12 ก.พ. 2020 เวลา 10:36 • บันเทิง
REVIEW: 1917 สุดจัดด้วยเทคนิค พลิกจากม้ามืดสู่ตัวเต็ง จากผลงานของ แซม เมนเดส และ โรเจอร์ ดีกินส์
(ดีกรี Oscars 3 สาขา : Cinematography , Visual Effects , Sound Mixing)
แม้ว่าจะมีภาพยนตร์สงครามถูกผลิตออกมาสู่สายตาผู้ชมมาอย่างมากมาย แต่ก็ต้องยอมรับว่าเรื่องที่สร้างจากเหตุการณ์ใน ‘สงครามโลกครั้งที่ 1’ นั้นสามารถนับนิ้วได้อย่างไม่เคอะเขิน ถ้าหากย้อนกลับไปตั้งแต่มีการมอบรางวัล Academy Awards หรือ Oscars เกิดขึ้น มีเพียง Wings เรื่องเดียวเท่านั้นที่นำเหตุการณ์จากสงครามโลกครั้งที่ 1 มาทำภาพยนตร์ และได้รางวัลสาขา Best Picture ในปี 1927 ซึ่งเป็นการจัดงานครั้งแรกในประวัติศาสตร์ Oscars
จนกระทั่งอีก 92 ปีต่อมา ‘1917’ ภาพยนตร์ที่สร้างจากเหตุการณ์สงครามโลกครั้งที่ 1 ได้เข้าชิงในสาขา Best Picture อีกครั้งหนึ่ง หลังจากคว้ารางวัลลูกโลกทองคำมาถึง 2 สาขา (Best Pictures (Drama) และ Best Director) เมื่อต้นเดือนมกราคมที่ผ่านมา พลิกชะตาจากภาพยนตร์ม้ามืดนอกสายตา สู่ตัวเต็งคว้ารางวัล Oscars ในครั้งนี้
สำหรับ 1917 นั้นเล่าถึงการเดินทางของ 2 ทหารสื่อสาร ซึ่งมี สิบตรี ทอม เบลค (รับบทโดย ดีน-ชาร์ล แชปแมน) และเพื่อนซี้คู่ใจอย่าง สิบตรี วิลเลียม สคอฟิลด์ (รับบทโดย จอร์จ แม็คคาย) รับภารกิจสุดหฤโหด ฝ่าดงกระสุนแดนศัตรู มอบสารสำคัญไปยังกองทหารแนวหน้าเพื่อถอยร่นกำลังจากกับดักจับตายของเยอรมันที่จ้องหมายเอาชีวิต โดยได้ผู้กำกับพยัคฆ์ร้ายสายลับ 007 อย่าง แซม เมนเดส ผนวกกำลังกับ โรเจอร์ ดีกินส์ นักกำกับภาพดีกรีรางวัลออสการ์จาก Blade Runner 2049 มาร้อยเรียงเรื่องราวบนสมรภูมิของปู่อัลเฟรด เอช. เมนเดส ให้มีชีวิตขึ้นบนจอภาพยนตร์
ไม่น่าเชื่อว่า 1917 สามารถดูดเราเข้าไปอยู่ในห้วงของหนังได้ในเวลาอันสั้น ด้วยความบ้าหนังเทคนิคเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ทำให้ตอนดู 1917 รู้สึกชอบมากๆ และอยากติดตามความเป็นไปของตัวละครต่อจนจบ เรื่องนี้ให้ความรู้สึกเหมือนคุณเป็นทหารอีกหนึ่งคนกำลังเดินตามสองตัวละครหลัก ถ้าเปรียบเทียบก็คงเหมือนเป็นเกม Call of Duty สวมบทเป็นตัวละครหนึ่งคอยติดตาม NPC เพื่อเดินเนื้อเรื่องภายในเกม แต่มีความสมจริงมากกว่า เร้าอารมณ์มากกว่า ซึ่งต้องยกเครดิตการกำกับภาพของ โรเจอร์ ดีกินส์ โดยเลือกใช้เทคนิคถ่ายทำแบบ Long Take ผ่าน Arri Alexa Mini LF ร่ายเสน่ห์ต้องมนต์สะกดผู้ชมจนไม่สามารถลุกจากที่นั่งได้
ส่วนเสียงก็ทำได้ดีไม่แพ้กัน เราชอบการใส่ใจรายละเอียดเรื่องเสียงของผู้กำกับมาก เท่าที่เคยดูภาพยนตร์สงครามมาหลายเรื่อง แต่เราไม่ได้รู้สึกอึดอัดและคอยลุ้นเหมือนกับ 1917 เท่าไหร่นัก สิ่งที่แตกต่างคือ การให้ความชัดเจนกับ Ambient Sound มากๆ อย่างเช่น เสียงหายใจแรงๆ สื่อถึงอารมณ์ตื่นกลัวของตัวละคร เสียงย่ำเท้าบนดินเลน เสียงจับศพเน่าเปื่อย เสียงหนูวิ่งตัดหน้า แถมด้วยดนตรีประกอบสุดระทึกสลับความเงียบจนต้องคอยระแวงว่าจะสร้างความตกใจในฉากไหนบ้าง
ความยอดเยี่ยมของฉากก็ส่งเสริมให้ดูสมจริงมากขึ้น จากฝีมือของ เดนนิส กาซเนอร์ ผู้ออกแบบงานสร้างคู่บุญของ แซม เมนเดส ที่รู้ใจผู้กำกับเป็นอย่างดีตั้งแต่ร่วมงานกันในแฟรนชายส์สายลับ 007 นอกจากนี้ยังต้องยกเครดิตให้กับความทุ่มเทของ ทริสตอง เวอร์สลูส ในการรังสรรค์บาดแผล และซากศพจนนักวิจารณ์หลายคนยังต้องออกปากชม
สิ่งสุดท้ายที่ชอบคือ การแสดง ด้วยความตั้งใจในการใช้เทคนิคถ่ายแบบ Long Take จึงทำให้นักแสดงหลักทั้ง จอร์จ แม็คคาย และ ดีน-ชาร์ล แชปแมน ต้องซ้อมบทกันเป็นระยะเวลาถึง 4 เดือน เลยไม่แปลกใจว่าสามารถเล่นกันอย่างเนียนตา และส่งอารมณ์ถึงคนดูได้อย่างไม่ยากนัก ซึ่งการแสดงนั้นส่งเสริมกับองค์ประกอบต่างๆจนนำพา 1917 เข้าชิง Oscars สาขา Best Picture ในฐานะตัวเต็งเลยก็ว่าได้
แม้ว่า 1917 จะสามารถถ่ายทอดอารมณ์ผสมกันระหว่าง ความหวัง ความสิ้นหวัง รวมทั้งความเป็นวีรบุรุษภายในเรื่อง แต่ก็ต้องยอมรับว่าเรื่องนี้แอบแฝงด้วยอารมณ์อึดอัด ถ้าคนไม่ชอบอารมณ์แนวอึดอัด ลุ้นระทึกทุกวินาที อาจไม่เป็นมิตรกับคุณสักเท่าไหร่นัก
ซึ่งองค์รวมทั้งหมดนั้น มันสร้างความประทับใจตัว 1917 มาก แม้ว่าบทความรีวิวนี้ ผู้อ่านทุกคนอาจจะรู้ว่าใครเป็นผู้ชนะรางวัล Oscars ประจำปี 2019 แล้ว แต่สุดท้าย 1917 สามารถเอาชนะใจผมจนกลายเป็นภาพยนตร์อันดับหนึ่งในใจตอนนี้ได้ และอยากแนะนำ 1917 ให้กับผู้อ่านทุกท่านได้ไปเสพความสุดยอดกัน
สำหรับใครที่ดู 1917 แล้วอยากมีอะไรมาแลกเปลี่ยนกันสามารถ Comment ไว้ที่ด้านล่างได้เลยครับ แต่ถ้าใครชอบบทความรีวิวเรื่องนี้ ปุ่มไลค์ ปุ่มแชร์ สามารถเป็นกำลังใจให้ผมได้สร้าง Content ดีๆต่อไปได้ครับ
โฆษณา