26 ม.ค. 2020 เวลา 13:02 • ธุรกิจ
แสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ ของธุรกิจท่องเที่ยวไทย ทางรอดของผู้มีสติ ...
โดยแซฟวี่ อินเวสเตอร์
ผมเขียนบทความในวันที่ ประเทศไทย อยู่ท่ามกลางข่าวร้ายที่ประเดประดัง เข้ามาตั้งแต่ปีใหม่ จนถึง ตรุษจีน 2563
ไม่ว่าจะเป็น อเมริกา ถล่ม นายพลของอิหร่าน จนคนทั้งโลกกลัว จะเกิดสงครามโลก ราคาน้ำมันที่พุ่งขึ้นทันที (ตอนนี้ปรับลดลงบ้างแล้ว)
ค่าเงินบาทที่แข็งขึ้นอย่างต่อเนื่อง และกระทบการส่งออก และการท่องเที่ยวของประเทศไทย ซึ่งพี่น้องในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว (Hospitality Industry ) ที่ผ่านมาได้รับผลกระทบหนักมาแล้ว ตั่งแต่ เหตุการณ์ เรือฟีนิกซ์ล่ม และคาดหวังว่า ตรุษจีนปีนี้ ตลาดจีนจะฟื้น อย่างชัดเจน และเป็นช่วงที่จะเก็บเงินมาฟื้นฟูธุรกิจจนเอง ให้กลับมาแข็งแกร่ง ดังเดิม
ภาพนักท่องเที่ยวจีนที่หลั่งไหลเข้ามาก่อนเกิดเหตุการณ์
แต่ไม่ทันดีใจได้กี่วัน ก่อนตรุษจีน ก็เกิดการระบาดของไวรัสมรณะ โคโรน่า สายพันธุ์ใหม่ ที่เมืองอู่ฮั่น และกระจายไปเกือบทั่วประเทศจีน (ยกเว้นทิเบต) และยังกระจายไปหลายประเทศ (รวมถึงประเทศของเรา) ตามเส้นทางการเดินทางของนักท่องเที่ยวจีน โดยสถานการณ์ที่เมืองอูฮั่นไม่ดีขึ้น จนประธานาธิบดี สีจิ้นผิง ต้องประกาศกฎต่างๆมากมาย (ในด้านนี้ผมขอชื่นชมในความเด็ดขาด และรวดเร็ว ของท่าน) ซึ่ง หนึ่งในมาตรการนั้นคือ ห้ามคนจีน และบริษัทนำเที่ยว ทั่วจีนหยุดการเที่ยวทั่วโลก ซึ่งไม่ใช่เพียงประเทศไทย แต่อย่างไรก็ตาม นักท่องเที่ยวจีน ก็ยังคงเป็นนักท่องเที่ยวหลัก ของประเทศไทยในปัจจุบัน เงินที่หายไปจากคำสั่งนี้ มีคนคาดการณ์กันว่า ประมาณ 50,000 ล้านบาท (กรณี นทท. จีน หายไป 2 เดือน ) เงินส่วนนี้เอง ก็กระทบกับพี่น้องที่ทำธุรกิจท่องเที่ยวและธุรกิจที่ต่อเนื่องกันเป็นโดมิโน่ เลยทีเดียว ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง ธุรกิจการขนส่ง การบิน สปา ...
1
ผมเชื่อว่า หลายๆท่านคงเริ่มเครียด และเป็นกังวล พอสมควร กับปัญหา ที่ดูเหมือนเคราะห์ซ้ำ กรรมซัด ของธุรกิจท่องเที่ยวในเมืองไทยโดย เฉพาะจังหวัดท่องเที่ยวใหญ่ๆ เช่น ภูเก็ต เชียงใหม่ หรือแม้กระทั่ง กทม.
หาดกะตะ กะรน จ. ภูเก็ต
ถึงเวลาแล้วหรือยัง ที่เราจะตั้งสติ แล้วเปลี่ยนวิกฤตเป็นโอกาส?
อันดับแรก เราควร ตัดใจ ( ชั่วคราว) จากตลาดจีน ก่อนครับ แม้ว่าเขาจะเป็นตลาดหลักของเรามาก่อน แล้วลองเริ่มคิดดูว่า เราจะอยู่อย่างไร ถ้าไม่มี นทท. จีน ถามตัวเองว่า แผนการตลาดเราต้องเปลี่ยนหรือไม่? , สินค้าและบริการ เราต้องเปลี่ยนขนาดไหน ? , กลุ่มตลาดไหนที่เราจะดึงดูด เข้ามาแทนที่. นาทีนี้ คุณควรเลิกลุ้น ว่าตลาดจีนจะกลับมาดีขึ้น เมื่อไหร่ แต่ต้องคิดว่า เราจะหาตลาดใหม่ยังไง? (ปกติ การพึ่งพาตลาดเดียว ก็ถือว่ามีความเสี่ยงอยู่แล้วครับ)
อันดับที่สอง ประเทศเราต้อง สร้างความปลอดภัย เป็นวาระแห่งชาติเสียก่อน เพราะ นั่นคือสิ่งที่สำคัญที่สุด ของนักท่องเที่ยว ไม่ว่าจะชาติใด การคัดกรองผู้ป่วย หรือผู้ติดเชื้อเป็นเรื่องสำคัญมาก เพื่อไม่ให้คนที่มาเที่ยวประเทศไทยเรา รวมถึงพวกเราเอง ต้องมีความเสี่ยงไปด้วย (ต้องขยันหายใจเข้าไว้ อย่าเพิ่งขี้เกียจหายใจ555)
สาม เสนอคุณค่าใหม่ ( New Values) ณ. ตอนนี้ ผู้คนกลัว ภาพความแออัด ยัดเยียด เราเองก็มีสินค้าและบริการที่เป็น ส่วนตัวและไม่แออัด เราจึงควรเสนอมุมมองใหม่ๆ เหล่านี้ไปบ้าง เช่น เป็นที่พักประเภทปลีกวิเวกจากความวุ่นวาย ( Hideaway ) หรือการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ (Health and Wellness Tourism ) เป็นเรือธง (Flagship) ในการทำตลาดและภาพลักษณ์ใหม่ ที่สดใหม่ขึ้น แน่นอน หากไม่มีวิกฤต พวกเราส่วนใหญ่คงไม่ยอมที่จะเปลี่ยนแน่นอน เพราะทุกคน “พอใจ” ในจุดที่ยืนอยู่แล้ว
สี่ สรัางแหล่งท่องเที่ยว “ใหม่” ขึ้นมาบ้าง ตามภาพลักษณ์ที่เราสร้างขึ้น เช่น จังหวัดภูเก็ต เราขาย ชายหาด ท้องทะเล อาหาร เราควรจะเพิ่มด้านศิลปะวัฒนธรรม เพิ่ม และ การท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ธรรมชาติ พวกเดินป่า ปีนเขา (Trecking ) ให้เป็นวาระสำคัญ
ห้า แนะนำสถานที่ท่องเที่ยวใหม่ๆ เพิ่มขึ้นมา เพื่อให้เกิดเป็น การรวมพลัง (Synergy) เป็นแม่เหล็ก ที่ใหญ่ยิ่งขึ้น ครับ ดูอย่างญี่ปุ่นครับ สังเกตว่าเราไปกี่ครั้งก็ไม่เบื่อ เพราะที่ท่องเที่ยวหลากหลาย ทำให้ นักท่องเที่ยว มีทางเลือกมากมาย
ลำธาร สวยงาม ที่ บ้านคีรีวง จ. นครศรีธรรมราช
สุดท้ายนี้ ดังพระราชนิพนธ์ พระมหาชนก ที่ท่านทรงพยายามบอก สอน แก่ปวงชน ชาวไทย (ราวกับพระองค์ ทรงรู้กาลล่วงหน้า) ว่าในยามวิกฤติ สติ และ ปัญญา เป็นสิ่งสำคัญที่สุด ขอให้ท่านผู้อ่าน เห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ ทุกๆท่าน ในเร็ววันครับ
โฆษณา