27 ม.ค. 2020 เวลา 05:20 • กีฬา
เสือสองตัวต้องอยู่ถ้ำเดียวกันได้ : จุดกำเนิดดูโอ NBA ที่ยิ่งใหญ่ที่สุด 'โคบี้ - แชค'
การจะทำทีมกีฬาให้ประสบความสำเร็จนั้นมีสูตรที่ไม่ตายตัว แชมเปี้ยนทั่วโลกมีส่วนผสมที่แตกต่างกันจนถึงวันที่พวกเขาทั้งหลายได้ชูถ้วยแชมป์ร่วมกัน แต่ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า วิธีที่ง่ายที่สุดวิธีหนึ่งคือการนำคนที่เก่งที่สุดในแต่ละตำแหน่งมารวมเป็นทีมเดียวกัน นี่สิแน่นอน และใช้เวลาบันดาลแชมป์น้อยที่สุดแล้ว
แอลเอ เลเกอร์ส ทีมบาสเกตบอล NBA จากมหานคร ลอสแอนเจลิส มีช่วงเวลายุค 90's ที่ว่างเปล่า หลังจากปี 1988 ที่สามารถคว่ำ ดีทรอยต์ พิสตันส์ ในรอบชิงชนะเลิศได้ พวกเขาไม่เคยทำมันได้อีกเลยเป็นระยะเวลากว่า 10 ปี
เมื่อเพ่งพิจารณาดู พวกเขาย้อนกลับไปมองยุคยิ่งใหญ่เมื่อปี '88 อีกครั้ง และพบว่าความสุดยอดเกิดขึ้นได้จากการใส่เสือสองตัวเข้าไปในถ้ำเดียวกัน ครั้งนั้นพวกเขามี แมจิค จอห์นสัน และ คารีม อับดุล จาบาร์ เป็นตัวชูโรงเสกแต้มอย่างง่ายดาย และเสกแชมป์มาอีกหลายสมัย ดังนั้นหากจะอยากกลับไปยิ่งใหญ่ พวกเขาต้องมีคู่หูระเบิดแป้นแบบนี้อีกสักครั้ง
เพื่อร่วมรำลึกถึงการจากไปของ โคบี้ ไบรอันท์ ... Main Stand ขอนำเสนอถึงเรื่องราวความเป็นคู่กัดและคู่ซี้ สู่การเป็น "โคบี้ - แชค" ดูโอที่ยิ่งใหญ่ที่สุดใน NBA
เกลียดแรกพบ
เข้าสู่ปี 1996 เลเกอร์ส เริ่มเบื่อหน่ายกับการรอแชมป์ที่เนิ่นนานผ่านมาแล้วเกือบ 10 ปีจากหนล่าสุด ดังนั้นถึงเวลาต้องเปลี่ยนแปลง
เลเกอร์ส จัดการคว้า ชาคีล โอนีล เซ็นเตอร์ระดับออลสตาร์ที่เพิ่งหมดสัญญากับ ออร์แลนโด แมจิค พร้อมทั้งคว้าหนึ่งในนักกีฬาระดับไฮสคูลที่เก่งที่สุดในยุคนั้นของ อย่าง โคบี้ ไบรอันท์ ในวัย 17 ปีมาร่วมทีม ซึ่งดีลนี้ไม่ได้ง่ายอย่างที่คิดเพราะกว่าที่ เลเกอร์ส จะได้ตัว โคบี้ มา พวกเขาต้องยอมเทรด วลาด ดิวัช เซ็นเตอร์ของทีมให้กับ ชาร์ล็อตต์ ฮอร์เน็ตส์ เพื่อแลกกับการ์ดที่ไร้ประสบการณ์ในระดับลีกอาชีพคนนี้
การเอาผู้เล่นอย่าง โคบี้ เข้ามาสู่ทีมในเวลานั้นสร้างความปวดหัวไม่น้อย เพราะเด็กคนนี้มีความมั่นใจในตัวเองสูงมากชนิดหาตัวจับยาก เขาไม่เคยก้มหัวให้ใคร ไม่เลยแม้แต่กับรุ่นพี่ในทีม
"ผมชื่อ โคบี้ ไบรอันท์ ผมตัดสินใจข้ามการเล่นระดับมหาวิทยาลัยแล้วเอาความเก่งของผมมาใช้ใน NBA เลยดีกว่า" โคบี้ ในวัยย่าง 18 ปี กล่าวเปิดตัวแบบไม่กลัวใคร
ขณะที่เสือตัวใหม่ซึ่งเข้ามาในระยะเวลาไล่เลี่ยกันอย่าง ชาคีล โอนีล ที่พกดีกรีพี่บิ๊กมาเหมือนถึงกับต้องออกมาให้สัมภาษณ์กับการจะได้เป็นเพื่อนร่วมทีมกับเด็กหนุ่มวัยมัธยมว่า "ผมไม่พร้อมจะเป็นพี่เลี้ยงเด็กให้ใครหรอกนะ" เขาคิดเสมอว่า โคบี้ เป็นแค่เด็กน้อยที่ไม่รู้จักโลกแห่งความจริง มีฝีปากมากกว่าฝีมือ อะไรประมาณนั้น
เหมือนเสียงนั้นไปเข้าหู ในยุคที่ไม่มีโซเชี่ยลมีเดีย โคบี้ ได้ให้สัมภาษณ์กับสื่อและดูเหมือนกับว่าเขาตั้งใจแท็กให้ แชค ได้รับทราบว่า ไม่ต้องห่วง ไม่มีเด็กที่ไหนให้แชคสอนหรอก
"ผมต้องการพิสูจน์ตัวเองว่าแม้มีอายุเพียง 17 ปี แต่ก็สามารถเล่นที่นี่ได้ คุณไม่จำเป็นต้องมากังวลกับผมหรอก ไม่ต้องเอาจุกนมปลอมให้ผมดูด ไม่ต้องให้ใครมาคอยดูแลผมด้วย ผมพร้อมจะลุยมาตั้งนานแล้ว และถ้าวันไหนผมโดนอัดไปกองกับพื้น ผมนี่แหละจะลุกขึ้นมายืนด้วยตัวของผมเอง" เขาว่าไว้เช่นนั้น
ณ เวลานั้น เดล แฮร์ริส โค้ชของทีม ชื่นชอบสไตล์การเล่นของ โคบี้ ที่รวดเร็วและผลิตแต้มได้เป็นกอบเป็นกำอย่างมาก แต่กับเพื่อนร่วมทีมไม่ใช่อย่างนั้น โคบี้ พกอีโก้ในระดับ "เด็กเทพ" มาเต็มกระบุง เขามักจะไม่ทำหน้าที่ของตัวเองอย่างเช่นการทำแต้มให้จบๆ ไป แต่เขามีมักจะใช้ทักษะและความยังหนุ่มยำใส่รุ่นพี่ในทีมให้เสียหน้า และโชว์ลีลาท่าทางมากจนเกินการซ้อม จนพี่ๆ ในทีม เลเกอร์ส ให้ฉายาของเขาว่า "ไอ้ขี้อวด" (Showboat)
ใครจะว่าอย่างไรไม่รู้ แต่ที่รู้ๆ โคบี้ เหมือนเกิดมาเพื่อกวนประสาทเหล่า Haters (กองแช่ง) ตัวของเขาในฐานะรุกกี้มักจะให้สัมภาษณ์อะไรที่แสดงออกถึงความเก่งกาจของตัวเองอยู่บ่อยๆ เขามักจะบอกว่าเขามาที่นี่เพื่อจะเป็นเป็นตัวชูโรงในการทำคะแนนของเลเกอร์ส และจะกลายเป็นผู้เล่นที่ดีที่สุดในลีก
ณ ตอนนั้นเรียกได้ว่าทั้งสองคนเหมือนน้ำกับไฟ แชค เป็นคนที่มีอุปนิสัยรักสนุกเฮฮาตามประสายักษ์ใหญ่อารมณ์ดี แต่ โคบี้ เป็นพวกมีความทะเยอทะยานสูง และไม่เคยกลัวที่จะพูดถึงสิ่งที่ตัวเองคิด จนสร้างบรรยากาศที่ติดลบให้กับทีมอยู่บ่อยๆ ทว่าก็แลกมาด้วยทักษะบาสเกตบอลที่เหนือชั้นในระดับอัจฉริยะ
การรวมคนเก่งมาใส่ทีมเดียวกันในฤดูกาล 1996-97 นั้นไม่สำเร็จ เลเกอร์ส พ่าย ยูท่าห์ แจ๊ซซ์ ในรอบเพลย์ออฟ โดยในเกมตัดสิน แชค ทำฟาวล์ครบจนโดนไล่ออกก่อนหมดเวลา 2 นาที ส่วน โคบี้ ที่โค้ชแฮร์ริสดีไซน์แผนการเล่นเพื่อเขาโดยเฉพาะก็พลาดทำแอร์บอล (ยิงพลาดเป้าแบบไม่โดนห่วงเลย) ถึง 4 ลูก จนเป็นเหตุผลที่ทำให้ เลเกอร์ส ปราชัย ซึ่งหลังเกมจบ แม้ แชค เดินมากอดคอของ โคบี้ และบอกว่าเดี๋ยวโอกาสหน้ามันก็มาเอง แต่ เจอร์รี่ เวสต์ ผู้จัดการทั่วไปของทีมในตอนนั้นก็ยอมรับว่า ความพ่ายแพ้ดังกล่าวทำเอาแชคถึงกับตัวสั่นด้วยความโกรธ
ของแบบนี้มันแก้ยาก โค้ช แฮร์ริส เองเปิดเผยในภายหลังว่าความมั่นใจของ โคบี้ สูงจนถึงขนาดที่ว่าเขาเคยขอให้ทีมเอาบทบาทผู้นำของ แชค ออกไปแล้วเขาจะจัดการมันเอง
"เขาเป็นคนแบบนี้มาแต่ไหนแต่ไรและจะไม่เปลี่ยน ความมั่นใจของ โคบี้ มากอย่างไม่น่าเชื่อ เขาเป็นคนที่กล้าบอกกับโค้ชว่าถ้าส่งบอลให้และเปิดทางให้เล่นได้สะดวก รับรองว่าผมจะเอาชนะใครหน้าไหนก็ได้ทั้งนั้น รู้ไหมผมบอกอะไรกับเขา?"
"โคบี้ ฉันรู้ว่าแกทำได้ แต่ตอนนี้มันยังไม่มากเท่าที่ทีมต้องการ เอาเป็นว่าเรื่องที่พูดมาเราจะรู้กันแค่ 2 คน และฉันจะไม่มีทางเขี่ยแชคออกไปให้พ้นทางเพื่อใครแน่" แฮร์ริส ว่ากับ โคบี้ ตรงๆ ไม่อ้อมค้อมเหมือนที่เขาอยากได้ยิน "เขาทำท่าเหมือนจะเข้าใจ แต่เชื่อเถอะผมดูออกว่าไอ้หมอนี่มันเก็บความไม่พอใจเอาไว้แบบเงียบๆ แน่นอน"
หลังจากพ่ายแพ้ แชค ได้ทีเข้าไปสั่งสอนรุ่นน้องทันที เขาคิดว่า โคบี้ เล่นเพื่อตัวเองมากเกินไป มากจนลืมมองเห็นโอกาสจากเพื่อนรอบข้าง ซึ่งแน่นอนว่าคนอย่าง โคบี้ ไม่มีทางจะที่ขอบคุณคำสอนนี้ ด้วยปากของตัวเองแน่
ยิ่งเกลียดกัน...ยิ่งเก่ง
"ผมไม่อยากจะช่วยเขามากหรอกนะ จะบอกให้ประสบการณ์นี่แหละจะเป็นครูชั้นดีของเขา โคบี้ จะเป็นผู้เล่นที่ยิ่งใหญ่แน่ หากว่าวันหนึ่งเขาก้าวพ้นความเป็นเด็กน้อยได้
แชค กล่าวแบบหยิกแกมหยอกใส่โคบี้ ในช่วงเวลาสำคัญที่รุ่นน้องคนนี้กำลังจะเป็นผู้ใหญ่เต็มตัว ซึ่งเป็นช่วงที่สัญญาณของ เลเกอร์ส ดีขึ้นมาหลังจากคืบคลานผ่านยุค '90 ที่โหดร้าย
พวกเขาเริ่มสะสมกำลังพลมากขึ้นเรื่อย และที่แปลกอีกอย่างคือ แม้ปริศนาตัวชูโรงในทีมยังไม่ถูกเฉลยว่าแท้จริงแล้ว ระหว่าง แชค หรือ โคบี้ ใครคือผู้นำ แต่ผลงานของทีมกลับกระเตื้องขึ้นไม่น่าเชื่อด้วยฟอร์มการเล่นของทั้งสองคน
ขวบปีที่ 2 ที่ เลเกอร์ส โคบี้ รู้ว่าตัวเองต้องเพิ่มความเป็นทีมให้มากขึ้น อย่างไรก็ตามสไตล์ของเขาคือผู้เล่นประเภทถือบอลเพื่อทำแต้ม นี่คือสิ่งที่เขาเปลี่ยนมันไม่ได้
ขณะที่แชคเป็นคนที่เข้าใจอะไรเรื่องนี้ง่ายตามประสาคนโตกว่า เขาเองก็เป็นพวกที่ยอมทำทุกอย่างเพื่อชัยชนะเหมือนกัน ดังนั้นแม้แต่การประสานงานกับคนที่ไม่ชอบขี้หน้าอย่างโคบี้ เขาก็ไม่เกี่ยง และเป็นมืออาชีพพอ แม้จะมีการกระทบกระทั่งของทั้ง 2 เกิดขึ้นเสมอๆ โดยเฉพาะ แชค นั้นเป็นคนที่เกลียดความพ่ายแพ้มาก เขาเคยตบหน้า โคบี้ และพูดให้นักข่าวฟังว่าเขารู้สึกว่า โคบี้ เป็นคนที่ทำให้ทีมแพ้และเบื่อหน่ายที่จะรอให้ โคบี้ ปรับตัวและเปลี่ยนแปลงบ้าง
"อะไรนี่เป็นเกมการทดสอบเหรอ ไม่เห็นมีใครมารอให้ผมปรับตัวเลยตอนผมเล่นในลีกครั้งแรก ความกัดดันมาอยู่กับผมทันทีที่ผมเริ่มเล่น นั่นคืองานของผมล่ะ ทำไมต้องรอล่ะ? ผมไม่ได้มาอยู่ที่นี่นานขนาดที่จะรอให้ 'เขา' เข้าใจอะไรได้" เขา คนนั้นที่ แชค ว่าก็คือ โคบี้ นี่แหละ
การพูดถึง โคบี้ แต่ละครั้ง แชค มักจะวนเวียนอยู่กับคำว่า โคบี้ ยังเด็กเกินกว่าจะเข้าใจ "บางสิ่ง" ที่ซ่อนอยู่ภายใต้คำว่านักกีฬาอาชีพ
แน่ล่ะ ไม่มีใครเพอร์เฟ็กต์ 100% ในสายตาของคนอื่นๆ และในมุมมองของ โคบี้ เขาเองก็เบื่อรุ่นพี่อย่าง แชค เช่นกัน แม้จะเป็นคนเฮฮาแต่บางครั้งมันก็มากเกินไปจนดูเหมือนไม่มีแรงขับมากพอจะพาทีมชนะ และเป็นแชมป์ได้ ครั้งหนึ่งพวกเขาเคยซัดกันในสนามซ้อมมาแล้ว เหตุเพราะความเอาจริงของ โคบี้ นั่นแหละ
"เขาจะปล่อยให้ตัวเองไปเข้าค่ายเด็กอ้วนไม่ได้อีกแล้ว เพราะทีมต้องพึ่งพาเขา ความเป็นผู้นำทั้งใน และนอกสนามหมายถึงการมีความรับผิดชอบ ไม่ว่าทีมจะแพ้หรือชนะเขาต้องแบกรับมันร่วมกับทีม และจะโทษใครคนเดียวไม่ได้" โคบี้ ว่าถึง แชค บ้าง
"เอาเข้าจริงมันก็ไม่ใช่เรื่องส่วนตัวอะไรเลย แต่ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมว่าหมอนี่มันถึงกัดผมไม่ปล่อยขนาดนั้น เพราะผมเองก็ไม่ค่อยสนิทกับเขา ไม่ได้ไปยุ่งอะไรกับเขาเลยด้วยซ้ำ"
"เมื่อยู่ในสนามผมออกไปเล่นและพยายามเรียนรู้เพื่อทำงานให้ออกมาดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ ไม่ว่าจะผ่านบอล เคลื่อนที่ ผมพยายามทำทั้งหมด ที่ผมงงมากคือเขาอยากให้ผมทำอะไรอีกวะ?"
ทั้ง 2 คนต่างคิดว่าตัวเองเป็นผู้เล่นเบอร์ 1 ของทีม แต่อย่างน้อยๆ เลเกอร์ส โชคดีมากที่เอา ฟิล แจ็คสัน ยอดโค้ชจาก ชิคาโก บูลส์ เข้ามาคุมทีมในปี 1999 เพราะคนมีประสบการณ์สูงอย่าง ฟิล สามารถประสานรอยร้าวที่เกิดขึ้นนี้ได้ เขาไม่ได้ทำให้ แชค และ ไบรอันท์ หันมารักกันดูดดื่ม เพียงแต่ว่าเขาทำให้ทั้งสองคนเล่นร่วมกันในฐานะทีมที่แข็งแกร่งได้
การทะเลาะที่ชี้ความผิดของคนอื่นมาเป็นประเด็นทำให้ แชค กับ โคบี้ ไม่ลงรอยและทีมไม่ประสบความสำเร็จตลอดระยะเวลาที่อยู่ด้วยกัน แต่ ฟิล ทำให้คลื่นใต้น้ำที่ปะทุสงบลงในระยะเวลาไม่ถึงปีด้วยซ้ำ
นี่ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ ฟิล แจ็คสัน เคยมีประสบการณ์คุมทีมที่มีบิ๊กทรีซึ่งไม่ถูกกันมาแล้วที่ บูลส์ เขาทำให้ เดนนิส ร็อดแมน คนที่ควบคุมยากที่สุดเล่นเป็นส่วนหนึ่งของทีมร่วมกับยอดฝีมืออย่าง ไมเคิล จอร์แดน และ สก็อตตี้ พิพเพ่น จนทำให้ บูลส์ คว้าแชมป์ NBA 3 ปีติด
"ผมเข้ามาบอกในทีมว่านี่มันเกิดอะไรขึ้นกับทีมทีมนี้? ถ้ายังเป็นแบบนี้อยู่ฉันเดาได้เลยว่าพวกเราจะไม่ได้แม้แต่คำชื่นชมและการยอมรับจากใคร ถ้าเรายังไม่สามารถรวมกันเป็นหนึ่งได้เราจะอดเป็นแชมป์ และเมื่อสิ่งนั้นเกิดขึ้นมันหมายถึงพวกเราทั้งทีม" ฟิล แจ็คสัน ปลุกให้ทั้งทีมเลิกแบ่งพรรคแบ่งพวก
เหตุผลที่ทำให้เกิดเรื่องยิ่งใหญ่ขึ้นนี้ง่ายมาก ฟิล แจ็คสัน ไม่เคยทำเหมือนกับโค้ชคนก่อนๆ ที่เรียกทั้งสองคนเข้าไปเปิดใจคุยเพื่อสะสางปัญหา นอกจากการปลุกทั้งทีมให้ตื่นขึ้นพร้อมๆ กันดังที่ได้กล่าวไว้ในข้างต้นแล้ว ฟิล นั้นนิ่งเฉยไม่เคยเคลียร์ใจกับทั้ง แชค และ โคบี้ เลยแม้แต่ครั้งเดียว ซึ่งการทำเช่นนี้มันมีเหตุผลแน่นอน
คำพูดที่ ฟิล ใช้ เบรก โคบี้ และ แชค มีเพียง "นี่แกสองตัวจะเลิกกัดกันได้หรือยัง?" แค่นี้เท่านั้น เขารู้ดีว่า "เสือสองตัวยอมรับกันไม่ได้" ดังนั้นหากเขาถือหางใครสักคนมันจะเป็นการเข้าข้าง และดูไม่แฟร์กับอีกคนหนึ่ง ฟิล จึง ปล่อยให้ทั้งคู่เติมไฟให้กันแบบไม่หยุดหย่อน เมื่อ โคบี้ พูดถึง แชค แชค ก็จะโกรธและอยากจะโชว์ฟอร์มสยบปากรุ่นน้อง และเมื่อ แชค พูดถึง โคบี้ โคบี้ เองก็พร้อมจะตอบกลับด้วยผลงานในสนามเช่นกัน
“ตอนนั้นผมดื้อมาก เหมือนม้าป่าที่มีพละกำลังมากมายและพยศสุดๆ ฟิล พยายามจะทำให้ผมเชื่อง เขาเป็นคนฉลาดที่เข้าใจถึงพลังในตัวผมและรู้ว่าต้องรับมือกับสถานการณ์ของผมกับ แชค” โคบี้ เล่าย้อนถึงช่วงเวลาที่ทำงานร่วมกัน ซึ่งตอนนั้น ฟิล พยายามบีบให้ โคบี้ เคารพในตัวของ แชค แต่โคบี้ยังเด็กเกินไป เขาคิดว่านั่นคือการดูถูกพลังอัจฉริยะในตัวเขา ดังนั้นเขาจึงต้องโชว์ผลงานให้โดดเด่นยิ่งๆ ขึ้นไปอีกเรื่อยๆ
"ผมคิดว่า 'แม่ง พอกันทีกับไอ้คนๆ นี้ ผมจะเล่นให้เขาแน่ แต่ผมจะไม่มีปฏิสัมพันธ์กับเขาหรอก' ... แต่ความจริงแล้วผมไม่ทันรู้ตัวเลยว่า เขาพยายามกดดันผมอย่างมากเพื่อรีดศักยภาพที่ยิ่งใหญ่ภายในตัวผมออกมา"
การแก้ปัญหาแบบนี้ทำให้ เลเกอร์ส คว้าแชมป์ NBA ฟิล เข้าใจสัจธรรมง่ายๆ ของวงการยัดห่วงที่ว่า "มันไม่ใช่เกมที่เด็กน้อย 2 คนแย่งของเล่นกัน แกแย่งของเล่นชั้นเหรอ เดี๋ยวชั้นจะอัดแก โคบี้ กับ แชค ควรจะรู้สึกว่าตัวเองโชคดีที่มีโอกาสอยู่ทีมเดียวกันกับผู้เล่นพรสวรรค์ และพวกเขาควรจะเล่นร่วมกันให้ได้"
ไม่น่าเชื่อ ทุกอย่างเป็นไปได้และผลิดอกออกผลอย่างเห็นได้ชัดในสนามแข่งขันจริง ฟิล ให้ อิสระ การเล่นกับ โคบี้ มากขึ้นกว่าเดิมแต่ต้องอยู่ในกรอบที่เขาให้ไว้ ซึ่งการให้โอกาสโชว์กลับกลายเป็นการเล่นเพื่อทีมมากขึ้นแม้จะขึ้นชื่อว่าเป็นผู้เล่นสไตล์โซโล่เพลย์ แต่เขาเลือกชัยชนะของทีม มากกว่าการเป็นฮีโร่ด้วยตัวคนเดียว ขณะที่ แชค นั้นแม้จะเลิกด่า โคบี้ ไม่ได้ แต่อย่างน้อยๆ เขาก็เพิ่มโหมดคำชมเพิ่มขึ้นมาบ้าง และเรื่องเล็กๆ นี้ช่วยให้บรรยากาศในทีมดีขึ้นอีกมากโข
ช่วงเวลาที่มี ฟิล แจ็คสัน คุมทีมเป็นช่วงเวลาที่ เลเกอร์ส ประสบความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่ ฟิล ทำให้ โคบี้ และ แชค กลายเป็นหนึ่งเดียวกันเมื่อลงสนาม และเมื่อนั้นแหวนแชมป์ NBA ก็มาประดับอยู่บนนิ้วของพวกเขาทุกๆ คน
ในปี 2000 แชค และ โคบี้ สามารถพาทีมคว้าแชมป์ NBA เป็นครั้งแรกให้กับตัวเองได้ ในขณะนั้นคู่หูคู่นี้ทำแต้มเฉลี่ยรวมกันเกิน 50 แต้มต่อเกม ซึ่งถือว่าสูงมาก และเป็นคู่หูที่มีเกมการรุกตอนนั้นเด็ดที่สุดใน NBA ถึงกับมีคำกล่าวที่ว่า “วงในแชค วงนอกโคบี้”
"สิ่งรอบตัวเปลี่ยนไป การเปลี่ยงแปลงเหล่านี้คือวิวัฒนาการ และคุณต้องยอมรับการเปลี่ยนแปลงนั้นพร้อมๆ กับเติบโตไปกับมันให้ได้" โคบี้ กล่าวไว้ในปีที่พวกเขาเป็นแชมป์สมัยแรก
ช่วงเวลาหลังจากนั้นทั้งคู่ช่วยกันคว้าแชมป์อีก 2 สมัยติด รวมเป็นแชมป์ 3 สมัยซ้อน หรือ Three-peat ในช่วงปี 2000-02 และแม้จะไม่ถูกกันอย่างไร ช่วงเวลาที่ทั้งคู่อยู่ เลเกอร์ส ก็ถูกยกให้เป็นสุดยอดคู่หูที่เป็นตำนานของทีมไม่ต่างจาก เมจิค จอห์นสัน และ คารีม อับดุล จาบาร์ เลยทีเดียว นอกจากนี้คู่หู แชค-โคบี้ ยังถูกโหวตว่าเป็นคู่หูที่ยอดเยี่ยม Top 5 ของ NBA ในยุคอีกด้วย
คนแก่เล่าเรื่องเก่า
ทั้งสองคนมีเส้นทางที่แตกต่างกัน เมื่อคว้าแชมป์และร่วมกันสร้างความสำเร็จจนถึงปี 2004 ก็ยังไม่วายมีเรื่องให้ได้ซุบซิบกันอีกว่าทั้งคู่ยังคงเกลียดชังกันอยู่
ในปีนั้น แชค โดนเทรดไปอยู่กับ ไมอามี่ ฮีต ขณะที่ โคบี้ ได้รับสัญญา 7 ปีมูลค่า 136 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งทำให้คนโยงกันว่าสัญญาของ โคบี้ ฉบับนี้ทำให้ทีมไม่เหลืองบพอที่จะต่อสัญญากับ แชค จนต้องปล่อยพ้นทีมไป
ความจริงทั้งหมดมาเปิดเผยเอาในช่วงปี 2015 วันที่ โคบี้ ก้าวผ่านจากเด็กอายุ 17 ปี กลายเป็นจอมเก๋าวัย 36 ปี ขณะที่ แชค เลิกเล่นแล้วและทั้งคู่มาพบกันเพื่อเล่าถึงคืนวันเก่าๆ ว่าแท้จริงแล้วอะไรเกิดขึ้นบ้าง
ความจริงในวันที่ความบาดหมางตกผลึก แฟนบาสเก็ตบอลได้เห็นถึงความเป็นสุภาพบุรุษของทั้งสองคนอย่างชัดเจน โคบี้ มองการกัดกันเป็นเรื่องของความสนุก แม้พวกเขาจะด่าทอกัน แต่อย่างน้อยพวกเขาไม่เคยที่จะด่ากันลับหลัง
"เราด่ากันต่อหน้าแต่ไม่มีการนินทาลับหลังกับเพื่อนร่วมทีม การพูดตรงๆ ต่อหน้าทำให้เราทะเลาะกัน แต่มันสามารถเปลี่ยนเป็นแรงผลักดันได้ มันคือสิ่งที่ทำให้ เลเกอร์ส ก้าวไปข้างหน้าและชัดเจนมากตอนที่เราคว้าแชมป์ในครั้งที่ 2" โคบี้กล่าว ทั้งคู่ไม่เคยเกลียดกัน เพียงแต่ว่ามันเรื่องของคนเก่งที่คนธรรมดายากจะเข้าใจ
"ฉันไม่เคยเกลียดนายเลยนะ เราอาจจะไม่ได้เห็นด้วยในความคิดของกันและกันหลายอย่าง เรื่องทั้งหลายที่เกิดขึ้น แม้จะดูหนักหนาแต่มันก็สนุกดี นายว่าไหม?" แชค กล่าวกับ โคบี้
แท้จริงแล้ว แชค ไม่ใช่คนที่แผ่วปลายในการทำงานเหมือนกับที่ โคบี้ เคยว่าไว้เมื่อหลายปีก่อน เพราะ แชค เองก็มีมุมที่เป็นผู้นำเยอะ ในเกมชิงแชมป์สายตะวันตกปี 2002 เขาจะโทรหาเพื่อนๆ ร่วมทีมทุกคนในตอนเช้าเพราะกลัวว่าจะมีใครเผลอหลับยาวจนไม่ตื่น
และในเรื่องที่ว่าชิงดีชิงเด่นและอิจฉากัน แท้จริงแล้วมันคือการผลัดกันแสดงความสามารถเพื่อแข่งกันมากกว่า แชค มักจะบอกกับ โคบี้ เสมอในการลงเล่นเพลย์ออฟว่า ผลัดกันโชว์ให้เต็มที่ ซีรี่ส์แรก โคบี้ อัดให้ตาย และซีรี่ส์ต่อไป แชค จะจัดการคู่แข่งเอง เรื่องเช่นนี้คือเรื่องลับๆ ภายใต้ความยิ่งใหญ่ที่ใครไม่เคยรู้
เมื่อพิธีกรถามต่อว่า โคบี้ ได้เรียนรู้อะไรจาก แชค บ้าง เขาตอบให้ด้วยความชื่นชมเสมอ ไม่เหลือร่องรอยความบาดหมางเก่าๆ อีกแล้ว
"แชคสอนผมเรื่องความเป็นผู้นำ เขายอดเยี่ยมและเหลือเชื่อ ก็อย่างที่เห็นกันตอนนี้ เข้ากับคนอื่นได้ง่าย ใส่ใจกับเพื่อนร่วมทีม เขาพร้อมช่วยเหลือทุกคนผมเรียนรู้เรื่องพวกนี้จากเขา เพราะผมไม่ได้เป็นคนแบบนั้นเลย" โคบี้ ไบรอันท์ ชายผู้ทำแต้มใน NBA มากกว่า ไมเคิล จอร์แดน กล่าวไว้เช่นนั้น
ไม่ใช่แค่รุ่นน้องอย่าง โคบี้ เท่านั้นที่ได้บทเรียนจากการได้อยู่ร่วมทีมกัน แชค ที่เป็นรุ่นพี่ก็ยอมรับว่าคนอย่าง โคบี้ คือคนที่เขาไม่เคยเจอ "สิ่งที่ผมได้เรียนรู้จากโคบี้คือ ไม่ว่าเขาจะพูดอะไรออกไปเขาจะทำมัน ตั้งแต่อายุ 18 แล้ว เขาจะลงมือทำตลอด แน่นอนนี่คือสิ่งที่ผมได้เรียนรู้จากเขา"
ทั้งสองคนจบรายการด้วยการสร้างความประทับใจ แชค ไม่อายที่จะบอกว่าเขาสนุกที่ได้เล่นร่วมกันกับโคบี้ และเชื่อว่าหากได้เล่นด้วยกันอีกทั้งคู่จะช่วยกันคว้าแหวนแชมป์มาสะสมถึง 7 วง แน่นอนเขาให้ความเคารพ โคบี้ เสมอและบอกว่า "รักแกนะโว้ย น้องชาย" เป็นการปิดท้าย ... แต่ไม่ท้ายสุด เพราะคำสุดท้ายที่เขาพูดออกมาชัดเจนมาก นั่นคือคำว่า ...
"ผมไม่ได้เกลียดโคบี้โว้ย" ทั้งคู่กอดและชนหมัดกัน นี่คือความยอดเยี่ยมของคู่หูที่แสบที่สุดเท่าที่เลเกอร์สเคยมี
บทความโดย ชยันธร ใจมูล
โฆษณา