9 ก.พ. 2020 เวลา 10:08 • บันเทิง
ตอนนี้คุณอยู่ที่จุดไหนบนแผนที่ชีวิตของคุณครับ?
ศิลปิน Lukas Graham
แปลเพลง - 7 Years - Lukas Graham - เพลงที่สะท้อนถามความหมายชีวิตคุณ
วันนี้มีรีเควสให้แปลเพลงนี้ครับ 7 Years จาก Lukas Graham ผมเพิ่งเคยรู้จักศิลปินและเพลงนี้ครับ แต่พอได้ฟังแล้วก็สนใจเพลงนี้ขึ้นมาทันทีครับเพราะทั้งเนื้อหาและทำนองของเพลงโดยสรุปนั้นเป็นคำถามเชิงปรัชญาชีวิตที่กระตุ้นเตือนให้เราดูชีวิตตัวเองแล้วหาคำตอบของตัวเอง โดยมีสิ่งที่พ่อแม่เคยบอกไว้เป็นแรงบันดาลใจในการคิดครับ เหมือนกับว่าเค้าได้มองเห็นแนวโน้มของชีวิตตัวเองในอนาคตผ่านชีวิตในปัจจุบันของพ่อแม่ และสิ่งที่คิดได้จะเป็นคำตอบที่จะผลักดันชีวิตให้ก้าวต่อไปในทิศทางชัดเจนมากยิ่งขึ้น
Once I was 7 years old
My mama told me,
"Go make yourself some friends, or you'll be lonely."
Once I was 7 years old
It was a big, big world, but we thought we were bigger
Pushing each other to the limits, we were learning quicker
By 11,smoking herb and drinking burning liquor
Never rich, so we were out to make that steady figure
Once I was 11 years old
My daddy told me,
"Go get yourself a wife, or you'll be lonely."
Once I was 11 years old
I always had that dream, like my daddy before me
So I started writing songs, I started writing stories
Something about that glory, just always seemed to bore me
'Cause only those I really love will ever really know me
Once I was 20 years old
My story got told
Before the morning sun,when life was lonely
Once I was 20 years old
I only see my goals, I don't believe in failure
'Cause I know the smallest voices, they can make it major
I got my boys with me, at least those in favor
And if we don't meet before I leave, I hope I'll see you later
Once I was 20 years old
My story got told
I was writing about everything I saw before me
Once I was 20 years old
Soon we'll be 30 years old
Our songs have been sold
We've traveled around the world, and we're still roaming
Soon we'll be 30 years old
I'm still learning about life
My woman brought children for me
So I can sing them all my songs
And I can tell them stories
Most of my boys are with me
Some are still out seeking glory
And some I had to leave behind
My brother, I'm still sorry
Soon I'll be 60 years old
My daddy got 61
Remember life, and then your life becomes a better one
I made a man so happy when I wrote a letter once
I hope my children come and visit once or twice a month
Soon I'll be 60 years old
Will I think the world is cold,
or will I have a lot of children who can warm me.
Soon I'll be 60 years old
Soon I'll be 60 years old
Will I think the world is cold,
or will I have a lot of children who can warm me.
Soon I'll be 60 years old
Once I was 7 years old
My mama told me,
"Go make yourself some friends, or you'll be lonely."
Once I was 7 years old
Once I was 7 years old
เจ็ดขวบ
ครั้งนึงตอนที่ชั้นอายุเจ็ดขวบ แม่บอกกับชั้นว่า
"หาเพื่อนไว้นะ ไม่งั้นต่อไปลูกจะต้องเหงา"
นั่นคือตอนที่ชั้นอายุเจ็ดขวบ
โลกนี้ใหญ่มากๆ แต่ตอนนั้นเราพากันคิดว่าตัวเองใหญ่กว่า
ต่างผลักดันกันและกันให้ถึงขีดจำกัด ซึ่งทำให้เราเรียนรู้ได้เร็วขึ้น
พออายุสิบเอ็ดก็หัดดื่มเหล้าสูบบุหรี่ ไม่เคยมีเงินเยอะ
เราเลยต้องออกไปหารายได้ที่มั่นคง
ในตอนอายุสิบเอ็ด พ่อบอกกับชั้นว่า
"ลูกต้องมีเมียนะ ไม่งั้นต่อไปลูกจะต้องเหงา"
นั่นคือตอนที่ชั้นอายุสิบเอ็ด
และชั้นก็มีความฝันนั้น เหมือนกับที่พ่อของชั้นเคยฝัน
ชั้นจึงเริ่มแต่งเพลง เริ่มเขียนเรื่องราว
ชั้นมักจะเบื่อเรื่องที่เกี่ยวกับความรุ่งเรือง
เพราะมีเฉพาะกลุ่มคนที่ชั้นรักจริงๆเท่านั้นถึงจะรู้จักชั้นจริงๆ
ครั้งนึงตอนชั้นอายุยี่สิบ เรื่องราวของชั้นก็ถูกถ่ายทอดออกไป
เป็นช่วงก่อนที่ชีวิตชั้นจะดีขึ้น ช่วงที่ชีวิตยังเปลี่ยวเหงา
นั่นคือตอนที่ชั้นอายุยี่สิบ
ชั้นมองเห็นแต่เพียงเป้าหมายและไม่เชื่อเรื่องความล้มเหลว
เพราะชั้นรู้ว่าแม้แต่เสียงที่เล็กที่สุดก็สามารถโดดเด่นขึ้นมาได้
ชั้นมีเพื่อนๆอยู่ข้างกาย อย่างน้อยก็เพื่อการนี้
และหากเราไม่ได้เจอกันก่อนที่ชั้นจะไป ก็หวังว่าจะได้พบกันใหม่
ครั้งนึงตอนชั้นอายุยี่สิบ เรื่องราวของชั้นถูกถ่ายทอดออกไป
เรื่องราวที่ชั้นเขียนจากทุกๆสิ่งที่ชั้นได้เคยพบมา
นั่นคือตอนที่ชั้นอายุยี่สิบ
อีกไม่นานเราจะอายุสามสิบ เพลงของเราขายได้แล้ว
เราได้เดินทางรอบโลก และเราก็ยังคงเดินทางอยู่
นั่นคืออีกไม่นานในตอนที่เราอายุสามสิบ
ชั้นยังคงเรียนรู้เกี่ยวกับชีวิต ชั้นจะมีภรรยาและมีลูก
ชั้นจะได้ร้องเพลงและเล่าเรื่องราวของชั้นให้พวกเค้าฟัง
เพื่อนๆก็ยังคงอยู่กับชั้น มีบ้างบางคนที่ยังออกไปตามหาความฝัน
และมีบางคนที่ถูกทอดทิ้งไว้ข้างหลัง เพื่อนเอย ชั้นยังคงเสียใจอยู่
และอีกไม่นานชั้นคงจะอายุหกสิบ
ขณะนี้พ่อชั้นอายุหกสิบเอ็ดแล้ว
ชีวิตเธอจะดีขึ้นหากเธอจดจำช่วงเวลาในชีวิตได้
ชั้นทำให้ผู้ชายคนนึงมีความสุขมากเพียงแค่ได้รับจดหมายจากชั้นนานๆครั้ง
ชั้นหวังว่าลูกๆของชั้นคงทำได้ดีกว่า ด้วยการมาเยี่ยมชั้นครั้งสองครั้งต่อเดือน
อีกไม่นานชั้นก็จะอายุหกสิบ
ถึงตอนนั้นชั้นจะคิดว่าโลกมันโหดร้ายเย็นชารึเปล่านะ?
หรือว่าชั้นจะมีลูกหลานมากมากมายคอยทำให้ชั้นรู้สึกอบอุ่น
ในตอนที่ชั้นอายุหกสิบ
อีกไม่นานชั้นจะต้องอายุหกสิบแล้ว
ถึงตอนนั้นชั้นจะคิดว่าโลกมันโหดร้ายเย็นชารึเปล่านะ?
หรือว่าชั้นจะมีลูกหลานมากมากมายมาทำให้ชั้นรู้สึกอบอุ่นได้
ในตอนที่ชั้นอายุหกสิบ?
ครั้งนึงตอนที่ชั้นอายุเจ็ดขวบ แม่บอกกับชั้นว่า
"หาเพื่อนไว้นะ ไม่งั้นต่อไปลูกจะต้องเหงา"
ในตอนที่ชั้นอายุเจ็ดขวบ
ครั้งนึงชั้นอายุเจ็ดขวบ
อรรถาธิบาย
อ่านคำแปลเพลงแล้วรู้สึกถึงความเป็นปรัชญาของเพลงและเกิดคำถามกับตัวเองขึ้นบ้างรึเปล่าครับ? เพลงนี้เป็นการระลึกถึงตัวเองในช่วงชีวิตต่างๆ ซึ่งบางช่วงชีวิตนั้นมีอะไรที่ต้องพูดถึงหลายอย่าง แต่ด้วยทำนองของเพลงที่จำกัดต่อเรื่องที่ต้องการเล่าจึงต้องตัดช่วงเวลาเดียวกันออกเป็นหลายๆ verse ครับ เพลงนี้ไม่มีศัพท์ยากเลยแม้แต่คำเดียว ดังนั้นมีเพียงความหมายเพิ่มเติมจากคำธรรมดาๆที่ไม่ธรรมดาในจุดสำคัญๆที่ต้องอธิบายครับ
or you'll be lonely ผมแปลว่า ไม่งั้นต่อไปลูกจะ "ต้อง" เหงา การแปลตรงๆไม่มีคำว่า "ต้อง" ครับ "ไม่งั้นต่อไปลูกจะเหงา" ก็รู้เรื่องแล้ว รู้เรื่องแต่ไม่รู้สึกครับ เพลงนี้ทั้งเพลงถูกนำเสนอในเมโลดี้ที่ผมเรียกว่า Learning Melody ทำนองของการเรียนรู้ (เพื่อเติบโต) ดนตรีที่มีทำนองแบบนี้เหมาะมากที่จะใช้สำหรับบำบัดจิตใต้สำนึกครับ (ลองจินตนาการเอาเสียงร้องออกไปแล้วฟังเฉพาะเสียงดนตรีนะครับจะรู้สึกถึงท่วงทำนองที่ชวนให้ใช้ความคิดเพื่อเรียนรู้และเติบโต) (ผมในฐานะนักบำบัดก็ใช้ดนตรีแบบนี้เป็นประจำครับ) ดังนั้นมันถูกนำเสนอเพื่อเน้นให้คิดครับ "เน้น" เลยต้องมีคำว่า"ต้อง" (เป็นมุมมองจากความรู้สึกล้วนๆครับ)
big world, but we thought we were bigger ตรงนี้คนที่คล่องอังกฤษหน่อยอาจเผลอคิดว่าเป็นเรื่องของการเติบโตการโตขึ้น ซึ่งต้องดูให้ดีครับตรงนี้เป็นการเปรียบเทียบครับ ระหว่างโลกกับตัวเรา ดังนั้นมันต้องเป็นเรื่องเดียวกันเพราะเราจะเปรียบเทียบของสองสิ่งจากคนละเรื่องไม่ได้ ดังนั้นตรงนี้เป็นเรื่องของขนาดครับ (big world) เพราะเราคิดว่าเราใหญ่กว่าโลก นั่นหมายถึงเราจะทำอะไรก็ได้ (ซึ่งนี่ตรงกับความเชื่อของเค้าใน verse ล่างที่พูดถึงความเชื่อ)
1
pushing each other to the limits ผลักดันกันและกันให้ถึงขีดจำกัด we were learning quicker เราเรียนรู้ได้เร็วขึ้น เคยสังเกตมั้ยครับว่าคนเราเติบโตภายใต้ความกดดันเสมอ ดังนั้นทุกครั้งที่เรารู้สึกกดดันก็อย่าคิดว่าเป็นเรื่องไม่ดีนะครับ เพราะนั่นแปลว่าเรากำลังอยู่ในสภาวะที่เราสามารถเติบโตได้
make that steady figure - figure แปลว่าตัวเลข steadyแปลว่าคงที่ ทั้งหมดแปลว่าทำตัวเลขให้คงที่ เลยต้องย้อนกลับไปดูวลีก่อนหน้านั้นซึ่งก็คือ never rich ไม่เคยรวย ดังนั้นพูดถึงรายได้ครับ out to make that steady figure เลยแปลว่าออกไปหารายได้ที่มั่นคง
had that dream, like my father before me - had that dream เน้นคำว่า that ครับเค้ากำลังพูดถึงสิ่งที่เฉพาะเจาะจง มันคืออันนั้นเลย มันเป็นฝันอันเดียวกันกับที่พ่อชั้นเคยมี (like my father before me)
ตรง something about that glory just always seemed to bore me ตรงนี้น่าสนใจครับ เค้าก็ใช้ that ในการเจาะจงเช่นกัน หมายความว่าคนที่รักเค้าจริงๆเท่านั้นถึงจะรู้ว่าทำไมเค้าถึงเบื่อความ glory นั้น ('cause only those I really love will ever really know me) โดยไม่สนใจว่าใครอื่นจะเข้าใจว่ายังไง มันเป็นการแสดง perception ของเค้าที่มีต่อ glory ครับ เพราะเค้าก็พูดถึง glory ของเค้าอีกครั้งในท่อน morning sun ซึ่งเค้าอาจจะมองว่าความรุ่งเรืองมันไม่จีรังก็ได้ (เพราะยังไม่แน่ใจว่าพอแก่ตัวลงไปแล้วชีวิตจะเป็นยังไงจะเปลี่ยวเหงาหรืออบอุ่นกันแน่?)
before the morning sun, when life was lonely - ตรง morning sun แปลตรงตัวคือพระอาทิตย์ยามเช้า ท่อนนี้ถ้าแปลตรงตัวจะงงได้ครับดังนั้นต้องแปลความหมายพิเศษของพระอาทิตย์ยามเช้าแทนซึ่งส่วนมากพระอาทิตย์ยามเช้าจะสดใสเจิดจ้า ถ้าเปรียบกับเรื่องของชีวิตก็เปรียบได้เหมือนกับความรุ่งเรืองครับ เค้าเคยมีช่วงเวลาที่เปลี่ยวเหงา ต่อมาเรื่องราวของเค้าได้รับการถ่ายทอด จากนั้นจึงเริ่มเป็นช่วงรุ่งเรืองของชีวิต เพลงจะขายได้ จะได้เดินทางรอบโลก ฯลฯ นั่นคือชีวิตเค้าดีขึ้น
'cause I know the smallest voices, they can make it major. I got my boys with me at least those in favor - ตรงนี้คือความหมายของ favor ครับ at least those in favor แปลว่าอะไรครับ?ถ้าแปลตรงๆคงงงน่าดู คำว่า favor ตรงนี้หมายถึงthe smallest voices, they can make it major ครับ เพราะใช้ those ไปลากเอาความหมายก่อนหน้านั้นมา ดังนั้นมันจึงหมายความว่า "แม้เสียงเล็กๆของเราจะไม่โดดเด่นออกไปถึงใครๆแต่อย่างน้อยมันก็โดดเด่นอยู่ในหมู่เพื่อนของเราเอง" ครับ นั่นคือ at least I got my boys for those in favor
ตรง my woman brought children for me นี้แปลรวมกับประโยคถัดไปแล้วเกลาออกมาครับมันเป็นการคาดคะเนถึงอนาคตในช่วงอายุสามสิบของเค้า เค้าจะมีภรรยาและมีลูก เค้าจะได้ร้องเพลงและเล่าเรื่องราวของเค้าให้ภรรยาและลูกๆฟัง เค้ายังคงเห็นเพื่อนๆมากมายรายล้อมอยู่ข้างกาย มีบ้างที่ห่างหายไปเพราะยังคงออกไปตามหาความฝันของตัวเอง และก็มีบ้างที่หายไปเพราะถูกทิ้งไว้ข้างหลัง เคยใช่มั้ยครับ? มีคนบางคนในชีวิตของเราที่ถูกทิ้งไว้ข้างหลังเหมือนกัน เช่นเพื่อนบางคนที่เลิกคบกันไป หรือความสัมพันธ์ที่ไปต่อไม่ได้ ซึ่งตรงนี้แหล่ะที่อธิบาย my brother, I'm still sorry ชั้นยังคงเสียใจอยู่กับการที่ต้องทอดทิ้งใครบางคนไว้ข้างหลังแต่ชีวิตของทุกคนก็ต้องเดินต่อครับ
remember life, and then your life becomes a better one - ตรงนี้เป็นข้อแนะนำครับ ให้จำช่วงเวลาในชีวิตเอาไว้ life คืออะไรเหรอครับ? ถ้า Life คือชีวิต แล้วชีวิตคืออะไรครับ? ตอนนี้เรามาถึงจุดนี้ของชีวิตตัวเองคุณลองนึกย้อนกลับไปตั้งแต่แรกของชีวิตคุณจนถึงตอนนี้สิครับ คุณจะเห็นชัดเจนว่าชีวิตที่ผ่านมาของคุณมันคือความทรงจำเท่านั้นครับ (เคยได้ยินมั้ยครับว่าชีวิตคือความฝัน และ mind set ที่สำคัญอันนึงคือ Life is Imagination) เค้ากำลังแนะนำว่า ชีวิตเราจะเป็นชีวิตดีขึ้น (เราจะใช้ชีวิตได้ดีขึ้น) หากเราจดจำช่วงเวลาต่างๆของชีวิตเราได้ (สิ่งนี้เรียกว่าประสบการณ์) เพราะประสบการณ์ทำให้เราใช้ชีวิตได้ดีขึ้นครับ จู่ๆเค้าแนะนำสิ่งนี้ขึ้นมาทำไมครับในขณะที่กำลังจะพูดถึงชีวิตของตัวเองในช่วงอายุหกสิบ?
เพราะตอนนี้พ่อเค้าอายุหกสิบครับ (หกสิบเอ็ดนั่นแหล่ะ) เค้าได้เห็นชีวิตของพ่อตัวเอง พ่อมีความฝัน (ซึ่งไม่ได้พูดถึงว่าพ่อสามารถทำฝันให้สำเร็จได้รึเปล่า) พ่อผ่านช่วงเวลาในชีวิตมา ลูกพ่อไม่ค่อยได้ไปหา พ่อจึงดีใจมากเวลาที่ได้จดหมายจากลูกที่นานๆจะเขียนมาซักฉบับ (I made a man so happy when I wrote a letter once) ท่อนนี้นำเสนอออกมาได้สะเทือนใจมากครับ เพราะพูดถึงพ่อในฐานะที่เป็นคนอื่น (a man) เป็นแค่ชายชราอายุหกสิบเอ็ดคนนึงที่ดีใจได้รับจดหมายของลูกที่นานๆจะเขียนมาซักครั้ง (wrote a letter once) แล้วก็สะท้อนถึงชีวิตของตัวเค้าเองครับหากเค้าต้องอายุหกสิบขึ้นมาจะเป็นเหมือนพ่อตอนนี้มั้ย?
เค้าเลยคาดหวังว่าลูกๆของเค้าคงจะทำได้ดีกว่านี้ด้วยการมาเยี่ยมเค้าบ้างอย่างน้อยเดือนละครั้งหรือสองครั้ง แล้วสังเกตนะครับว่าดนตรีช่วงนี้จะกระทั้นเร่งเร้าขึ้น มันเป็นการบีบคั้นความรู้สึกครับ และแถมท่อนต่อมาก็ร้องด้วยเสียงสูง มันเป็นดนตรี learning ที่บีบคั้นอารมณ์จนถึงไคลแมกซ์ซึ่งมัน emotional มากๆจนน้ำตาร่วงได้เลย แล้วตัวชั้นเองล่ะ? ชั้นก็จะอายุหกสิบเหมือนกันนะ แล้วตัวชั้นเองจะเป็นยังไง? (soon I'll be 60 years old) ชั้นจะต้องเหงาเปล่าเปลี่ยวตัวคนเดียวจนรู้สึกเย็นยะเยือกมั้ย? หรือว่าชั้นจะมีลูกหลานมากมายห้อมล้อมทำให้ชั้นอบอุ่น?
มีคำถามชีวิตอะไรเกิดขึ้นกับคุณหลังจากอ่านบทแปลและคำอธิบายเหล่านี้บ้างรึเปล่าครับ? เพลงนี้เป็นตัวอย่างที่ดีที่ทำให้เรารู้ว่าชีวิตของคนเราคือการเดินทางจากประสบการณ์นึงไปยังอีกประสบการณ์นึงครับ หากเราแบ่งชีวิตเป็นช่วงเวลาแบบนี้ เราอาจจะมองเห็นชีวิตตัวเองชัดขึ้นและถามกับตัวเองได้ว่า หากเรายังใช้ชีวิตแบบนี้ต่อไป ชีวิตในช่วงเวลาเหล่านั้นของเราจะเป็นยังไง? และเรายังอยากให้เป็นแบบนั้นอยู่มั้ย? ถ้าไม่อยากให้เป็นแบบนั้น แล้วเราอยากให้มันเป็นแบบไหน? แล้วเราต้องทำอะไรเพิ่มเพื่อให้มันเป็นไปได้อย่างที่เราหวังเอาไว้? ซึ่งสุดท้ายแล้วเราจะได้คำตอบสำหรับตัวเองครับ คำตอบที่จะผลักดันชีวิตให้ก้าวต่อไปในทิศทางชัดเจนมากยิ่งขึ้น ซึ่งนั่นจะเป็นการสร้างคุณค่าความหมายของชีวิตเราต่อไปครับ
Happy thinking ครับ :)

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา