5 ก.พ. 2020 เวลา 03:12 • บันเทิง
OPINION: รีวิวภาพยนตร์ที่มี BNK48 ร่วมแสดง พร้อมวิเคราะห์ตามทรรศนะของ ‘โพนี่จี้จุด’
หลังจากที่เพจ TINTIN48 ได้ให้เหล่าลูกเพจมาแสดงความคิดเห็น รวมถึงเรียงลำดับความชอบของภาพยนตร์ที่มี สมาชิกของ BNK48 มาร่วมแสดง ว่าใครชอบเรื่องใดมากที่สุดพร้อมบอกเหตุผล ซึ่งก็มีความคิดเห็นถูกกลั่นกรองออกมาอย่างหลากหลาย นอกจากนี้ยังมีเพจ ใครก็ได้48 เข้ามาร่วมแจมกับ Content นี้ด้วยอีกต่างหาก ซึ่งผมก็เลยมีความรู้สึกอยากแจม Content นี้ด้วยเช่นกัน
เป็นที่ทราบกันดีว่าอีกหนึ่งช่องทางในการขยายฐานแฟนคลับให้คนทั่วไปรู้จักวง BNK48 มากขึ้นนั่นคือ การนำสมาชิกในวง ไม่ว่าจะเป็นรุ่น 1 หรือ รุ่น 2 ไปร่วมแสดงในภาพยนตร์ต่างๆ ซึ่งมีผลตอบรับที่ดี และไม่ดีปะปนกันไปอยู่พอสมควร แต่ก็ต้องยอมรับว่า เมื่อภาพยนตร์ได้วางฉายออกสู่สายตาประชาชน ชื่อของสมาชิกที่ไปเล่นภาพยนตร์แต่ละเรื่องจะถูกนำมาพูดถึงมากขึ้น ผ่านทาง Social Media หรือแม้กระทั่งแบบปากต่อปาก ซึ่งเป็นพื้นที่ในการแสดงความสามารถ เพื่อเป็นประตูสู่งานวงการบันเทิงในอนาคต หากนับถึงปัจจุบัน (วันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2563 - วันที่เขียน) ภาพยนตร์ที่มีสมาชิก BNK48 ร่วมแสดงมีด้วยกันทั้งสิ้น 6 เรื่องด้วยกัน โดยผมจะเรียงลำดับภาพยนตร์ ไล่จากความชอบที่สุดพร้อมการแสดงทรรศนะ บอกเหตุผลในการเลือกในแต่ละเรื่อง พร้อมแล้ว ไปอ่านกันต่อได้เลยครับ
1. Homestay
ภาพยนตร์ที่ได้รับแรงบันดาลใจจากนิยายญี่ปุ่นชื่อดังอย่าง ‘Colorful เมื่อสวรรค์ให้รางวัลผม’ จากการจรดปากกาของ โมริ เอโดะ และได้ผู้กำกับมากฝีมืออย่าง พี่โอ๋ ภาคภูมิ วงศ์ภูมิ ที่ห่างหายจากจอภาพยนตร์ไปนานพอสมควร หลังจากทิ้งผลงานการกำกับภาพยนตร์สั้นอย่าง ฝนตกที่ห้วยขาแข้ง (2558) ที่ได้รับเสียงชื่นชมอย่างกว้างขวาง ซึ่งโปรเจคภาพยนตร์ Homestay นั้นต้องบอกว่าใช้ความอดทนนับ 10 ปีเพื่อให้เจ้าของผลงานอย่างโมริ เอโดะ อนุญาตินำต้นฉบับไปแปลงเป็นผลงานภาพยนตร์
.
สำหรับ Homestay นั้น เป็นการให้ผู้ชมได้ร่วมพจญภัยไปกับตัวละครที่ต้องหาคำตอบที่ตัวเองต้องตายภายใน 60 วัน ซึ่งนอกจาก Quest หลักที่เราต้องทำให้สำเร็จแล้ว ยังมี Side Quest ที่เป็นกุญแจสำคัญในการค้นหาคำตอบ แต่ในคำตอบที่เป็นกุญแจสู่ความจริง ยังมีช้อยส์หลอกให้ผู้ชมไขว้เขวอยู่บ่อยครั้ง จนต้องยกเครดิตนี้ให้กับทีมงานผู้เขียนบทที่สามารถขมวดปมของเรื่องให้ดูน่าติดตาม ในส่วนของการแสดง นักแสดงทุกคนสามารถถ่ายทอดอารมณ์ และความรู้สึกได้ดีไม่แพ้กัน โดยเฉพาะ เฌอปราง ที่ได้เล่นหนังใหญ่ครั้งแรก แม้ว่าจะเต็มไปด้วยความกดดัน และมีอุปสรรค แต่ด้วยความทุ่มเทของเธอทำให้สามารถทลายกำแพงเหล่านั้นมาได้ และขอยกให้ Homestay เป็นภาพยนตร์ที่ชอบมากสุดเป็นลำดับแรก
2. Girls Don’t Cry
น้ำตาที่สื่อสารได้มากหน้าหลายความ จากผู้กำกับปากแข็งระดับพระกาฬอย่าง พี่เต๋อ นวพล ธำรงรัตนฤทธิ์ ที่ฝากผลงานไว้ในวงการภาพยนตร์อย่างมากมาย ไม่ว่าจะเป็น ฟรีแลนซ์ ห้ามป่วย ห้ามพัก ห้ามรักหมอ (2558) Die Tomorrow (2017) Marry is Happy, Marry is Happy (2556) รวมทั้งภาพยนตร์โฆษณาอย่าง Friendshi(t)p ที่ไปคว้ารางวัล D&AD Awards มาแล้ว จึงทำให้การมาของ Girls Don’t Cry นั้นเป็นสิ่งที่ผมอยากรู้ว่า พี่เต๋อ จะเลือกถ่ายทอดภาพยนตร์เรื่องนี้ออกมายังไง
.
ด้วยความที่ผมเป็นคนอินภาพยนตร์สารคดี จึงไม่รอช้าที่จะเข้าไปดูภาพยนตร์นี้ในวันแรกของการเข้าฉาย ซึ่งสิ่งที่ชอบของภาพยนตร์นี้คือ การใช้วีดีโอสัมภาษณ์ของสมาชิกแต่ละคนเป็นตัวเล่าเรื่องหลัก โดยแตกต่างจากภาพยนตร์สารคดีอื่นๆ ที่มักจะใช้ฟุตเทจบรรยากาศต่างๆมาเป็นตัวเล่าเรื่องหลัก (ถ้าคนที่มี Netflix สามารถลองรับชม Sunderland Till’I Die เพื่อเปรียบเทียบ อาจทำให้เข้าใจสิ่งที่ผมสื่อมากขึ้นก็ได้) แม้ว่าผู้ชมจะได้ดูแต่หน้าคนเกือบทั้งเรื่อง แต่ลำดับการตัดของพี่เต๋อ ทำให้นึกภาพตามในสิ่งที่สมาชิกในวงพูด และปะติดปะต่อเป็นเรื่องราวได้ในตัวมันเอง ซึ่งส่วนตัวผมถือว่าโอเคเลยทีเดียว ได้เปลี่ยนบรรยากาศจากภาพยนตร์สารคดีหลายๆเรื่องที่เคยดูมา แต่ติดอยู่ตรงที่เอาฟุตออกมาให้เห็นน้อยไปหน่อยเท่านั้นเอง
3. Where We Belong
หลังจากภาพยนตร์เรื่องตั้งวง (2556) ได้ปล่อยออกไป ชื่อของ พี่เล็ก คงเดช จาตุรันต์รัศมี ก็ดูว่าจะหายไปจากสื่อต่างๆพอสมควร จนกระทั่งอีก 6 ปีต่อมา ชื่อของพี่เล็กก็กลับมาอีกครั้งหนึ่ง โดยการกลับมาครั้งนี้มาพร้อมกับบทภาพยนตร์ Where We Belong ที่ตรงนั้นมาฉันหรือเปล่า แถมด้วยการได้สมาชิก BNK48 ทั้งหมด 7 คน ได้แก่ มิวสิค เจนนิษฐ์ น้ำหนึ่ง ตาหวาน ปูเป้ ฝ้าย แพนด้า (มีอรแอบมาแจมอย่างลับๆ) มาช่วยถ่ายทอดให้ตัวละครที่อยู่บนกระดาษมีชีวิตมากขึ้น
.
