11 ก.พ. 2020 เวลา 00:00 • กีฬา
[ #สื่อกับจรรยาบรรณ ]
สองวันก่อนมีข่าวว่าแมนฯยูไนเต็ดได้ยื่นเรื่องร้องเรียนไปยังองค์การมาตรฐานสื่ออิสระหรือไอพีเอสโอ เพื่อสอบสวนเดอะ ซัน
เรื่องของเรื่องคือทางแมนฯยูไนเต็ดเชื่อว่าสื่อสำนักนี้ รู้ล่วงหน้าว่าจะมีแฟนบอลกลุ่มหนึ่งเดินทางไปบ้าน เอ็ด วู้ดเวิร์ด รองประธานบริหาร ที่ทำงานได้อย่างน่าผิดหวัง
กองเชียร์ฮาร์ดคอร์เหล่านี้ ไม่ได้ไปกดดันหรือตะโกนขับไล่เท่านั้น ยังมีการจุดพลุและใช้อุปกรณ์บางอย่างปาเข้าไปข้างในด้วย ซึ่งเป็นพฤติกรรมการประท้วงที่แย่มากๆ
อย่าลืมว่าอาจสร้างความอันตรายทำให้เกิดบาดเจ็บหรือสูญเสียได้ นับเป็นเรื่องไม่เหมาะสม ต่อให้ไม่พอใจบทบาทการทำงานของ วู้ดเวิร์ด แค่ไหนก็ไม่มีสิทธิ์อย่างนี้
ประเด็นอยู่ที่มีนักข่าวและช่างภาพเดอะ ซันเป็นสื่อเพียงเจ้าเดียวที่แฝงอยู่ในกลุ่มแฟนบอล
ทั้งหมดเก็บภาพอย่างเมามัน รวมทั้งนำเสนอข่าวแบบมีรายละเอียดมากกว่าสื่ออื่น
ว่ากันตามตรงไม่มีทางเลยที่ทีมงานของเดอะ ซันจะไปถึงหน้าบ้าน วู้ดเวิร์ด รวดเร็วมากๆ หลังจากกองเชียร์เจ้าปัญหาแค่ไม่กี่นาที ซึ่งมันผิดปกติมากๆ
นั่นทำให้แมนฯยูไนเต็ดเดาว่า เดอะ ซันน่าจะได้รับข้อมูลจากแหล่งข่าวแล้วว่าจะเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้น
แต่แทนที่จะแจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจหรือฝ่ายปราบปรามเพื่อให้มาจัดการ กลับไม่สนใจ เลือกที่จะอุบไว้แล้วส่งคนไปเก็บข้อมูลเพื่อนนำมาเสนอในเวลาต่อมา
การกระทำเช่นนี้ถือว่าผิดจรรยาบรรณของสื่ออย่างมาก นั่นทำให้แมนฯยูไนเต็ดตัดสินใจเดินหน้าร้องไปยังองค์กรมาตรฐานสื่อ หวังว่าจะมีการประณามหรือตักเตือนบ้าง
แม้จริงๆจะเข้าใจกิตติศัพท์ของเดอะ ซันว่าร้ายกาจแค่ไหน รวมทั้งเป็นสื่อที่ถูกวิจารณ์ว่าห่างไกลกับคำว่าสื่อ
โศกนาฏกรรมฮิลส์โบโร่ในปี 1989 เดอะ ซันยังได้สร้างแผลใจให้กับเดอะ ค็อปจนทุกวันนี้
เกมเอฟเอ คัพรอบรองชนะเลิศลิเวอร์พูลทะลุมาดวลกับน็อตติ้งแฮม ฟอเรสต์ โดยใช้สังเวียนแข้งฮิลส์โบโร่ของเชฟฟิลด์ เวนส์เดย์เป็นสนามกลางชี้ขาดว่าใครจะเข้าชิง
ก่อนเกมเริ่มไม่นานมีสัญญาณเตือนบางอย่างที่ไม่ดีนัก แฟนบอลจำนวนมากโดยเฉพาะอย่างยิ่งเดอะ ค็อปฮือกันมามหาศาล
นักข่าวบางคนเห็นเค้าลางไม่ดี แจ้งไปยังสถานีวิทยุและทีวี เตือนแฟนหงส์ทั้งหลายว่า ถ้าไม่มีตั๋วอย่าไปที่นั่น เพราะคลื่นแฟนบอลใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ เกรงจะได้รับอันตราย
แล้วตามธรรมเนียมของแฟนลูกหนังผู้ดี มักจะเข้าสนามกันช้า ยืนคุยกันข้างนอกหรือดื่มเบียร์บิวด์อารมณ์กันก่อน เพื่ออรรถรสในการเชียร์
กระทั่งเริ่มเขี่ยบอลแล้ว ยังไม่มีใครสังเกตเห็นว่าอัฒจันทร์ฝั่งแฟนลิเวอร์พูลมีปัญหา ผู้คนทะลักกันเข้ามาเรื่อยๆ ไม่หยุดหย่อน เบียดจากด้านหลัง บางคนออกแรงดันเพื่อจะได้เข้าไปดูเกม ยิ่งกลุ่มที่มีตั๋วด้วยแล้ว โวยวายว่าต้องเข้าให้ได้
ไม่ได้เฉลียวใจเลยว่ากลุ่มแฟนที่อยู่ด้านล่าง โดนแรงอัดจนติดกับรั้ว ขยับไปไหนไม่ได้ หายใจไม่ออก พวกผู้หญิงและเด็กดูแลตัวเองลำบาก ส่วนพวกผู้ชายที่มีเรี่ยวแรงกำลังก็สู้ปีนรั้วหนีเอาชีวิตรอด จนหลุดลงมาในสนามมากมาย
ผู้ตัดสินต้องเป่าหยุดเกม หลังเตะไปได้แค่ 6 นาที ก่อนจะกวาดต้อนนักเตะให้เข้าห้องแต่งตัวเพื่อความปลอดภัย ข้างนอกปล่อยให้เป็นพวกเจ้าหน้าที่จัดการ
จากที่เหมือนไม่มีอะไรร้ายแรง สุดท้ายเดอะ ค็อป 94 ชีวิตสิ้นลมหายใจที่ ฮิลส์โบโร่ อีก 2 คนไปเสียที่โรงพยาบาล รวมแล้วเหยื่อของความสะเพร่าทั้งหมด 96 คนด้วยกัน
ในรายงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจระบุว่าแฟนบอลลิเวอร์พูลเองนี่แหล่ะ เป็นตัวต้นเหตุ มีทั้งเมาไม่รู้เรื่อง มีทั้งกลุ่มอันธพาลที่พยายามจะฝ่าเจ้าหน้าที่เบียดแทรกเข้าไป
แต่นั่นไม่ร้ายเท่าหนังสือพิมพ์ เดอะ ซัน ซึ่งพาดหัวว่าเดอะ ค็อปนี่ คือตัวการสำคัญ ผู้ร้ายอย่างแท้จริง
สื่อเจ้านี้จงใจโยนบาปมาที่แฟนบอล ไล่ตั้งแต่บางคนขู่ด้วยการใช้กำลังและเยี่ยวใส่ไม่ให้เจ้าหน้าที่ทำงานอย่างสะดวก ท่ามกลางความมึนเมาจากฤทธิ์ของแอลกอฮอลล์
บางส่วนเหยียบย่ำคนแก่ที่นอนลมหายใจรวยรินแล้วขโมยกระเป๋าหรือของมีค่า
กองเชียร์ลิเวอร์พูลหลายคนที่อยู่ในเหตุการณ์ รับรู้หมดทุกอย่างและนั่นไม่ใช่ความจริงเลย
ต้องรอจนถึง 28 ปี กว่าความจริงจากรายงานกว่า 400 หน้าและเอกสาร 450,000 แผ่นที่ได้รับการรวบรวมจากหลายฝ่ายถูกนำมาเปิดโปง
ถึงได้รู้ว่าเกิดจากความบกพร่องในการปฏิบัติหน้าที่ของตำรวจ ซึ่งนั่นรัฐบาลของมาร์กาเร็ต แธตเชอร์ ต้องรับผิดชอบด้วย
ส่วนเดอะ ซันที่ป้ายสีมาให้เดอะ ค็อป ลงข้อความเป็นการขอโทษในหนังสือพิมพ์แท็บลอยด์ แต่แฟนบอลส่วนใหญ่ไม่ให้อภัย
1
หนังสือพิมพ์ยี่ห้อนี้ห้ามวางขายในเมืองลิเวอร์พูล ซึ่งแฟนบอลเอฟเวอร์ตันหรือเอฟเวอร์โตเนี่ยนก็ร่วมแบนด้วยเช่นกัน
ส่วนนักข่าวหรือช่างภาพก็ไม่มีทางได้ไปเหยียบแอนฟิลด์อีก เป็นการตั้งศาลเตี้ยลงโทษเองเลย ไม่ต้องให้ใครมาจัดการ
การพุ่งเป้ามาที่แฟนบอลของเดอะ ซันนั้น เหตุผลหลักคือโปรพวกรัฐบาล ซึ่งเคยถูกกล่าวหาว่ามีผลประโยชน์ร่วมกัน
แต่ในบทบาทและหน้าที่ของสื่อที่ต้องยืนข้างความถูกต้อง ร่วมกันผดุงความยุติธรรม นี่คือความผิดร้ายแรง โดยไม่ต้องไปถามหาจรรยาบรรณให้เสียเวลาเลย
เดอะ ซันกลายเป็นสื่อระดับล่างที่มีความน่าเชื่อถือน้อยนิด ด้วยนโยบายเน้นขายความหวือหวาน่ากลัวเกินจริงและมองที่ผลประโยชน์ตัวเองมากกว่าสังคม
จากสองเคสของเดอะ ซัน ทำให้เราอดไม่ได้นึกถึงเหตุการณ์สูญเสียที่นครราชสีมาเมื่อคืนวันเสาร์ที่ผ่านมา
ประเด็นที่ดราม่าภายหลังคือ พอทุกอย่างเคลียร์เรียบร้อยแล้ว โลกโซเชี่ยลโจมตีเล่นงานสื่ออย่างที่เกาะติดข่าวอย่างหนัก
ไล่ตั้งแต่เรื่องการนำเสนอข่าวมีมือสไนเปอร์ไปซุ่มอยู่บนตึก จนทำให้ทหารคลั่งรู้แกว เผ่นลงมาอยู่ในชั้นล่างของห้างสรรพสินค้า
จากนั้นเจ้าหน้าที่จะใช้โดรนเพื่อช่วยในการตามหาจุดที่คนร้ายซ่อนอยู่กับตัวประกัน ก็เจอยิงทิ้งร่วงอีก
หรือแผนการของเจ้าหน้าที่ตำรวจอะไรก็ตาม พอสื่อรับรู้เข้าก็แย่งกันปล่อยสู่สาธารณะ จนทำให้คนร้ายไหวตัวทันเสมอ ยากต่อการจับกุม
พอมีการแชร์กันไปมากขึ้นเรื่อยๆ บรรดานักข่าวที่เกาะติดหรือสื่อต้นสังกัดส่วนใหญ่ โดนโซเชี่ยลถล่มราบคาบว่าไร้จรรยาบรรณสนใจแต่ยอดคนดูอย่างเดียว
ว่ากันแบบแฟร์ๆ เราไม่รู้ด้วยซ้ำว่าคนร้ายมีช่องทางในการติดตามข่าวสารมากน้อยแค่ไหนระหว่างหลบอยู่ในห้าง อย่าลืมว่าต้องคอยระวังตัวอยู่ตลอดเวลา
แล้วหากเราดูปูมหลังของเขา จะรู้ว่าเป็นถึงครูฝึกยุทธวิธีการรบ อีกทั้งยังเชี่ยวชาญในการใช้อาวุธต่างๆ ย่อมมีความรู้เป็นต้นทุนหลักอยู่แล้ว
พอสื่อโดนสังคมจวกหนักมากขึ้นเรื่อยๆ จนมีความผิดหนักยิ่งกว่าคนร้าย ถึงเวลาที่จะต้องออกมาปกป้องตัวเองบ้าง
มีนักข่าวที่เกาะติดเหตุการณ์นี้ เล่าเป็นฉากๆเลยว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ สื่อหลายสำนักนอกจากทำงานตามหน้าที่บทบาทได้รับมอบหมายแล้ว ต่างให้ความร่วมมือและพร้อมช่วยเหลือเจ้าหน้าที่อย่างดี
มีการนำโดรนที่ใช้ประกอบทำข่าวมาช่วย ไหนจะคอยเป็นกระบอกเสียงให้กับตำรวจ มันเป็นการรวมใจเพื่อสู้กับอาชญากรต่างหาก
พอเหตุการณ์จบลงด้วยความสูญเสียมากมายอย่างคาดไม่ถึง ทั้งที่คนร้ายมีเพียงคนเดียว สื่อจึงตกเป็นผู้ร้ายตามไปด้วย เพราะคนไม่กี่คนที่ไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ แต่เขียนเล่าเรื่องผ่านโซเชี่ยลเป็นฉากๆ
แน่นอนว่าสื่อบางแห่งก็ล้ำเส้น หิวข้อมูลจนลืมความเหมาะสม แต่เราได้รับรู้จากเจ้าหน้าที่ตำรวจแล้วว่า เหตุการณ์นี้ได้รับความร่วมมือจากนักข่าวดีมากๆ เพราะต่างรู้ว่ามีชีวิตผู้คนมากมายเป็นเดิมพัน จะทำอะไรสุ่มสี่สุ่มห้าไม่ได้
ถึงที่สุดแล้ว เราผ่านเรื่องร้ายครั้งนี้มาได้ ต้องยอมรับว่ามาจากความร่วมมือกันของทุกฝ่าย รวมถึงสื่อต่างๆด้วย
ไม่ใช่เรื่องที่จะต้องมาหาเหยื่อรับบาป เพราะต้นตอจริงๆไม่ใช่พวกสื่อเลยด้วยซ้ำ
เราถามหาจรรยาบรรณของสื่อได้เสมอ หากเห็นว่าการนำสนอข่าวนั้นไม่มีมูลความจริงหรืออิงที่ผลประโยชน์ส่วนองค์กร ซึ่งปัจจุบันมีอยู่มากหากดูให้ดี
1
และหนักกว่าเหตุการณ์ครั้งนี้แน่นอน
.
ทุกท่านสามารถติดตามอ่านบทความย้อนหลังได้ที่ ..
.
และเพิ่มเพื่อนไลน์แอด "เพื่อเด้งเตือน" ให้คุณได้อ่านก่อนใคร กดที่ลิงค์นี้ครับ
ขอบคุณครับ
โฆษณา