3 ก.พ. 2020 เวลา 00:50 • สุขภาพ
ตรวจวินิจฉัย "ไวรัสอู่ฮั่น" อย่างไรจึงมั่นใจว่าใช่-ไม่ใช่‼️
สรุปไวรัสโคโรน่าแบบเข้าใจง่ายๆ
 
-ไวรัสเกิดจากค้างคาว ซึ่งเป็น #สัตว์ที่มีภูมิคุ้มกันสูงสุดในโลก ค้างคาวไม่เคยเจ็บป่วย แต่มันเพาะเชื้อโรคได้
 
-คนกินค้างคาวได้ถ้าปรุงสุก ไม่มีปัญหา แต่ถ้าค้างคาวกินผลไม้แล้วเราเอามากิน เสี่ยง!!
 
-ไวรัสโคโรน่ามาจากคำว่า #คราว ที่แปลว่า มงกุฏ เพราะตัวมันแหลมๆ สามารถเกาะติดกับปอดได้ดีกว่าไวรัสอื่น
 
-ไวรัสนี้ไม่รุนแรง เป็นแล้วหายได้เองโดยไม่ต้องใช้ยา แต่ต้องรักษาตามอาการ เช่น ตัวร้อน ไข้ ไอ หายใจไม่สะดวก ฯลฯ
 
-คนที่เคยเป็นแล้ว จะมีภูมิคุ้มกัน จะไม่เป็นอีก ส่วนใหญ่ที่เสียชีวิตคือคนแก่ เนื่องจากร่างการสร้างภูมิคุ้มกันไม่ทัน อาการแทรกซ้อนอื่นๆ
-ไวรัสอยู่ในอากาศได้ 1 ชั่วโมงก็ตาย ทำให้การติดไปกับสิ่งของ พัสดุ เป็นไปไม่ได้เลย
 
-ไวรัสตายด้วยแอลกอฮอล 70% ขึ้นไป เจลล้างมือช่วยได้ ส่วนเหล้าขาว 60% ก็พอช่วยได้ แต่เมามาก
 
-ไวรัสตายในอุณหภูมิ 57องศา ขึ้นไป เจอแดดก็คือจบแล้ว ปรุงอาหารเกือบสุกก็ตายแล้ว
 
-ไวรัสอยู่ในอากาศไม่ได้ ต้องอยู่กับเมือกเท่านั้น ซึ่งคือการไอ จาม (แบบมีน้ำลายติด) หรือเมือกน้ำลาย ถ้าไม่โดนจังๆ ไม่มีทางติด
 
-ติดทางตาไม่ได้ #ยกเว้นกรณีร้ายแรงสุดคือ ถ่มน้ำลายใส่ตา ใครทำคือสุดมาก
 
-#ความน่ากลัวมีอย่างเดียวคือ ระยะฟักตัว 14 วัน ซึ่งไม่แสดงอาการอะไรเลย เพราะไวรัสโตช้า ตายง่าย แต่ใน 14 วันนี้สามารถติดคนอื่นได้ ซึ่งมีกรณีเดียวคือการถ่มน้ำลายใส่ เพราะช่วง 14 วันนี้จะยังไม่มีการไอ หรือจามออกมา
 
-ความรุนแรง อัตราการเสียชีวิต ถือว่าเบากว่า SARS MERS มาก แต่ด้วย 14 วันไม่แสดงอาการ ทำให้ระบาดง่ายกว่า คือถ้าเห็นว่าป่วยไปเลยยังหลีกหนีได้ แต่ถ้าไม่เห็นอาการเราไม่รู้เลยว่าใครติดไวรัส
 
-อาการเป็นแล้วล้มลงเลย ตายทรมาน ฯลฯ มาจากข่าวปลอมทั้งนั้น ส่วนใหญ่มาจากหนังเรื่อง Flu ปี2014 ซึ่งมีการแค็ปภาพออกมาใช้เยอะที่สุด
#สรุปคือไม่เป็นดีที่สุด เป็นแล้วไม่ใช่ว่าจะตาย คนแก่ต้องระวัง, การป้องกัน ล้างมือ กินอาหารสุก ใส่หน้ากากกันคนไอใส่ คือดีสุด #หมอไม่แนะนำ N95 เพราะหายใจยาก ทำให้เราต้องหายใจแรงๆ แล้วมีโอกาสรับเชื้อ
 