ผมเข้าใจว่าภาพยนตร์เรื่องนี้มันอาจดูยากสำหรับบางคน ผมจึงอยากให้คำนิยามของ Where We Belong ว่าเหมือนกาแฟแก้วหนึ่งที่อาจดูไม่คุ้นเคย แต่เมื่อได้ลิ้มชิมรสแล้ว บางคนอาจไม่ชอบไปเลย หรืออาจเปิดมิติใหม่ในการเสพกาแฟของใครบางคนเลยก็ว่าได้ ซึ่ง พี่เล็กเหมือนบาริสต้าที่คอยควบคุมกาแฟเหล่านั้น ผลิตออกมาทีละแก้วด้วยความตั้งใจ พร้อมอยากให้ทุกคนได้ลิ้มรสสัมผัสของกาแฟแก้วนั้นในแบบที่ควรจะเป็น
.
สิ่งที่ผมชอบในภาพยนตร์เรื่องนี้คือ การไม่ได้จำกัดขอบเขตอะไร มันคือความเรียลที่รู้สึกว่า มันเหมือนอยู่ในชีวิตประจำวัน อย่างคำสบถ มึง กู เราก็คงใช้มันในชีวิตประจำวันอยู่แล้ว นอกจากนี้ในส่วนของเนื้อเรื่อง ก็เล่าถึงความเจ็บปวดในช่วงชีวิตวัยรุ่น หัวเลี้ยวหัวต่อที่เชื่อว่าทุกคนต้องเจออย่างน้อยสักหนึ่งครั้งในชีวิต อย่าง การออกจากกรอบครอบครัว โดนยัดเยียดสิ่งที่ผู้ใหญ่คิดว่าดีสำหรับเรา จนไม่ฟังเสียงในใจเราว่าต้องการอะไรจริงๆ พร้อมกับการขมวดปมตัวละครอย่างช้าๆ แต่สลับอารมณ์อย่างรวดเร็ว ทำให้มีความรู้สึกอึดอัดในช่วงแรก จนกระทั่งครึ่งหลังปมทุกอย่างได้ถูกคลี่คลายต่อเนื่อง พร้อมขยี้ความรู้สึกคนดูซ้ำแล้วซ้ำเล่า เพิ่มเติมด้วยความรู้สึกตึงเครียด ปิดท้ายด้วยอาการหมดแรงแบบต้องขอนั่งพักก่อนลุกออกจากโรงหนัง ซึ่งต้องขอชื่นชมในความสามารถของพี่คงเดชอีกครั้งจากใจจริง และชื่นชมมิวสิค กับ เจนนิษฐ์ ที่ถ่ายทอดความรู้สึกสิ้นหวังของตัวละครได้อย่างดีเยี่ยม
4. ไทบ้าน X BNK48 จากใจผู้สาวคนนี้
ผมสนุกกับความเป็นอีสานตั้งแต่ไทบ้านภาคก่อนหน้านี้มาเป็นทุนเดิม ก็เลยพอคาดเดาทรงๆได้ว่า เหล่าสาวๆ BNK48 จะมาใช้ชีวิตในภาคอีสานอย่างแน่แท้ ซึ่งพอเนื้อเรื่องคร่าวๆออกมา ก็เดาไม่ผิดจากที่ตัวเองคาดการณ์ไว้ แต่ที่เหนือสิ่งที่คาดว่าก็คือ การที่ BNK48 ได้ทำเพลงลูกทุ่งแนวอีสานแบบม่วนหลายเลยทีเดียว
.
ถ้าดูแบบไม่คิดอะไรมาก สิ่งที่จะได้จากการดูภาพยนตร์เรื่องนี้ คือ ความสนุกสไตล์อีสาน วิถีชีวิตของชาวอีสานแบบจริงแท้แน่นอน แต่ปัญหาของไทบ้านที่เห็นได้อย่างชัดเจนคือ ความละเอียดในการเล่าเรื่องที่บางครั้งก็ดูไม่มีที่มาที่ไป เหมือนรายละเอียดถูกตัดตอนไป ให้ภาพยนตร์มีความยาวไม่เกิน 2 ชั่วโมง โดยส่วนตัวแล้วคิดว่า จริงๆถ้าเนื้อเรื่องเหมาะสมกับ 3 ชั่วโมงก็ควรฉาย 3 ชั่วโมงมากกว่าไม่ต้องตัดให้กระชับจนบางอย่างขาดหายไป
5. App War
ถือว่าเป็นภาพยนตร์เรื่องแรกที่มี BNK48 ร่วมแสดง จากฝีมือการกำกับของพี่เสือ ยรรยง คุรอังกูร ที่กำลังจะมีผลงานอีกชิ้นร่วมกับทาง BNK48 อย่าง Mother Gamer เกมเมอร์ เกมแม่ (2563) ที่เอาเรื่องของการแข่งขันระดมทุนของธุรกิจ Start Up มาเป็นแรงบันดาลใจในการเขียนพล็อตภาพยนตร์ ผสมผสานด้วยรสชาติจากเรื่องราวของความรัก สไตล์เพื่อนรักเพื่อนร้าย รวมกับอารมณ์ลุ้นระทึกในรูปแบบสายลับที่ได้ อร เข้ามาร่วมแสดงภาพยนตร์เรื่องนี้อีกด้วย
.
ภาพยนตร์โดยรวมถือว่าสนุก และใส่ใจรายละเอียดพอสมควร อย่างนักแสดงที่รับบทเป็น Programmer หรือ UX/UI Designer (นัท-ณัฏฐ์ กิจจริต และ ทู-สิราษฎร์ อินทรโชติ) สามารถเขียนโปรแกรม วาง Flow Chart ออกแบบ Algorithm รวมถึง UX/UI ที่ทำตามหลักการออกแบบได้ดีพอสมควร ไม่ได้ใส่มามั่วๆ เขียนมั่วๆ และตีความไปว่าผู้ชมจะไม่สังเกตรายละเอียดพวกนี้ ซึ่งก็ขอชมทีมงานทุกคนที่ใส่ใจในรายละเอียดเป็นอย่างดี นอกจากนี้การแสดงครั้งแรกของ อร ถือว่าทำให้ผมประทับใจพอสมควร ทำให้ภาพยนตร์เรื่องนี้ดูมีเสน่ห์มากขึ้น แต่โดยส่วนตัวภาพยนตร์เรื่อง App War ยังไม่ค่อยมีอะไรน่าจดจำมากนัก
ที่ไม่ได้ดู : กระสือสยาม
สำหรับการรีวิว รวมถึงการแสดงทรรศนะของผมที่มีต่อภาพยนตร์ทั้งหมด 6 เรื่องโดยมี BNK48 เข้าไปร่วมแสดง ซึ่งมันอาจจะไม่ตรงกับการเรียงลำดับ หรือ ความคิดของผู้อ่านทุกท่าน แต่ถ้าอยากมาแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกัน สามารถคอมเมนต์มาได้ตรงคอมเมนต์ด้านล่างได้เลยครับ
แต่ถ้าชอบ Content นี้ก็อย่าลืม กดไลค์ กดแชร์ ส่งต่อให้คนอื่นอ่าน ส่วนถ้าอยากติดตามผลงานของ ‘โพนี่จี้จุด’ ชิ้นต่อไปก็อย่าลืมกดถูกใจให้เพจของเราด้วยนะครับ
.
#BNK48 #BNK48Film #Homestay #GirlsDontCry #ที่ตรงนั้นมัฉันหรือเปล่า #ไทบ้านxBNK48 #AppWar #TheSister #PonyJeeJud #โพนี่จี้จุด
โฆษณา