31 ม.ค. 2020 เวลา 10:32 • ธุรกิจ
สร้างธุรกิจ สร้างอาชีพเสริม ด้วยการรู้จักตัวตนที่แท้จริงของคุณ
การรู้จักความสามารถจริงๆของตัวเอง และ การบริหารจัดการความสามารถอย่างเป็นระบบ นำไปสู่การมีธุรกิจ หรือ อาชีพเสริม ที่จะทำให้คุณมีความสุข และ สามารถเพิ่มรายได้ และความมั่นคงให้กับคุณได้
เราจะทำการคิดพิจารณาเรื่องต่างๆ ดังต่อไปนี้ ...
⭐ คุณถนัดอะไร?
⭐ คุณพอจะเรียนรู้อะไรได้ ?
⭐ และคุณมีจุดอ่อนเรื่องอะไร?
⭐ ความถนัด
ความ “ถนัด” คือสิ่งที่คุณฝึกฝนหรือเรียนรู้ตามมาตรฐาน แต่คุณกลับทำได้ "ดีกว่ามาตรฐาน" ทำได้ "ดีกว่าค่าเฉลี่ย"
ความถนัดไม่ได้หมายถึงว่า คุณต้องเป็นอันดับหนึ่งในโลก หรือเก่งที่สุดในประเทศ แต่ความถนัดนั้น คุณจะรู้สึกได้ว่า คุณสามารถทำมันได้ดีกว่าคนทั่วๆไปพอสมควร ด้วยความพยายามที่เท่าๆกัน
เช่นวาดรูปเก่ง จัดรายการเก่ง อ่านหนังสือได้เร็ว เรียนรู้ภาษาต่างประเทศได้ไว เก่งคำนวณ เก่งเรื่องการเข้าสังคม หาเพื่อนใหม่ บางคนสามารถเล่นเกมส์คอมพิวเตอร์ได้ดี บางคนตีลังกาเก่ง เล่นฟุตบอลเก่ง บางคนเก่งด้านบริหารจัดการ บางคนเก่งด้านการสอน
ลองคิดดู ถ้าคุณทุ่มเทความพยายามลงไปอีก "ทุ่มเทให้เหนือมาตรฐาน" ขัดเกลาสิ่งที่คุณถนัดด้วยความมุ่งมั่นตั้งใจ หาโค้ช หาครูที่เก่งมาแนะนำคุณ คุณจะเก่งได้มากมายขนาดไหน!!!
หัวใจมันอยู่ตรงนี้ ลองพิจารณาสิ่งที่คุณถนัดที่สุดออกมา"อย่างน้อย"สัก 3 สิ่ง
ผสมผสานพวกมันเข้ากับ
สิ่งที่คุณหลงไหล
ความคิดสร้างสรรค์
การลงมือทำจริง ทำทันที เริ่มน้อยๆแต่ถูกทิศทาง
หลายครั้งมันจะกลายเป็นอาชีพ เป็นธุรกิจ หรือมีส่วนส่งเสริมในงานที่กำลังทำอยู่ได้เลย
⭐ สิ่งที่พอเรียนรู้ได้
ส่วนเรื่องที่คุณ “พอจะเรียนรู้ได้” คือสิ่งที่คุณต้องใช้ความพยายามเรียนรู้ฝึกฝนค่อนข้างมาก จึงจะทำได้ตามมาตรฐาน และอาจจะต้องพยายามอยากหนัก ถึงจะทำได้ดีพอใช้ ดีพอประมาณ
ข้อนี้ควรระมัดระวังในการพิจารณา
อย่าให้อาชีพในปัจจุบัน ปริญญาที่ได้รับหรือคณะที่คุณเรียนมาทำให้เขวเด็ดขาด
ยกตัวอย่างเช่น แม้แต่วิศวกรหลายคนอาจจะเคยรู้สึกแบบนี้กับคณิตศาสตร์และวิชาวิศวกรรมในชั้นมัธยมปลายหรือมหาวิทยาลัย คือต้องพยายามอย่างมากกว่าจะสอบได้เกรด C หรือ B ในวิชาคณิตศาสตร์และวิชาหลักทางวิศวกรรม
ยอมรับเถอะว่า คนๆนี้ "พอจะเรียนรู้คณิตศาสตร์หรือวิชาวิศวกรรมได้" แต่เขาต้องใช้ความพยายามอย่างหนักกว่าจะผ่านมันไปได้แบบคาบเส้น หรือดีพอใช้เท่านั้น
ในทำนองเดียวกัน ผู้ที่จบจากคณะบริหารธุรกิจกลับเบื่อหนายเวลาต้องไปทำธุรกิจกับลูกค้าที่มีความท้าทายสูง ต้องใช้ความพยายามอย่างมาก "แลกกับสุขภาพและเวลาของครอบครัว" มากเกินไป กว่าจะผ่านไปแต่ละงาน แล้วก็เป็นแบบนี้เกือบทุกโปรเจค
การที่คุณทำอะไรบางอย่างโดยต้องใช้ความพยายามอย่างที่สุด
และต้องมีความเครียดกว่าจะได้มันมา ไม่ใช่สิ่งผิด
เพราะไม่ว่า สิ่งที่ถนัดหรือไม่ถนัดก็ต้องใช้ความเพียรและมีความเครียดแฝงอยู่ทั้งคู่
แต่ความเครียดนิดๆหน่อยๆ หรือเครียดตามมาตรฐานนั้นพอรับได้
แต่ความเครียดมหาศาลนั้นทำลายร่างกายและจิตใจ
คุณควรต้องรู้ไว้ เพื่อประเมินตัวตนที่แท้จริงของคุณ
เมื่อคิดได้แล้วลองเขียนสิ่งที่คุณพอจะเรียนรู้ได้ออก"อย่างน้อย"มา 3 สิ่งออกมาดู
⭐ จุดอ่อน
ส่วน “จุดอ่อน” คือสิ่งที่ไม่ว่าคุณจะพยายามแค่ไหน ฝึกฝนมากแค่ไหน คุณก็มีโอกาสทำได้ "ต่ำกว่ามาตรฐานอยู่บ่อยครั้ง หรือเกือบทุกครั้ง"
นอกจากนี้ถ้าคุณวางมือจากมันสักพัก ความสามารถของคุณจะตกอย่างรุนแรง จนแทบกับจะเหมือนการหัดใหม่เลย ลืมข้อมูลต่างๆไปหมด ทักษะหดหายไปเกือบหมด นี่ละครับลักษะณของสิ่งที่เราไม่ถนัด
เช่นบางคนไม่ถนัดดนตรีเป็นอย่างมาก เรียนรู้ช้ากว่ามาตรฐานมากๆ นอกจากนี้เมื่อไม่ได้จับเครื่องดนตรีนานๆ ก็ลืมหมด
แบบนี้แม้ว่าคุณจะมองว่า การเป็นนักดนตรีเท่แค่ไหน ได้เงินมากแค่ไหน
มันก็อาจจะยากที่คุณจะเป็นนักดนตรีได้
ไม่ได้หมายความว่าคุณเป็นนักดนตรีไม่ได้ แต่คุณจะเสียเวลามากๆในการที่จะเก่งเท่าคนอื่น แล้วเวลาเป็นสิ่งที่มีค่ามากเสียด้วย คุณต้องใช้อย่างรู้คุณค่ามากที่สุด
พอได้ รู้ว่า สิ่งใด เราถนัด พอได้ และ จุดอ่อน มาแล้ว เราก็ เอาสิ่งต่างๆ เหล่านี้ มาจัดการ ตามแผนภาพด้านล่างเลยครับ
แผนภาพการจัดการความสามารถของตัวเอง
⭐ อธิบายได้ดังนี้
🙂 สิ่งที่ถนัดจะต้องเอามาคิด สังเคราะห์คร่าวๆออกมาว่า มันน่าจะเป็นอะไรได้บ้าง
ลองผสม สิ่งที่ถนัดออกมาเป็น"ก้อนเดียวกัน" ดูว่ามันจะเป็นอะไรได้บ้าง อาจจะคิดได้หลายอย่างมากๆ
เอาสิ่งนั้นมา บวกด้วยความคิดสร้างสรรค์ บวกกับสิ่งที่หลงไหลอยู่แล้ว
ไอ้เจ้าก้อนความคิดนั้นมันจะกลายเป็นอะไรได้บ้าง
สิ่งที่ถนัดพอสมควร หลายๆสิ่งรวมกัน บวกด้วย ความคิดสร้างสรรค์ บวกด้วยความหลงไหล ก่อให้เกิดสิ่งมหัศจรรย์มาอย่างมากมายแล้ว
...ตัวอย่างเช่น ...
แจ๊ค ม่า ไม่ได้พูดอังกฤษเก่งที่สุด ไม่ได้วิสัยทัศน์ดีที่สุด ไม่ได้บริหารงานเก่งที่สุด ไม่ได้ฉลาดที่สุด แต่เมื่อเอา สิ่งดีๆของเขาที่เหนือกว่ามาตรฐานพอสมควรของเขามารวมๆกันเป็นก้อนเดียว
บวกด้วยความคิดสร้างสรรค์ บวกด้วยความหลงไหล และการทะลวงช่องว่างการตลาดในเรื่อง E-commerce ในจีน
ผลลัพธ์ความสำเร็จของเขาก็อย่างที่ทุกท่านรู้กันครับ...
😑 ส่วนสิ่งที่พอเรียนรู้ได้
จะทำหน้าที่"เสริมความแข็งแรง"ให้สิ่งที่ถนัด เช่น เราอาจจะถนัดสุดๆด้านการประดิษฐ์สิ่งของ
แต่เรา ไม่กล้าตั้งราคาขาย ขายไม่เป็น ปิดการขายไม่ได้ หาลูกค้าไม่เป็น คิดเกรงใจลูกค้าแบบผิดๆ เสียเปรียบประจำ
แต่เราคิดว่า "เราพอเรียนรู้ได้"
เราต้องไปเรียนรู้อย่างจริงจังในจุดนี้
เรียนจากคนที่รู้จริง แม้ต้องเสียค่าเล่าเรียนบ้างก็ต้องยอม
บางที สิ่งที่คิดว่าไม่ถนัดนัก พอเจอครูดีเข้าไป เคมีตรงกันเข้าไป กลายเป็นคนเก่งเฉยเลยก็มี !!!
สิ่งเหล่านี้จะไปเสริมแรง สิ่งที่เราถนัด
แล้วก็ ตูมมม!!! 💥สิ่งมหัศจรรย์ เกิดขึ้นมาแล้ว !!!
😫 ส่วนสิ่งที่เป็นจุดอ่อน
กูรูทางการบริหาร มักจะบอกว่า อย่าไปเสียเวลากับมันมากนัก
เพราะเราควรมุ่งพลังไปในสิ่งที่เราถนัดมากกว่า ...
เราจึงต้องหาคนมาช่วย ไม่ว่าจะเป็นการจ้างให้คนที่ถนัดมากๆทำแทน ขอความเห็นจากที่ปรึกษา พูดคุยกับคนที่มีประสบการณ์ หรือแม้แต่การว่าจ้างที่ปรึกษาจริงจัง
การตรวจงาน การผลักดัน หรือตรวจสอบความโปร่งใส คนที่เราว่าจ้าง หรือ คนที่มาเป็นที่ปรึกษาให้เรานั้น ง่ายกว่า เราฝืนทำสิ่งที่เราอ่อนหัดเอง
บางอย่างถ้ามันไม่ฟรีก็ต้องยอมจ่ายบ้าง การยอมจ่ายเพื่อป้องกัน เพื่อป้องกันความเสียหายในสิ่งที่เรามีจุดอ่อน ราคาถูกกว่ามาตามแก้ไขเอง
⭐ สุดท้ายแล้วเราจะได้ ธุรกิจ หรือ อาชีพเสริมอะไรบางอย่างออกมา และ แนวทางทำงาน ที่น่าจะสามารถ สร้างผลิตภัณฑ์และบริการที่มีคุณภาพ "ที่น่าสนใจ ที่ตลาดรับได้" ออกมา
นอกจากนี้ ธุรกิจหรืออาชีพเสริมนี่ น่าจะเป็นสิ่งที่เราทำแล้ว "เพลิน" (Flow) ทำแล้วมีความสุข เป็นธุรกิจที่เรามี Passion อยากจะพัฒนาปรับปรุงให้ดีขึ้นเรื่อยๆ
⭐ ที่เหลือคือ ลองมองดูว่า มีช่องว่างทางการตลาดอะไรบ้างที่ เราจะสามารถเข้าไปเล่นได้
ใครกันหนอที่จะสามารถรับคุณภาพและราคาที่เรานำเสนอได้
⭐ ตอนเริ่มธุรกิจ (Day1)ไม่ต้องใหญ่ก็ได้ ก้าวเล็กๆแต่ถูกทิศทางสำคัญ กว่า ก้าวโตๆ แต่ดันไปผิดทางครับ
⭐ การคิดแบบนี้ เป็นการคิดจาก "ในออกนอก" การเริ่มสเกลงานเล็กๆก่อน เป็นการโยนหินถามทางที่ดี ทำให้เราสามารถปรับตัวทัน ในกรณีที่เราคิดอะไรผิดพลาดไป
⭐ เสริม เทคนิคการคิด ของนักคิด
การคิดทั้งหมดเหล่านี้ ไม่ควรคิดในใจ
ควรคิดในกระดาษใหญ่ๆ หรือกระดาน วาดๆเขียนๆออกมา
ขุดไอเดียออกมาเยอะๆ แล้วเอามากรองจะมีประโยชน์กว่า คิดๆเบรคๆ ในหัวสมอง
หากคิดไม่ออก ตื้อๆ ให้ ออกไปเดินคิด ออกไปสูด อากาศ ให้เลือดลมในสมองมันเดินสะดวกครับแบบที่นักคิดทั่วโลกมักทำกัน
ทำแบบนี้ก็มักจะมีไอเดียออกมาครับ
บางไอเดีย อาจจะพลิกชีวิตคุณได้เลยครับ
โชคดีครับ
👍 ชอบกด Like กด Share หรือพูดคุยกันทางคอมเม้นท์ได้เลยครับ ของคุณที่ติดตามอ่านครับ ♥️
โฆษณา