Credit :ข้อมูลของ
นายแพทย์ พิเชฐ บัญญัติ
รองอธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์
ภาพจากอินเตอร์เน็ต
#การตรวจวินิจฉัยไวรัสอู่ฮั่นตรวจอย่างไรจึงมั่นใจว่าใช่ไม่ใช่
ปัจจัยสำคัญอย่างหนึ่งของความสำเร็จในการควบคุมการระบาดของโรคปอดบวมอู่ฮั่นและการรักษา คือ การตรวจวิเคราะห์ทางห้องปฏิบัติการ
ผู้ป่วยคนจีนรายแรกที่พบในไทย ตรวจวิเคราะห์โดยกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์และศูนย์ฯจุฬาลงกรณ์ ให้ผลบวกตรงกัน โดยทางจีนให้สายรหัสพันธุกรรมไวรัสอู่ฮั่นมาเป็นตัวเปรียบเทียบ
กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์เป็นหน่วยงานเดียวของกระทรวงสาธารณสุขในการตรวจยืนยันการติดเชื้อไวรสอู่ฮั่นหรือโคโรนาไวรัสสายพันธุ์ใหม่ 2019 (nCoV2019) ที่กำลังระบาดอยู่ในจีนขณะนี้
โดยส่วนกลางตรวจที่สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์สาธารณสุข (สวส.) สามารถรายงานผลได้ภายใน 3 ชม. หลังจากได้รับตัวอย่างส่งตรวจ
การตรวจใช้เทคนิค Real-time RT PCR หรือการตรวจรหัสพันธุกรรมเฉพาะตัวไวรัสอู่ฮั่น ซึ่งแม่นยำ จำเพาะ เชื่อถือได้ และใช้เวลาไม่นาน
ส่วนภูมิภาค ณ วันนี้สามารถส่งตรวจได้ที่ศูนย์วิทย์เชียงใหม่/ภูเก็ต/สงขลา/ชลบุรี/สุราษฎร์ธานี/นครสวรรค์ อีก 9 แห่งที่เหลือจะพร้อมตรวจได้ภายใน 31 มกราคมนี้ เพื่อสะดวกรวดเร็วในการส่งตรวจ และสนับสนุนระบบการเฝ้าระวังโรคของประเทศ
ไวรัสอู่ฮั่นเป็นอาร์เอ็นเอไวรัสในกลุ่มโคโรนาไวรัส มีระยะฟักตัวในคน 2-7 วัน (แต่การกักตัวจะสองเท่าของระยะฟักตัว คือ 14 วัน) เมื่อหายจากโรคแล้วก็จะมีภูมิคุ้มกันในตัวคนนั้นตลอดชีวิตเหมือนไวรัสไข้หวัดทั่วๆไป ผู้ป่วยทุกคนที่วินิจฉัยในไทย ไม่มีใครเสียชีวิต และติดมาจากเมืองอู่ฮั่น
ทุกคนผ่านกระบวนการดูแลและกักบริเวณตามมาตรฐานขั้นสูงสุดทุกรายเพื่อป้องกันการแพร่กระจายเชื้อ และขณะนี้ยังไม่มีคนไข้ที่ติดต่อจากพื้นที่ในไทย
คนติดเชื้อไวรัสอู่ฮั่น ทั้งที่ไม่มีอาการ หรือ มีอาการเล็กน้อย หรือมีอาการหนักจนปอดบวม เชื้อจะอยู่ในตัวคนได้ราว 7-10 วัน จะถูกกำจัดโดยภูมิคุ้มกันของตัวคนเราเอง
ผลตรวจแล็บผู้ป่วยที่พบในไทย คนที่มีผลบวกพบเชื้อไวรัสอู่ฮั่น ตรวจซ้ำพบว่า ผลเป็นลบในเวลาไม่เกิน 10 วัน
ด้วยเหตุนี้ เมื่อมีผู้ป่วยหรือผู้สงสัยติดเชื้อไวรัสอู่ฮั่น ก็จะต้องกักตัวแยกไว้ดูแลรักษาหรือสังเกตอาการ 14 วัน ถ้าได้ผลตรวจเชื้อเร็ว คนที่ถูกกักตัวเมื่อตรวจแล้วให้ผลลบก็จะได้ไม่ถูกกักยาวนานถึง 14 วัน (การตรวจสารพันธุกรรมเป็นการตรวจตัวเชื้อไวรัส จึงมีความแม่นยำสูง)
สิ่งส่งตรวจเก็บสารคัดหลั่งในลำคอ (Throat swab) เอามาตรวจด้วยเครื่องเพิ่มปริมาณสารพันธุกรรม มีprobe (ส่วนแสดงผลจากการเรืองแสงถ้าใช่ตัวเชื้อ) และ primer เป็นสารพันธุกรรมสั้นๆของเชื้อมาตรฐาน ที่จะกระตุ้นให้เกิดการสร้างสายพันธกรรมจนต่อเชื่อมไปถึงprobeแล้วจะสะท้อนแสงขึ้น จึงสามารถดูได้ทันที วิธีตรวจจึงเรียกว่า Real-time RT-PCR
RT คือ Reverse transcriptase เป็นกระบวนการเปลี่ยนรหัสพันธุกรรมอาร์เอ็นเอ (RNA)ของไวรัสให้เป็นสายคู่แบบดีเอ็นเอ (DNA)ก่อน แล้วจึงเข้าสู่กระบวนการตรวจแบบ PCR (Polymerase chain reaction) ต่อไปจนprobeเรืองแสง แสดงว่า ใช่
Probe กับ Primer จึงเป็นอุปกรณ์สำคัญในการวินิจฉัยเชื้อ กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ได้พัฒนาวิธีReal-time RT-PCRโดยออกแบบprimer และ probeที่มีความจำเพาะต่อNovelcoronavirus 2019 (nCoV2019)
กรมให้บริการตรวจวิเคราะห์ตัวอย่างสงสัยติดเชื้อวิธีที่ใช้ตรวจ In-house method ตรวจหาสารพันธุกรรมยีนเป้าหมาย N และ RdRp gene ด้วยวิธีReal time RT-PCR เก็บตัวอย่างจากสารคัดหลั่งจากทางเดินหายใจในคอ (Throat swab)ดังนั้น มีไอหรือไม่ไอ มีน้ำมูกหรือไม่มี ก็สามารถตรวจหาเชื้อได้
การติดเชื้อไวรัสอู่ฮั่น อาจมีอาการ หรือไม่มีอาการก็ได้ ความรุนแรงจึงไม่มาก แต่คนส่วนใหญ่ยังไม่เคยติดเชื้อมาก่อน จึงเกิดการระบาดได้ง่าย และต้องใช้เวลาอีกเป็นปี การระบาดก็จะชะลอตัวลงกลายเป็นโรคประจำถิ่นต่อไป
เมื่อติดเชื้อแต่ไม่มีอาการก็ติดต่อได้แต่คนทั่วไปอาจเข้าใจผิดได้ว่า “โรคนี้รุนแรงมาก จึงติดต่อได้แม้เป็นช่วงระยะฟักตัว” ซึ่งโดยหลักแล้ว โอกาสติดก็จะน้อยมาก เพราะจะติดจากสิ่งคัดหลั่งจากทางเดินหายใจที่ออกมาทางน้ำลายเท่านั้น (ไม่มีอาการ ก็จะไม่มีน้ำมูก ไม่มีเสมหะ)
การป้องกันตนเองและการป้องกันการระบาดจึงมีความสำคัญ แต่ไม่จำเป็นต้องถึงขนาดปิดประเทศหรือห้ามคนจีนเข้าประเทศ จนกระทบต่อเศรษฐกิจและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ การเฝ้าระวังโรคและการป้องกันตัวเองจึงจำเป็นมากกว่าและได้ประโยชน์มากกว่า
หลักการทั่วไป อยากแข็งแรงก็ต้องออกกำลัง อยากปลอดภัยก็ต้องป้องกัน ไม่อยากกังวลก็ต้องรู้จริง
การป้องกันระดับกว้าง กระทรวงสาธารณสุขได้ทำตามมาตรฐานสากลอย่างเต็มที่ ตามแนวทางขององค์การอนามัยโลกอยู่แล้ว
ส่วนข้อมูลที่สื่อสารเกี่ยวกับผู้ป่วย กระทรวงสาธารณสุข ก็ไม่ได้มีการหมกเม็ดปิดปังแต่อย่างใด
อย่าฝันว่าโรคสงบโดยไม่ต้องทำอะไร ทุกอย่างมีการวางแผนและเตรียมการตามหลักการสากลอยู่แล้วครับ
“อย่า”แค่หวัง นั่งรอ ขอจงรู้
“คาดหวัง”สู่ เส้นทาง ทุกอย่างฝัน
“กับ”แผนงาน สานต่อ ก่อชีวัน
“อนาคต” ควรสรรค์ ผลักดันไป
“โดยไม่”หยุด รุดหน้า ต้องกล้าเริ่ม
“ลงทุน”เสริม สร้างกัน มิหวั่นไหว
“กับ”ปัญหา ท้าทาย วุ่นวายใจ
“ปัจจุบัน” บอกไว้ ให้ลงมือ
สิ่งสำคัญคือ การป้องกันตัวเอง ด้วย 3 หลักสำคัญ คือ “กินร้อน ช้อนกลาง ล้างมือ” จะช่วยลดการติดเชื้อจากผู้ป่วยทั้งที่มีอาการและไม่มีอาการได้ง่ายจากการสัมผัสน้ำมูก เสมหะ น้ำลายแล้วมาแคะจมูก ขยี้ตาหรืออมนิ้ว สุขอนามัยส่วนบุคคลจึงสำคัญ
ย้ำครับ ไวรัสอู่ฮั่น ไม่ได้ติดต่อทางอากาศ แต่ติดผ่านทางละอองฝอยของสิ่งคัดหลั่งจากเสมหะ น้ำมูก น้ำลาย ซึ่งเป็นอนุภาคที่มีขนาดใหญ่กว่าตัวไวรัสหลายร้อยเท่า การใส่หน้ากากอนามัยธรรมดาจึงกันได้
ส่วน N95 จำเป็นสำหรับคนที่คลุกคลีใกล้ชิดกับผู้ป่วยหรืออยู่ในดงระบาด และใส่แล้วหายใจยาก อึดอัด ถ้าใส่ทั้งวันก็จะไม่สะดวก
อย่าไปกลัวกังวลเรื่องเดินๆอยู่แล้วเชื้อปลิวไวรัสเข้าตา เพราะมันไไม่ติดง่ายขนาดนั้น คนป่วยไวรัสอู่ฮั่น 1 คน มีโอกาสแพร่โรคต่อไปยังคนอื่นได้แค่ 2-3 คน เท่านั้น การใส่หน้ากากอนามัย ลดความเสี่ยงจากละอองฝอยเสมหะจากผู้ป่วยได้
การออกกำลังกายสม่ำเสมอ นอนหลับเพียงพอ กินผักผลไม้ ร่างกายแข็งแรงก็สามารถรับมือกับเชื้อโรคต่างๆได้ หรือ ถ้าป่วยก็ไม่รุนแรงหรือลดภาวะแทรกซ้อนได้
นพ.พิเชฐ บัญญัติ
รองอธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์
1
ภาพจากอินเตอร์เน็ต
ถ้าบทความนี้มีประโยชน์ กด Like กด Share
เป็นกำลังใจให้ 🌱🌱มุมมอง...ชาวบ้าน 🌱🌱
ด้วยนะคร่า❤️
ขอบคุณมากๆ ค่ะ🙏

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา