31 ม.ค. 2020 เวลา 04:13 • กีฬา
อยากได้ใจจากใคร ว่ากันว่าต้องเอาความห่วงใยของเราไปแลกมา นี่คือเรื่องราวของเป๊ป กวาร์ดิโอล่า ที่ซื้อใจลีโอเนล เมสซี่ได้สำเร็จ
เป๊ป กวาร์ดิโอล่า ก่อนหน้าจะมาคุมบาร์เซโลน่า เขาไม่ได้รู้จักลีโอเนล เมสซี่เป็นการส่วนตัว ขณะที่เมสซี่ ก็ไม่ได้ชื่นชอบอะไรเป๊ปเช่นกัน ออกจะไปทางแนวไม่ชอบมากกว่าด้วยซ้ำ
6
จริงๆคือ เส้นทางของกวาร์ดิโอล่ากับเมสซี่นั้นสวนทางกันพอดี กวาร์ดิโอล่าย้ายทีมจากบาร์ซ่าไปอยู่เบรสชาในอิตาลี เมื่อปี 2001 ในขณะที่เมสซี่ ย้ายจากอาร์เจนติน่ามาอยู่ลา มาเซีย ในปี 2001 เช่นกัน คือไม่มีเหตุให้ได้รู้จักกัน
เมสซี่เมื่อเข้ามาอยู่ในทีมเยาวชนของบาร์ซ่า ก็พัฒนาฝีเท้าขึ้นเรื่อยๆ และได้ไต่เต้ามาเล่นทีมชุดใหญ่ในปี 2004 ซึ่งในขณะนั้นกวาร์ดิโอล่ายังไม่ได้แขวนสตั๊ดเลย เขายังเตะฟุตบอลอยู่กับทีมอัล อาห์ลี ในกาตาร์
ดังนั้นพอในปี 2008 ที่กวาร์ดิโอล่าได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้จัดการทีมบาร์เซโลน่าชุดใหญ่แทนที่แฟรงค์ ไรจ์การ์ด ทำให้นี่เป็นครั้งแรกจริงๆที่เขาจะได้ร่วมงานกับเมสซี่
"มีใครสักคนบอกผม ว่าผมโชคดีมากนะ ที่ในทีมมีนักเตะอัจฉริยะอยู่ด้วย" กวาร์ดิโอล่าเล่า "เด็กคนนี้แม้จะอายุน้อยมาก แต่ก็ทักษะดี และยิงประตูได้เยอะมาก"
"ผมไม่รู้จักเขามาก่อน แต่แล้ววันหนึ่ง ผมก็ไปเห็นเขาในไนกี้ สโตร์ กับคุณพ่อ ที่เอลปราต คือเขาดูตัวเล็กและขี้อายมาก ซึ่งผมก็คิดว่า ไอ้เด็กคนนี้มันจะเก่งเหมือนที่คนพูดกันจริงๆหรือ"
ในวันแถลงข่าวรับงานคุมบาร์ซ่า กวาร์ดิโอล่ากล่าวว่าดีใจที่จะได้ร่วมงานกับนักเตะฝีเท้าดีในทีม แต่เขาไม่ได้พูดถึงชื่อ "เมสซี่" แม้แต่คำเดียว
กวาร์ดิโอล่าคุมบาร์ซ่าครั้งแรกในเดือนกรกฎาคม 2008 และเขาเริ่มต้นด้วยการพาทีมไปปรีซีซั่นที่สกอตแลนด์ โดยต้องลงเล่นเกมอุ่นเครื่อง กับฮิเบอร์เนียน และ ดันดี ยูไนเต็ด
และครั้งนี้เอง เป็นเกมที่กวาร์ดิโอล่าได้ใช้งานเมสซี่เป็นครั้งแรก
"เราเริ่มต้นปรีซีซั่นที่สกอตแลนด์ และเราเอาชนะคู่แข่งได้ 6-1 และ 5-0 โดยเกมหลังเมสซี่ยิงแฮตทริกได้ด้วย ซึ่งถึงจุดนั้นแล้ว ผมจึงคิดว่า ถ้ามีเด็กคนนี้อยู่ในทีม เราสามารถเอาชนะได้ทุกสิ่งทุกอย่างในอนาคต" กวาร์ดิโอล่ายอมรับ เด็กเมสซี่นี่เก่งจริงๆ
สำหรับเยาวชน ที่เติบโตมาจากลา มาเซีย แทบจะร้อยทั้งร้อย พวกเขามีเป๊ป กวาร์ดิโอล่าเป็นไอดอล
ชาบี เอร์นันเดซ บูชาเป๊ปเหมือนเป็นพระเจ้า สไตล์การเล่นของเขาก็เรียนรู้จากกวาร์ดิโอล่ามาตลอด ทั้งคู่เป็นคนคาตาลันแต่กำเนิดเหมือนกัน และมีทัศนคติที่คล้ายกันหลายอย่าง
อันเดรส อิเนียสต้าก็ไม่ต่างกัน เขาก็บูชากวาร์ดิโอล่าเป็นฮีโร่ในใจ โดยในรายการไนกี้ คัพ หรือฟุตบอลยู-15 ชิงแชมป์โลกที่บาร์เซโลน่าคว้าแชมป์ได้สำเร็จ อิเนียสต้าเป็นกัปตันทีม และคนที่มอบโทรฟี่แชมป์ให้คือกวาร์ดิโอล่านั่นเอง โดยตอบที่มอบเหรียญและถ้วยแชมป์ให้ กวาร์ดิโอล่ากระซิบบอกอิเนียสต้าว่า "ไอ้หนู อีก 10 ปีข้างหน้า ฉันจะเฝ้าดูนาย ลงเล่นเป็นตัวจริงในสนามคัมป์นู ทุกสัปดาห์นะ"
เชส ฟาเบรกาส มิดฟิลด์ทีมชาติสเปน ที่โตมาจากระบบเยาวชนของลา มาเซีย ก็ศรัทธากวาร์ดิโอล่าด้วยหัวใจ ครั้งหนึ่งฟาเบรกาสอายุ 13 ปี พ่อแม่ของเขาแยกทางกัน ซึ่งเมื่อกวาร์ดิโอล่ารู้ ก็เอาเสื้อ Match Worn ของตัวเอง ฝากโค้ชเยาวชนของทีมเอามาให้ฟาเบรกาส โดยบนเสื้อมีเขียนโน้ตไว้ด้วยว่า "ถึงเชส ฟาเบรกาส ฉันจะรอนะ อีกสัก 2 ปีต่อจากนี้ ฉันเชื่อว่านายาจะได้ใส่เสื้อเบอร์ 4 ที่คัมป์นูนะ โชคดีนะ"
ซึ่งสิ่งนี้ ฟาเบรกาสไม่เคยลืมเลย และนั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมเขาถึงอยากย้ายจากอาร์เซน่อลกลับสู่บาร์เซโลน่า ในปี 2011 นั่นเพราะนอกจากจะได้เล่นกับทีมที่ตัวเองเคยอยู่มายาวนานแล้ว เขาจะได้ร่วมงานกับไอดอลของตัวเอง เป๊ป กวาร์ดิโอล่าอีกครั้ง
ขณะที่เซร์คิโอ บุสเกตต์ ยิ่งกว่าศรัทธากวาร์ดิโอล่าอีก เพราะเป็นคนที่เห็นคุณค่าของเขาที่ไม่เคยมีใครเห็น โดยเป๊ปดันบุสเกตต์จากนักเตะที่เล่นในบาร์ซ่า เบ ระดับดิวิชั่น 4 กระโดดมาเล่นบาร์ซ่าชุดใหญ่ คือถ้าไม่มีเป๊ป บุสเกตต์ก็ยอมรับว่าเขาไม่มีวันนี้
ชาบี,อิเนียสต้า,บุสเกตต์ ทั้งหมดมีกวาร์ดิโอล่าเป็นไอดอล ดังนั้นตอนสโมสรประกาศแต่งตั้งเป๊ป เป็นผู้จัดการทีมทุกคนจึงดีใจมากๆ
แต่กับกรณีของเมสซี่นั้นต่างกัน เขาไม่เคยร่วมงานกับเป๊ปมาก่อนเลย และไม่ได้มีความรู้สึกว่าต้องบูชา หรือศรัทธาอะไร ก็เป็นแค่โค้ชคนหนึ่งเท่านั้น
ยิ่งไปกว่านั้น สิ่งที่ทำให้เมสซี่ไม่ชอบกวาร์ดิโอล่ามากขึ้นอีก คือ กวาร์ดิโอล่าจัดการขายโรนัลดินโญ่ทิ้งไปจากทีม
โรนัลดินโญ่ ถือเป็นอาจารย์ และเป็นพี่เลี้ยงของเมสซี่ เขาถ่ายทอดวิชาและทริกต่างๆในสนามให้เมสซี่พัฒนาขึ้นอย่างก้าวกระโดด นอกจากนั้นยังสนิทสนมกันนอกสนาม บ้านโรนัลดินโญ่ กับบ้านเมสซี่ที่บาร์เซโลน่าอยู่ห่างกันแค่ 3 หลัง ทั้งสองคนเดินไปมาหาสู่กันได้ง่ายๆตลอดเวลา ความรู้สึกเหมือนเป็นพี่ชาย-น้องชายกันมากกว่า
ดังนั้นอยู่ๆพอเป๊ปเข้ามาคุมทีมได้แค่แป้บเดียว แล้วสั่งขายพี่เลี้ยงของเขาทิ้งแบบไม่ใยดี เมสซี่จึงรู้สึกไม่ค่อยถูกชะตากับกวาร์ดิโอล่านัก
ในสายตาของกวาร์ดิโอล่า เมสซี่จะพัฒนาได้มากกว่านี้อีก เขามีไอเดียจะเปลี่ยนเด็กคนนี้จากปีกขวาตัวจี๊ด มาเล่นเป็น False 9 ในอนาคต
ความตั้งใจของกวาร์ดิโอล่าคืออยากสร้างบาร์ซ่าชุดนี้ให้แข็งแกร่งขึ้น ขณะที่กับตัวเมสซี่นั้น เป๊ปอยากยกระดับเด็กคนนี้จากผู้เล่นที่ "ดี" ให้กลายเป็นผู้เล่น "ระดับโลก"
แต่แน่นอนมันจะไม่เกิดขึ้นได้เลย ถ้าหากเมสซี่ไม่เปิดใจให้เขา
ในปี 2008 มีรายการโอลิมปิก ที่ปักกิ่งเริ่มแข่งขัน 8-24 สิงหาคม โดยในกีฬาฟุตบอลจะมี 16 ชาติมาเข้าแข่งขันเพื่อชิงเหรียญทอง
1
อาร์เจนติน่าถือเป็นแชมป์เก่ารายการนี้ เมื่อปี 2004 ที่กรีซ พวกเขาได้เหรียญทองโอลิมปิก โดยทีมฟ้าขาวชุดนั้นมี คาร์ลอส เตเวซ, ฮาเวียร์ มาสเคราโน่,กาเบรียล ไฮน์เซ่ และ ฮาเวียร์ ซาวิโอล่าเป็นต้น
ดังนั้นเมื่อโอลิมปิก 2008 ที่ปักกิ่งมาถึง แฟนบอลจึงมีความคาดหวังสูงมากว่า อาร์เจนติน่าจะป้องกันเหรียญทองได้
เมสซี่เองก็อยากไปเล่นโอลิมปิกด้วย คือในปี 2004 เขาอายุเพิ่ง 17 ปี ยังกระดูกไม่แข็งพอที่จะโดนเรียกติดทีมชาติ แต่มาในปี 2008 เขาอายุ 21 ปี คือมีความพร้อมแล้วที่จะลงแข่งในรายการนี้
ในโอลิมปิก จะเป็นทัวร์นาเมนต์ของทีมยู-23 ซึ่งถ้าเป็น 4 ปีหน้า เมสซี่ก็จะอายุ 25 แล้ว เกินโควต้าแล้ว ดังนั้นนี่จะเป็นโอกาสสุดท้ายของเขาจริงๆที่จะได้เหรียญทองโอลิมปิกสักครั้งในชีวิต
เมสซี่แจ้งความจำนงกับบาร์ซ่าว่าอยากไปแข่งโอลิมปิก อยากมีโอกาสได้เล่นกับเพื่อนๆในรุ่นเดียวกัน พวกกุน อเกวโร่, อังเคล ดิ มาเรีย, เอเวร์ บาเนก้า คว้าเหรียญทองไปด้วยกัน
เช่นเดียวกับทีมชาติ ก็อยากได้ตัวเมสซี่ไปโอลิมปิกด้วย เพราะถ้ามีเมสซี่ กับไม่มีเมสซี่ มันมีความแตกต่างเกิดขึ้นแน่นอน
แต่ปัญหาคือ บาร์ซ่าปฏิเสธ
ไม่ใช่ว่าบาร์ซ่าใจร้ายอะไร แต่สโมสรก็มีเหตุผล เพราะในซีซั่นก่อน (2007-08) บาร์ซ่าจบอันดับ 3 ดังนั้นพวกเขาต้องลงแข่งขันยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก รอบเพลย์ออฟ เหย้า-เยือน 2 เลก ในวันที่ 13 และ 26 สิงหาคม ดังนั้นถ้าเมสซี่ไปโอลิมปิก ก็แปลว่าเขาจะลงเล่นเกมเพลย์ออฟไม่ได้
ศึกแชมเปี้ยนส์ลีก คือรายการที่มีเดิมพันสูงมาก นี่คือรายการที่มีเงินรางวัล และเงินถ่ายทอดสดมหาศาล ดังนั้นบาร์ซ่าจะพลาดตกรอบเพลย์ออฟไม่ได้เด็ดขาด พวกเขาต้องทำทุกวิถีทางเพื่อเข้ารอบแบ่งกลุ่มให้ได้เท่านั้น
ยิ่งไปกว่านั้นสโมสรเพิ่งมีโค้ชใหม่ มีการเปลี่ยนแปลงหลายอย่างเกิดขึ้น นักเตะตัวรุกอย่างโรนัลดินโญ่, เดโก้ และ โจวานี่ โดส ซานโตส โดนขายทิ้งออกไปหมด ดังนั้นเมสซี่ก็ควรอยู่เรียนรู้ระบบการเล่นกับเพื่อนๆ คือต้องเริ่มปรีซีซั่นไปด้วยกัน
สำหรับสโมสรมันเป็นไปไม่ได้ทีจะอนุญาตให้เมสซี่ไป พวกเขาประคบประหงมเมสซี่เป็นอย่างดีตั้งแต่สมัยเยาวชน ฟูมฟักเต็มที่เพื่อเอามาใช้งานในยามสำคัญ และนี่ล่ะคือช่วงสำคัญแล้ว ถ้าบาร์ซ่าไม่เข้ารอบแบ่งกลุ่มแชมเปี้ยนส์ลีกล่ะก็ คงโดนคนหัวเราะเยาะตายแน่
"เราเป็นคนจ่ายเงินให้เมสซี่ ไม่ใช่อาร์เจนติน่า และถ้าเขาบาดเจ็บจากรายการที่จีนล่ะ ใครจะรับผิดชอบ เราจะเล่นในฤดูกาลนี้อย่างไร เมื่อไม่มีตัวรุก"
ในช่วงเดือนกรกฎาคม ถึงสิงหาคม 2008 จึงเป็นสงครามอันรุนแรง ระหว่างทีมชาติอาร์เจนติน่า กับสโมสรบาร์เซโลน่าในศึกชิงตัวเมสซี่ ซึ่งเมสซี่อยู่ตรงกลาง เต็มไปด้วยความอึดอัดใจ ทางนั้นก็ทีมชาติของเรา อีกทางก็สโมสรที่ชุบเลี้ยงเรามา เขาทำอะไรไม่ถูกเลย
2 กรกฎาคม 2008 ทีมชาติประกาศ 18 ผู้เล่นลุยโอลิมปิก และมีชื่อเมสซี่อยู่ในนั้นด้วย โดยฮูลิโอ กรอนโดน่า ประธานสหพันธ์ฟุตบอลอาร์เจนติน่ากล่าวว่า "เราเองก็ไม่อยากทำให้ใครต้องลำบากใจ แต่บาร์เซโลน่าจะมีเขาใช้งานตลอดปี ขณะที่ทีมชาติจะมีแค่โอลิมปิกรายการนี้รายการเดียว ดังนั้นเราต้องการเมสซี่ติดทีมชาติไปด้วย"
ฝั่งบาร์ซ่าไม่ยอม ซิกี้ เบกิริสไตน์ ผู้อำนวยการกีฬาบอกว่าเมสซี่จะอยู่กับเรา เพื่อช่วยทีมลงเล่นในยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีกรอบเพลย์ออฟ
ซีเลีย คุณแม่ของลีโอเนล เมสซี่ เปิดเผยความอึดอัดใจของลูกชายตอนนั้น "ลีโอ ไม่พูด และไม่ถามอะไรจากใครเลย เขาได้แต่รอสองฝ่ายเจรจากัน ว่าสุดท้ายคำตอบจะออกมาเป็นอย่างไร"
บาร์เซโลน่ากุมความได้เปรียบในเกมนี้ นั่นเพราะ 1-พวกเขาเป็นคนจ่ายเงินเมสซี่ และ 2-ตามปฏิทินของฟีฟ่า โอลิมปิกไม่ใช่รายการที่จะบังคับนักเตะให้มาร่วมได้ ผู้เล่นจะมาได้ ต้องได้รับความยินยอมจากสโมสรเท่านั้น
23 กรกฏาคม อีกแค่ 15 วัน อาร์เจนติน่าจะลงแข่งนัดแรกในโอลิมปิก ตอนนี้นักเตะทีมชาติอีก 17 คนที่ถูกเรียก เริ่มเข้าแคมป์เก็บตัวกันแล้ว ซึ่งแน่นอนไม่มีเมสซี่ เพราะเมสซี่ยังอยู่ในแคมป์ปรีซีซั่นกับบาร์เซโลน่าที่สกอตแลนด์
ทั้ง 2 ฝ่ายกำลังชักเย่อกันอยู่ ไม่มีใครยอมใคร อาร์เจนติน่าไปบอกเซปป์ แบลตเตอร์ ประธานฟีฟ่าให้กดดันบาร์ซ่า ส่วนบาร์ซ่าก็ไปฟ้องศาลกีฬาโลก เพราะอาร์เจนติน่าไม่ยอมหยุดกดดันสโมสร สงครามการแย่งชิงเมสซี่นั้นตึงเครียดมากๆ
แน่นอน คนที่ได้รับผลกระทบเรื่องนี้มากที่สุดคือตัวเมสซี่เอง เขาไม่มีสมาธิในสนามซ้อมเลย และในช่วงปรีซีซั่นก็เผลอไปมีปากเสียงกับรุ่นพี่ ราฟา มาร์เกวซ นั่นทำให้กวาร์ดิโอล่าต้องเข้าไปสงบศึกและแยกตัวเมสซี่ออกมาจากเพื่อนๆ
กวาร์ดิโอล่า นั่งคุยกับเมสซี่ 2 คน และถามว่าเกิดอะไรขึ้น ทำไมถึงได้เอาอารมณ์มาลงกับเพื่อนๆแบบนี้ เป๊ปอยากให้เมสซี่เล่นฟุตบอลอย่างมีความสุข ไม่ใช่เล่นด้วยความหงุดหงิดแบบนี้ ซึ่งเมสซี่ที่ไม่เคยพูดอะไรมาก่อนเลย เขาพรั่งพรูทุกอย่างให้กวาร์ดิโอล่าฟัง และบอกชัดเจนว่า อยากไปปักกั่ง อยากเล่นให้ทีมชาติจริงๆ แต่เขาไม่รู้ต้องทำอย่างไรแล้ว เหมือนว่าเขาเองเป็นตัวปัญหาของทุกอย่าง
1
กวาร์ดิโอล่าพยายามปลอบใจ เขาบอกให้เมสซี่ตั้งสติก่อน และสัญญาว่าจะทำทุกอย่างที่ทำได้เพื่อช่วยให้เขาได้ไปโอลิมปิกให้ได้
ในระหว่างนั้น ดีเอโก้ มาราโดน่า ตำนานของอาร์เจนติน่าออกมาโจมตีเมสซี่ว่า "เขาต้องตัดสินใจด้วยตัวเอง นี่คือช่วงเวลาที่คุณต้องแสดงความเป็นลูกผู้ชาย ลองคิดดูว่าบาร์ซ่าจะให้เบอร์ 10 กับเขาทำไมถ้าไม่เห็นเขาสำคัญ" ในมุมของมาราโดน่า เมสซี่ควรยื่นคำขาดกับบาร์ซ่าไปเลย ถ้าไม่ยอมให้ไปจะขอย้ายทีมอะไรก็ว่ากันไป
อย่างไรก็ตาม เมสซี่ไม่สามารถทำแบบที่มาราโดน่าคิดได้ นั่นเพราะเขารักบาร์เซโลน่าเกินกว่านั้น เมสซี่สำนึกบุญคุณของสโมสรดี และเขาทำอะไรที่หักกับทีมไม่ได้จริงๆ
29 กรกฎาคม 2008 อีกแค่ 9 วันก่อนอาร์เจนติน่าจะลงแข่งนัดแรก ตอนนี้ทีมชาติมีโปรแกรมอุ่นเครื่องกับญี่ปุ่น ซึ่งแน่นอนเมสซี่มาร่วมทีมด้วยไม่ได้ เขายังต้องอยู่ในแคมป์ของบาร์ซ่าอยู่
4
ในระหว่างนั้น เป๊ป พยายามเดินเรื่องเต็มที่ เขาขึ้นไปคุยกับผู้บริหารทีม ว่าสถานการณ์เป็นแบบนี้ และช่วยคิดหา "ครึ่งทาง" ของเรื่องนี้ และในที่สุดสโมสรก็ยอมครึ่งทางให้จริงๆ
บาร์เซโลน่าบอกว่า โอเค ยอมก็ได้ แต่เมสซี่ต้องลงเล่นแชมเปี้ยนส์ลีก เพลย์ออฟ นัดแรกไปก่อน ในวันที่ 14 สิงหาคม ซึ่งถ้าหากได้ผลการแข่งขันทีน่าพอใจจะส่งเมสซี่ไปเล่นให้กับทีมชาติอาร์เจนติน่าในโอลิมปิก
1
นั่นแปลว่าเมสซี่จะลงเล่น 3 นัดในรอบแบ่งกลุ่มไม่ได้ ที่เจอกับไอวอรีโคสต์, ออสเตรเลีย และ เซอร์เบีย คือจะสามารถลงเล่นได้ ถ้าหากอาร์เจนติน่าเข้ารอบ 8 ทีมสุดท้ายได้สำเร็จ
บาร์เซโลน่ามองว่านี่เป็นทางออกแบบครึ่งทาง ทีมก็ได้ใช้งานนักเตะในแชมเปี้ยนส์ลีก และจากนั้นทีมชาติก็เอาไปใช้งานต่อเพื่อเอาเหรียญทอง
แต่เงื่อนไขนี้ อาร์เจนติน่าไม่ยอม
อาร์เจนติน่าบอกว่า มันมีที่ไหนที่นักเตะจะมาเข้าแคมป์กลางคันแบบนี้ ถ้าจะปล่อยก็ต้องปล่อยมาก่อนที่ทีมจะลงเล่นแมตช์แรกกับไอวอรีโคสต์ ในวันที่ 7 สิงหาคมนี้ คือนักเตะต้องได้เริ่มต้นทัวร์นาเมนต์ไปพร้อมๆกันกับเพื่อน และจบทัวร์นาเมนต์ไปด้วยกัน ไม่ใช่โผล่มาในลักษณะนี้
ถึงตรงนี้เหมือนการเจรจาจะล่มแล้ว และฝันของเมสซี่กับการไปเล่นโอลิมปิกคงจะสลาย
แต่ทว่าคนที่ไม่ยอมคือ กวาร์ดิโอล่า เขาสู้ต่อเพื่อให้เมสซี่ได้ไปโอลิมปิกให้ได้ คือเป๊ปนั้น สมัยเป็นนักเตะเขามีโอกาสได้แข่งโอลิมปิก 1992 ให้ทีมชาติสเปน ดังนั้นเขาเข้าใจดี ว่ารายการนี้มันมีความสำคัญกับผู้เล่นแค่ไหน
30 กรกฎาคม 2008 หลังเกมอุ่นเครื่องนัดชนะฟิออเรนติน่า 3-1 กวาร์ดิโอล่าไปไฟต์กับบอร์ดบริหารอีกครั้ง และให้สัญญาสโมสรว่า เขาจะพาทีมเอาชนะวิสล่า คราคอฟ ในแชมเปี้ยนส์ลีก พาทีมเข้ารอบต่อไปได้แน่นอน โดยไม่จำเป็นต้องใช้เมสซี่ ถ้าสโมสรเชื่อใจเขาให้มาเป็นผู้จัดการทีม ก็ขอให้เชื่อใจเขาในครั้งนี้ด้วย
ความจริงจังของกวาร์ดิโอล่า ทำให้สโมสรยอมอ่อนข้อให้ เพราะเป๊ปคือตำนานของทีมและเป็นคนที่รักสโมสรอย่างที่สุด
และที่สำคัญ เป๊ปคือคนฉลาด ถ้าเขาบอกว่าการปล่อยเมสซี่มีประโยชน์มากกว่าเก็บไว้ นั่นก็แปลว่าเขาหมายความตามนั้นจริงๆ
นั่นทำให้สุดท้าย บาร์เซโลน่ายอมให้เมสซี่ไปเล่นโอลิมปิกได้ในที่สุด
"แน่นอนการมีเมสซี่อยู่มันทำให้ทีมเราแข็งแกร่งขึ้น แต่เรามีชีวิตรอดได้โดยไม่ต้องมีเมสซี่" กวาร์ดิโอล่าประกาศ "แม้เขาจะไม่ได้อยู่กับเราตอนนี้ แต่เรามั่นใจว่าจะผ่านรอบเพลย์ออฟของแชมเปี้ยนส์ลีกได้ และเมื่อไหร่ที่เขากลับมา บาร์เซโลน่าจะต้อนรับเขาด้วยอ้อมกอดอันอบอุ่นแน่นอน"
กวาร์ดิโอล่า ขอร้องให้สโมสรถอนคำฟ้องกับศาลกีฬาโลกออก และให้ปล่อยนักเตะไปเข้าแคมป์กับเพื่อนร่วมทีมชาติ ซึ่งสุดท้ายสโมสรก็ถอนคำฟ้องออกแต่โดยดี ทุกอย่างเคลียร์หมดแล้ว
1 สิงหาคม เมสซี่บินไปที่เซี่ยงไฮ้ เพื่อเข้าแคมป์เก็บตัวกับทีมชาติอาร์เจนติน่า และกล้องจับภาพได้ว่า ความเครียดตลอด 1 เดือนที่ผ่านมา มันหายไปหมดแล้ว เมสซี กับรูมเมท กุน อเกวโร่ หัวเราะกันอย่างสนุกสนาน ความรู้สึกทุกข์ทรมานที่เคยเกิดขึ้น มันไม่มีอีกแล้ว
ท้ายที่สุด เมสซี่ พาอาร์เจนติน่าคว้าเหรียญทองโอลิมปิกได้อย่างยิ่งใหญ่ เกียรติยศที่เขาเฝ้าฝันถึง เขาไปถึงมันได้จริงๆ
ขณะที่บาร์เซโลน่ากับแชมเปี้ยนส์ลีก รอบเพลย์ออฟ กวาร์ดิโอล่าก็ทำตามอย่างที่พุดได้จริงๆ เมื่อเปิดบ้านถล่มวิสล่า คราคอฟ ไป 4-0 ในเลกแรก ก่อนจะแพ้ 1-0 ในเลกสอง รวม 2 นัด ชนะ 4-1 เข้าไปเล่นรอบแบ่งกลุ่มได้อยู่ดี
ตอนนี้ทุกคนแฮปปี้ เมสซี่ได้เล่นทีมชาติ อาร์เจนติน่าก็ได้เหรียญทอง ส่วนบาร์เซโลน่าก็ผ่านเข้ารอบแชมเปี้ยนส์ลีกได้สำเร็จ
ในเรื่องนี้ ทำให้เมสซี่รู้สึกขอบคุณเป๊ป กวาร์ดิโอล่าจากใจ
1
"ผมรู้สึกซาบซึ้งมากจริงๆ กับสิ่งที่เป๊ป กวาร์ดิโอล่าทำให้" เมสซี่เผย "ตอนนี้ผมอยากจะเจอเขาที่สุดแล้วดึงเขามากอด เพราะว่าเขาเข้าใจกับสิ่งที่ผมเผชิญอยู่จริงๆ"
2
สิ่งที่เกิดขึ้นชัดเจนในนาทีนี้คือ จากที่เมสซี่เคยไม่ชอบกวาร์ดิโอล่าในตอนแรก เมสซี่ก็กลายเป็นอีกคนที่เทิดทูน และชื่นชมกวาร์ดิโอล่า เหมือนกับที่ชาบี,อิเนียสต้า และบุสเกตต์รู้สึก
การที่เขายอมต่อสู้เพื่อให้เมสซี่ได้ไปโอลิมปิก ทำให้กวาร์ดิโอล่า สามารถซื้อใจเมสซี่ได้สำเร็จ
เรื่องราวหลังจากนั้น เมสซี่กลับมาจากจีน เริ่มลงเล่นให้บาร์เซโลน่า และในซีซั่น 2008-09 บาร์ซ่าของเป๊ป สามารถคว้าแชมป์ทุกรายการที่ลงเล่น ลาลีกา, แชมเปี้ยนส์ลีก, โกปา เดลเรย์ พวกเขากวาดเรียบทุกรายการ
เมสซี่เล่นเกินร้อยทุกนัด สู้ลืมตาย และวิ่งอย่างสุดใจเพื่อกวาร์ดิโอล่า จบฤูดูกาลเมสซี่ยิงไป 38 ลูก ก่อนจะคว้าบัลลงดอร์ได้ด้วยในเวลาต่อมา
กวาร์ดิโอล่า เป็นคนสร้างความยิ่งใหญ่ให้บาร์เซโลน่า แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า ถ้าไม่มีเมสซี่เขาคงมาไม่ได้ไกลขนาดนี้
สาเหตุที่ทำให้เมสซี่ ยอมเล่นเพื่อเป๊ป นั่นเพราะเขาให้ใจกับเมสซี่ตั้งแต่แรก
เป๊ป ไม่ได้มองนักกีฬาเป็นเครื่องจักรที่ไม่มีความคิด ถ้าเป็นโค้ชบางคน อาจจะสนใจแค่สิ่งที่ตัวเองจะได้ประโยชน์ที่สุด คืออาจเก็บเมสซี่ใช้งานในแชมเปี้ยนส์ลีกรอบเพลย์ออฟ เพื่อการันตีแบบชัวร์ๆว่าทีมผ่านเข้ารอบแน่ แต่เป๊ปไม่ทำแบบนั้น เขาปล่อยให้เมสซี่ได้ไปทำในสิ่งที่ตัวเองต้องการจริงๆ
1
เราจะเห็นได้ว่า เป๊ปนั้นห่วงใย และแคร์ความรู้สึกของเมสซี่จริงๆว่ากำลังเจออะไรอยู่
สัจธรรมของโลกนี้ ถ้าเราอยากได้ความรู้สึกดีจากใคร ให้เอาความห่วงใยของเราไปแลก
อยากได้ใจของใคร ให้เอาใจเราเองไปแลกมา
#MESSI #GUARDIOLA
โฆษณา