"ที่ประตูหน้าของอาคารห้องสมุดโคมูระอนุสรณ์ ต้นเหมยขนาดใใหญ่ยืนทะมึนคล้ายยามรักษาการณ์ ถนนโรยกรวดคดโค้งผ่านพงพุ่มตัดแต่งงดงามและไม้ยืนต้น ต้นสนกับแม็กโนเลีย เคอร์เรียกับอะเซเลีย ไม่มีใบไม้แห้งสักใบ โคมหินโผล่หน้าผ่านซอกต้นไม้เช่นเดียวกับสระน้อย ผมเดินมาหยุดหน้าบานประตูใหญ่ลวดลายประณีตงดงาม สองบานเปิดอ้าต้อนรับ ผมรั้งเท้าลังเลชั่วขณะ..."
.
จะพบว่าห้องสมุดที่นี่ถ้านึกภาพตามเป็นสถานที่สวย งดงาม และเต็มไปด้วยความลึกลับ และเมื่อได้อ่านไปเรื่อยๆ จะพบว่าที่นี่มีรายละเอียดมากมายที่เราจินตนาการออกมาไม่ได้หมดจด ทั้งแสงในสวน ลมเอื่อย ห้องหับที่ประดับด้วยสมุด ยิ่งอ่านก็ยิ่งอดชมเชยไม่ได้ได้
.
● ฉากที่ชอบและความรู้สึกหลังอ่าน (มีสปอยด์)
ต้องบอกว่าเรื่องนี้การหนีออกจากบ้านของคาฟกาไม่ใช่แค่ไปต่างจังหวัด แต่ว่าเล่นหนีไปถึงอีกโลกหนึ่ง คือไม่ได้คาดคิดถึงเรื่องแฟนตาซีเท่าไหร่นักในตอนแรก แต่ความแฟนตาซีของมูราคามิมันมีกลิ่นไซไฟ และความอึดอัด เรื่องเหนือธรรมชาติไม่ได้ถูกใส่มาจนกลายเป็นแฮรี่ พอตเตอร์ แต่มันมีที่มา อย่างเช่นตอนที่คาฟกาเดินเข้าไปในป่า เราทุกคนก็มีความคิดว่าถ้าหลงป่าทุกอย่างมันต้องอันตราย ใจลึกๆ เราก็คิดว่าจะไปโผล่ที่ไหนก็ไม่รู้หรืออาจไม่ได้ออกไป ซึ่งมูราคามิเล่นตรงนี้ได้ดี คาฟกาเดินเข้าไปในป่ามืดมิดจนไปเจอกับหมู่บ้านแห่งหนึ่ง ซึ่งพอไปถึงพบว่าเป็นหมู่บ้านที่น่าจะเป็นอีกโลกหนึ่ง และการจะมีที่นี่ก็เหมือนจะไม่ได้มากันได้ทุกคน ทุกวัน แต่ต้องมีเงื่อนไข
.
เรื่องนี้ใช้การอุปมาบ่อยมาก คาฟกาเชื่อว่าผู้หญิงที่เจอบนรถอาจเป็นพี่สาวที่หนีออกจากบ้านพร้อมแม่ เชื่อว่าแม่เป็นเจ้าของห้องสมุดโคมูระ และทุกอย่างเป็นจริงได้เพียงเขาอุปมาว่าเป็นจริง เมื่อเขาต้องเข้าไปในป่าเขาก็ถูกโอชิมะ (หนุ่มหน้าสวย พนักงานในห้องสมุดโคมูระ) สอนเรื่องความอันตรายของผืนป่าให้ฟัง อุปมาว่าป่าคือเขาวงกต และเขาวงกตก็มีรากฐานมาจากอวัยวะของเราเอง นั้นก็คือลำไส้ เราจึงคิดว่าเมื่อพระเอกเข้าไปหลงป่า เขาเข้าไปหาตัวเอง เขาไปเพื่อพูดคุยกับคนที่นั่น ทำภารกิจในใจตัวเองให้สำเร็จก่อนจะกลับออกมา
.
ในส่วนของคุณลุงนาคาตะเราคิดว่าเขาเหมือนกับพระเจ้า แม้จะเป็นคนแก่เฒ่างงๆ อ่านหนังสือไม่ออก เรียนไม่จบ แต่เขาคุยกับสรรพสัตว์ได้ เขาไม่มีอารมณ์ทางเพศ ซึ่งในนิยายมูราคามิทุกตัวละครมีอารมณ์ทางเพศ การที่คุณลุงไม่มีมันเหมือนกับเขาได้อยู่เหนืออารมณ์ไปแล้ว เขามองโลกในแบบที่คนปกติไม่มอง ทุกอย่างเป็นแง่ดีแม้ในตอนที่เลวร้ายที่สุด เหมือนเป็นอวตารของพระเจ้าก็ไม่ปาน
.
ในเรื่องนี้มีอีกฉากที่เราชอบมากคือตอนที่โอชิมะพูดกับผู้หญิงที่เป็นพวกเฟมินิสต์ที่มาที่ห้องสมุด พวกเธอบ่นห้องน้ำที่ไม่มีสุขาห้องผู้หญิงแยก บ่นเรื่องการวางชื่อของนักเขียนชายขึ้นก่อนนักเขียนหญิง ซึ่งโอชิมะก็ตอบกลับได้น่าขบคิดมาก
.