ
ก็อยากจะไปอยู่ตรงนั้นเพื่อเธอ (อ่ะนะ)
แต่ขอเหตุผล (ดีๆ) ให้ชั้นหน่อยสิ
ก็ทุกเวลาที่ชั้นตีจาก
เหมือนได้ยินเธอบอกให้หันกลับมา
ยื้อชั้นไว้สุดตัวไม่ยอมถอย
รึเราจะลองเสี่ยงอีกครั้งด้วยทุกสิ่งอย่าง
ชั้นรู้เธอกลัวสิ่งที่เธอเองก็ไม่รู้ (รู้)
ก็เธอไม่อยากต้องจะอยู่ลำพัง (โดดเดี่ยว)
ชั้นรู้ก็ชั้นเองไม่ได้อยู่ด้วยตลอด (ต้องไป)
แต่ช่วยไม่ได้มันเกินควบคุม
แล้วเธอคงถูกทิ้งไม่มีใครต้องการ
เว้นแต่จะมีชั้นอยู่ด้วย
เพราะเธอน่ะคือดอกทานตะวัน
ถ้าขาดตะวันแล้วเธอจะทำยังไง
รึจะทิ้งไปปล่อยเธอไว้เหลือแต่ฝุ่น
เว้นแต่ชั้นจะอยู่กับเธอต่อไป
ก็เธอน่ะมันดอกทานตะวัน
เพราะเธอน่ะเป็นแม่ดอกทานตะวันของชั้น
(ใช่)
อรรถาธิบาย
เพลงนี้ฟังสนุกดีนะครับ สนุกด้วยแล้วก็เพราะด้วย แปลสนุกอีกต่างหากแม้จะแปลค่อนข้างยากก็เถอะ :D ลักษณะเพลงเป็นการร่ายกลอน คำแปลก็เลยออกมาค่อนข้างเป็นอย่างที่เห็น เพลงนี้ใช้ศัพท์กำกวมค่อนข้างเยอะครับ เป็นศัพท์ง่ายๆก็จริงแต่ก็กำกวมและทำให้แปลได้เป็นต่างๆนาๆ แถมยังใช้วลีสั้นๆอธิบายเรื่องราวที่ยืดยาวเพราะต้องรีบพูดให้ลงจังหวะโคลงกลอนเลยยิ่งแปลยากเข้าไปอีก ต้องอาศัยเทียบ perception แล้วเลือกคำที่ไม่ตรงกับดิกชันนารีออกมาใช้อธิบาย (อีกแล้ว) เมื่ออ่านไปแล้วคุณจะเห็นว่าแปลไม่ตรงกับดิกอย่างแรงครับ แต่รับรองว่าความหมายและเนื้อหาของเพลงเป็นแบบนี้แน่นอนครับ 😊 อ้อ... ลืมบอกอารมณ์เพลงอีกแล้ว เพลงนี้เหมือนเป็นการบ่นของผู้ร้องระบายความในใจที่รู้สึกกับเธอ สองจิตสองใจว่าจะทิ้งเธอไปดีมั้ย แต่ก็ทำไม่ได้สักที อารมณ์ที่ติดปลายนวมมาด้วยเลยทำให้ได้ประมาณว่า "เธอต้องขอบคุณชั้นนะเนี่ย! ที่ยังอยู่กับเธอเนี่ย รู้บ้างรึเปล่า" อะไรทำนองนี้ครับ :)
Needless แปลว่าไม่จำเป็น แต่เพลงนี้ร้องในทำนองเล่นๆก็เลยแปลแบบใช้คำเล่นๆครับ keep in check คือต้องเช็คตลอดก็เลยเป็นเหมือนโดนคุม ทำไมต้องเช็คตลอดครับ? เพราะที่ผ่านมาเธอน่ะได้แสดงให้เห็นแล้วว่าเธอมันร้าย :D (she was all bad-bad) แย่มากๆในทุกกรณี nevertheless คือแม้กระนั้น ความหมายคือแม้กระนั้นเธอก็แย่มากๆทุกกรณี แปลให้สนุกก็เลยใส่ไปเลยว่าไม่ว่าจะมองมุมไหน ไม่ว่าจะมองยังไง เพราะยังไงเธอก็แย่มากๆทุกกรณีอยู่ดีครับ ^^'
Quit คือออก เลิก หยุด พอ ในที่นี้ calling quit คือการตัดสินใจว่าพอเหอะ ไม่เอาแล้ว ก็เธอมันแย่ขนาดนี้พอดีกว่า ชั้นพังแล้ว ทนไม่ไหว (wreck) มันพินาศแล้ว เจ๊ง พอกันที :D ดูเค้าใช้คำสิครับ บอกแล้วว่าเพลงนี้สนุกดี แต่ในความสนุกนี้มีแฝงความเศร้าด้วยนะครับ แล้วจะค่อยๆพาไปครับ :)
Crash at my place คำว่า crash ก็ให้ความหมายกำกวมครับ มันใช้สองแง่สองง่ามได้ เพราะเพลงนี้มีคำว่า crash มีคำว่า my place มีคำว่า ride me like a cruise มันก็พอจะมองไปในทางสองแง่สองง่ามได้เลยครับ แต่ก็อย่างว่าแหล่ะ ถ้า ride me like a horse (ม้า) นี่ใช่แน่นอน แต่นี่เป็น cruise (ล่องเรือ) ก็เลยทำให้ดีกรีความเป็นสองแง่สองง่ามไม่ได้ไปถึงขนาดนั้น ดังนั้น crash จะแปลว่าตบะแตกก็ได้ครับ crash (ชน), wreck (พินาศ), losing your grip (เสียการยึดเกาะ), trip (สะดุด), tilt (เอียง) คำเหล่านี้จะให้ความหมายไปในทางเดียวกันตลอดทั้งเพลงครับ ความหมายรวมๆก็คือตบะแตก ฟิวส์ขาด เสียศูนย์ ประมาณนี้นั่นเอง แต่ที่แปลไปข้างบนผมใช้คำว่าแพ้ไป ไม่มีอะไรมากครับ ก็แค่ให้มันลงสระไอเท่านั้นเอง :D losing grip ก็เลยแปลเป็นเหลืออด screaming at my face ตะโกนใส่หน้า แสดงถึงความแรงครับ ผมเอามาใส่ในคำแปลไม่ได้เพราะคำมันเกินจังหวะโคลงกลอน (แน่ใจเหรอว่าที่แปลข้างบนนั้นคือโคลงกลอน) แซวตัวเองเข้าไปนั่น การตะโกนใส่หน้ากันแสดงถึงการฟิวส์ขาดอย่างสูงครับ เอาคำว่า trip มาใช้ทำให้นึกถึงคัทเอาท์เบรกเกอร์ที่เวลาไฟช๊อตแล้วสวิชท์ของตัวเบรกเกอร์มันจะตัดลงมา นั่นเค้าก็ใช้คำว่าเบรกเกอร์มัน trip ครับ ในที่นี้เหมือนว่าเธอตบะแตกแรงขนาดนั้นนั่นเอง
Someone took a big L ตรงนี้ซ่อนความเกรงใจเอาไว้ครับ แทนที่จะพูดตรงๆว่า "ก็เธอถูกมองว่าขี้แพ้" ซึ่งถ้าแฟนกันพูดคำนี้ให้ฟังคงเสียความรู้สึกเสียใจมากๆถึงแม้จะเป็นคนอื่นมองมาพูดเข้ามาก็เถอะ เค้าเลยใช้คำว่า someone แทน "ใครก็ไม่รู้" ถูกมองว่า "ขี้แพ้" จะพูดคำว่าขี้แพ้ก็เกรงใจขึ้นมาอีก ซึ่ง L ก็น่าจะมาจากคำว่า Loser นั่นแหล่ะครับ ก็เลยเปลี่ยนเป็นพูดว่า Big L แทน ความหมายก็เดียวกันนั่นแหล่ะ เพียงแต่ไม่ได้พูดตัวจริงของมันออกไปเท่านั้นเอง ก็เพื่อถนอมน้ำใจแฟนนั่นเองครับ
Don't know how that felt แปลว่า "ไม่รู้ว่านั่นจะทำให้รู้สึกยังไง" ลองนึกดูนะครับ คนเพิ่งโดนมองมาว่าแย่สุดๆทุกกรณี กำลังตบะแตกแล้วยังถูกด่าว่าเป็นคนขี้แพ้อีก จริงๆแล้วรู้มั้ยครับว่าเค้าจะรู้สึกยังไง? ซึ่งมันต้องรู้อยู่แล้วแหล่ะใช่มั้ยครับ? ดังนั้นผมก็เลยแปลไปเลยว่า "พอจะเข้าใจอยู่" ซึ่งมัน "ตรงกันข้าม" กับต้นฉบับสุดๆนะเออ (นั่นไงๆ! แปลไม่ตรงอีกแล้ว!) :D ขออภัยเป็นอย่างสูงครับ
Looking at you sideway มองเธอทางด้านข้าง ภาษาไทยคือ "ชำเลือง" ครับ ถ้ามองนางตรงๆมีโดนกินหัวอย่างแน่นอน ปลอดภัยไว้ก่อนคือต้องแค่ชำเลืองก็พอ แล้วถึงได้รู้ว่าเพื่อนเสียศูนย์ไปแล้ว (tilt) นางเสียศูนย์ไปแล้ว party ก็คือเพื่อน party ก็คือนาง ตรงนี้ใครเล่นเกมออนไลน์คงจะรู้นะครับว่า party คืออะไร ถ้าเอาไปถามกูเกิ้ล พ่อพ่นคำนามออกมามากกว่าสิบคำนะเออ
ก็คนมันโกรธมันตบะแตกนี่ครับ เป็นธรรมดาเลย ปฏิเสธไม่ได้แน่นอนว่าอยากหาที่ลง (can't refuse) ก็เป็นแฟนกันนี่เธอรับหน่อยไม่ได้เหรอ? แหมรู้นะอยากมาลงกับชั้นใช่มั้ย (wanna ride me) ให้เพลินไปเลยสินะ (like a cruise) คือลักษณะของการล่องเรือมันลื่นไหลครับ มันแสดงถึงความง่ายความเพลินนั่นเอง แหมๆจะมาลงก็รู้หรอกนะ แต่โดนมาบ่อยแล้วนะ (ก็เธอมันร้าย) ก็ใช่ว่าจะยอมกันได้บ่อยๆ ชั้นไม่แพ้หรอกนะ (I'm not tryna lose) tryna ก็คือ try to นั่นแหล่ะครับ
คราวนี้ก็ถึงท่อนสร้อยซะที left in the dust หมายถึงทิ้งไป หนีไป แล้วที่อยู่ตรงนั้นมันเลยเหลือแต่ฝุ่นครับ หายจ้อย :D ดูเค้าใช้คำสิ จากไปจนเหลือแต่ฝุ่น ก็เธอนะมันร้ายก็เลยไม่มีใครเอา ไม่มีใครต้องการ ความหมายประมาณนั้นครับ ไม่มีใครอยากอยู่กับเธอหรอก เว้นแต่ชั้นคนนี้นี่แหล่ะที่ยังติดอยู่กับเธอน่ะ (stuck) เห็นความดีของชั้นบ้างมั้ยเนี่ย! บ่นเธอแล้วก็เปรียบเทียบครับ เธอมันก็เหมือนเป็นดอกทานตะวัน ดอกทานตะวันก็ต้องอาศัยตะวันถึงจะหันไปตามตะวันได้ ความหมายก็คือเธอก็มีชั้นเป็นตะวันให้งัย ต้องมีชั้นคอยรองรับตลอด ต้องให้ชั้นนำพาเวลาควบคุมตัวเองไม่ได้ ความรักของเธอมันเป็นยังไงกันนะ มันจะธรรมดาๆกับเค้าบ้างได้มั้ย? ความรักแบบนี้ของเธอมันจะเยอะไปมั้ย? นั่นคือความหมายใน perception ของ I think your love would be too much ครับ นึกถึงความดีของชั้นบ้างรึเปล่า? เคยขอบคุณชั้นบ้างรึเปล่า?
โดนบ่อยๆก็ไม่อยากจะอยู่นะครับ บอกแล้วว่าชั้นเองก็พินาศเหมือนกัน ทีนี้ชั้นจะไปแล้วนะ แต่ทุกครั้งที่ชั้นจะไปทำไมเธอต้องทำให้มันยากด้วย! (you don't make it easy เธอไม่ทำให้มันง่ายเลย) ไอ้ชั้นก็อยากจะเป็นคนดีของเธออยากจะทำเพื่อเธอน่ะนะ อยากจะไปอยู่ตรงนั้นกับเธอในทุกครั้งที่เธอต้องการเลย แต่บอกชั้นหน่อยเถอะ ขอเหตุผลดีๆซักข้อได้มั้ย ให้ชั้นอยากไปอยากทำสิ่งนั้นให้เธอซักหน่อย (give me a reason to go) เริ่มมองเห็นความเศร้าบ้างรึยังครับ ทุกๆครั้งที่ชั้นเริ่มเดินจากไปก็เหมือนจะได้ยินเสียงของเธอร้องเรียกให้หันกลับมา (I can hear you telling me to turn around) ยื้อชั้นไว้ (fighting for my trust) ตรงนี้แสดงความเป็นสุดตัวเพราะจะใช้คำว่า fighting for me staying ก็ได้ my stay ก็ได้ แต่แค่ stay มันยังไม่พอครับ มันยังไม่สุดตัว trust ความเชื่อใจนั้นแสดงถึงระดับของจิตใจที่ลึกยิ่งขึ้นไปอีก และความเป็นสุดตัวอีกอย่างคือ won't back down จะไม่ถอยลง (แปลตรงตัวก็จะดูแปลกๆแบบนี้แหล่ะ) จะไม่ถอยกลับ ดังนั้นชั้นก็เลยต้องทนฝืนสู้กับความรู้สึกอยากไปของตัวเอง แต่ก็รู้ว่าหากกลับไปก็ต้องเป็นเหมือนอย่างเดิมอีก แต่ก็ยังใจดีนะครับ หรือว่าจะลองเสี่ยงอีกครั้งด้วยความรู้สึกทั้งหมดที่มี (risk it all) เพราะชั้นรู้ดีว่าเธอน่ะกลัวการที่จะต้องอยู่คนเดียว (scare) เพราะคนเดียวลำพังมันเหงา มันโดดเดี่ยว (alone) ซึ่งเธอเองยังไม่เข้าใจสิ่งนี้ (unknown) เธอเลยกลัวสิ่งที่เธอยังไม่รู้ แต่ชั้นน่ะแฟนเธอนะ ชั้นน่ะรู้ดี
ชั้นยอมรับนะ (I know) ว่าชั้นเองก็ไม่ได้อยู่กับเธอตลอด (always come and go) เดี๋ยวมาเดี๋ยวไป ก็อยากอยู่ด้วยตลอดเหมือนกันหรอกนะแต่ช่วยไม่ได้อ่ะมันเกินควบคุม (out of my control) (ก็เธอมันร้าย)
แต่ก็ยังเป็นห่วงเป็นใยอยู่นะครับ หากขืนเป็นแบบนี้ต่อไป วันใดชั้นทนไม่ไหวจริงๆขึ้นมา เธอก็คงต้องถูกทิ้งแน่เลย (And you'll be left in the dust) เว้นแต่จะมีชั้นติดอยู่กับเธอด้วย... เฮ้อ... ก็เพราะเธอน่ะเป็นดอกทานตะวันนี่นา ก็เธอน่ะ เป็นแม่ดอกทานตะวันของชั้น
เป็นยังไงบ้างครับ มองเห็นความเศร้าของเพลงนี้แล้วบ้างรึเปล่าครับ? ทั้งๆที่เพลงนี้เป็นเพลงสนุกเพลงนึงเลย สำนวนบทความที่ผมเขียนครั้งนี้ก็ได้อิทธิพลความสนุกของเพลงนี้เข้าไปเต็มๆเลยด้วยเช่นกัน (เพราะเปิดวนไปวนมาซ้ำๆขณะที่แปลและเขียนบทความไปด้วยครับ)
🌻 จริงๆแล้วเธอผู้เป็นดอกทานตะวันก็น่าเห็นใจนะครับ หากปราศจากผู้เป็นดวงตะวันแล้วดอกทานตะวันก็คงจะไร้ความหมาย คนเรากระทำอะไรออกไปไม่ใช่ว่าเป็นความต้องการของเจ้าตัวไปซะทั้งหมด แม้แต่เราเองก็เถอะในหลายๆครั้งคงอาจจะเคยแสดงกิริยาอะไรออกไปทั้งๆที่ใจจริงแล้วไม่ได้อยากจะทำแบบนั้นเลย ดังนั้นส่วนหนึ่งของการแสดงออกของมนุษย์เรามาจากแรงกดดันและการถูกตัดสินจากคนรอบข้างด้วยเช่นกัน คนเราไม่ชอบการถูกตัดสิน แต่ก็ชอบตัดสินคนอื่น
👫 ในความสัมพันธ์นั้นมันมีส่วนผสมหลายๆอย่างของทั้งความรู้สึกความคิดการตัดสินใจและประสบการณ์หลากหลายรูปแบบ ความรักความปรารถนาดีความห่วงหาอาทรความพอใจ หรือแม้แต่ความไม่พอใจความโกรธความเกลียด มันก็เป็นส่วนหนึ่งของตัว "หุง" ที่ทำกับเราหรือเขาให้ยังคงอยู่ในความสัมพันธ์นั้นๆต่อไปได้
ในทางจิตวิทยาแล้ว มันต้องมี benefit อะไรบางอย่าง return กลับมาให้กับจิตใจครับ มันถึงยังทำให้คงสภาพแบบนั้นอยู่ต่อไปได้ แต่ benefit ที่ว่านั้นคืออะไร คำตอบอาจอยู่ที่ตัวคุณและเขาเหล่านั้นเองครับ
Enjoy thinking
and
Enjoy the music krub.
You're the sunflower

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา