14 ก.พ. 2020 เวลา 04:16 • กีฬา
ลัตตา คาเร : หญิงแกร่งวัย 61 ปีที่ฝืนขนบลงแข่งวิ่งเพื่อต่อลมหายใจของสามี
ในวัย 61 ปี สำหรับใครบางคนคงเป็นตัวเลขที่เยอะเกินกว่าจะทำให้อะไรให้ร่างกายยากลำบาก อาทิ การออกวิ่งเเข่งกับคนที่อายุน้อยกว่า เป็นต้น…
แต่บางครั้งชีวิตคนเราก็ไม่อยู่ในจุดที่เลือกได้ว่าจะทำหรือไม่ทำ? และโลกมักจะเหวี่ยงบททดสอบที่โหดหินมาให้มนุษย์ได้พิสูจน์ตัวเองเสมอ
นี่คือเรื่องราวของลัตตา คาเร หญิงชราที่ทำงานรับจ้างหลังขดหลังแข็งแม้เข้าสู่วัยเกษียณ และเธอจำเป็นต้องเลือกการวิ่งแข่งที่เดิมพันด้วยชีวิตของ “คู่ชีวิต” ที่ร่วมทุกข์ร่วมสุขกันตลอดมา
การวิ่งที่ไม่สนเรื่องการออกกำลังกาย, ไม่สนเรื่องกีฬา และไม่ใส่ใจอุปกรณ์ นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ จนผู้กำกับชาวอินเดียต้องนำเรื่องนี้ไปสร้างเป็นภาพยนตร์
ติดตามเรื่องราวความรักอันยิ่งใหญ่รับเช้าวันวาเลนไทน์ได้ที่นี่...
1
ความรักชนะความยากลำบาก
อินเดีย หนึ่งในประเทศที่มีคนนับถือหลากหลายศาสนาอยู่รวมกัน พวกเขามีประชากรกว่า 1 พันล้านคน ซึ่งแต่ละคนก็มีศาสนาและความเชื่อแตกต่างกันไป
แต่ที่แน่ๆ พวกเขามีความเชื่อหนึ่งคล้ายๆกับประเทศจีน กล่าวคือ อินเดีย เป็นสังคมของผู้ชาย มีสัดส่วนประชากรชายอยู่ที่ราวๆ 110 คนต่อผู้หญิง 100 คน
Photo : chinaherald.news
เหตุผลที่เป็นเช่นนั้นมีอยู่หลายอย่าง ประการแรกคือวัฒนธรรมของชาวอินเดียนั้นครอบครัวฝ่ายเจ้าสาวต้องเป็นฝ่ายไปขอเจ้าบ่าว และต้องไปจ่ายค่าสินสอดทั้งหมด ส่วนอีกข้อ คือ เมื่อลูกสาวแต่งงานไป พวกเธอต้องไปอยู่บ้านสามี และจะไม่ได้มีโอกาสมาดูแลพ่อแม่ยามเจ็บไข้ได้ป่วย
“ลูกสาวนอกจากจะไม่มีประโยชน์กับครอบครัวแล้วยังทำให้ครอบครัวต้องเสียเงินก้อนใหญ่ นี่เป็นเหตุผลสำคัญอย่างหนึ่ง ที่ทำให้คนในสังคมอยากได้ลูกชายมากกว่า” ศาสตราจารย์ยุอิโกะ นิชิกะวะ ผู้เชี่ยวชาญด้านประชากรศาสตร์ของอินเดีย ประจำมหาวิทยาลัยโจไซ ให้ความคิดเห็นไว้กับสื่อ nikkei review
ด้วยภาพเศรษฐกิจในพื้นที่ห่างไกลความเจริญนั้นก็ไม่ดีอยู่แล้ว จึงทำให้หลายครอบครัว พยายามจะมีลูกเป็นผู้ชายมากกว่าผู้หญิง ซึ่งเรื่องนี้จริงจังและร้ายแรงจนถึงขั้นที่ว่าเมื่อพ่อและแม่รู้ว่าลูกในท้องเป็นผู้หญิง พวกเขาจะรีบทำแท้ง หรือไม่อย่างนั้นก็จะเลี้ยงดูไม่ดีในกรณีที่ทำแท้งไม่ทัน
อย่างไรก็ตามไม่ใช่กับครอบครัวคาเร ครอบครัวชนชั้นแรงงานในเมือง Baramati ครอบครัวนี้สร้างขึ้นจากความรักของบัห์กวาน ผู้เป็นสามีและลัตตา ผู้เป็นภรรยา
บัห์กวาน และ ลัตตา ทำงานเป็นอาชีพลูกจ้างในฟาร์ม ซึ่งแน่นอนว่าเรื่องการกินอยู่นั้นกระเบียดกระเสียดอยู่เป็นประจำ แต่ทั้งคู่ก็เป็นคนที่ขยันทำขยันเก็บ แม้จะเป็นลูกจ้างแต่ก็ยังสามารถปลูกบ้านหลังเล็กๆ และมีพื้นที่เพาะปลูกที่ใช้สำหรับเลี้ยงปากท้องของตัวเองไปได้แบบไม่ได้เดือดร้อนใคร
หลังจากการแต่งงานบัห์กวาน และ ลัตตา ก็มีลูกโดยเป็นลูกสาวถึง 3 คน และผู้ชายอีก 1 คน และจากที่กล่าวไว้ในเรื่องของวัฒนธรรมชาวอินเดีย สิ่งหนึ่งที่ต้องยอมรับในตัวของสองสามีภรรยาคู่นี้คือ พวกเขารับผิดชอบกับสิ่งที่พวกเขาสร้างขึ้นมา ด้วยการเลี้ยงลูกทั้ง 4 คนอย่างดีที่สุดจนลูกๆทุกคนเติบโตขึ้น
Photo : indiatimes.com
กาลเวลาก็ผ่านไปลูกๆของทั้งคู่เติบโตขึ้นมาสู่วัยหนุ่มสาวก็ถึงเวลาที่บัห์กวาน และ ลัตตา ต้องจ่ายก็มาถึง พวกเขาพยายามเก็บหอมรอมริบมาหลายปี จนทำให้มีเงินเก็บก้อนหนึ่ง ซึ่งเงินก้อนนี้ไม่ได้เอาไปใช้ทำอะไรเพื่อตัวเองเลย พวกเขาเก็บเอาไว้เพื่อให้ลูกสาวทั้ง 3 คน ได้แต่งงานกับผู้ชายที่ดี และดูแลพวกเธอได้เท่านั้นเอง
หลังจากส่งลูกสาวออกเรือนครบทั้ง 3 คน ดูเหมือนว่า บัห์กวาน และ ลัตตา จะได้ใช้เงินเพื่อซื้อหาความสุขให้กับตัวเองบ้าง สองสามีภรรยามีความสุขกับชีวิตที่เรียบง่าย ไม่มีใครรู้สึกลำบาก แม้สภาวะรอบข้างจะต้องบีบให้ทำงานหนักในทุกๆวัน ความสัมพันธ์ของทั้งสองคนเป็นหนึ่งในตัวอย่างที่ยืนยันได้ว่าบางความสัมพันธ์ก็ไม่ต้องการความหรูหราเพื่อสร้างความสุขให้กับคนสองคน
บ้านหลังเล็กที่มี 2 สามีภรรยาที่ทำงานในฟาร์มและได้ค่าแรงวันละ 100 รูปี (ราว 44 บาท) เป็นเสาหลักของครอบครัว และมีผู้อยู่อาศัยถึง 6 คน (แม่ของบัห์กวาน, ลูกชายที่ยังหางานทำไม่ได้, ลูกสะใภ้ที่เป็นแม่บ้าน และหลานอีก 1 คน) ดูเป็นความแออัดสำหรับใครหลายคน แต่สำหรับทั้งคู่มันไม่ใช่แบบนั้น เพราะไม่ว่าจะมีปัญหาอะไรพวกเขามักจะผ่านมันมาได้เสมอ
อย่างไรก็ตามโลกไม่เคยออกแบบทดสอบง่ายๆให้กับใครได้เจอไปตลอดชีวิต อุปสรรคเรื่องความจนกับลูก 4 คน พวกเขาผ่านมาได้, อุปสรรคเรื่องการหาเงินทองเพื่อเตรียมไว้สำหรับลูกสาว พวกเขาก็ผ่านมันไปได้ด้วยคำว่ากันและกัน.... ดังนั้นโลกจึงไม่รอช้าเตรียมบททดสอบใหม่ไว้ให้ทั้งสองคนแล้ว ซึ่งรอบนี้เป็นบททดสอบระดับโหดหิน พิสูจน์ใจและพิสูจน์รักแท้แบบสุดๆ
บททดสอบพิสูจน์รักแท้
วันหนึ่งหลังจากเดินทางกลับจากฟาร์มเหมือนปกติบัห์กวาน ผู้เป็นสามีบอกกับลัตตาว่าสึกไม่สบาย ซึ่งทุกครั้งที่บัห์กวานมีอาการ ลาตามักจะดูแลและรักษาเขาด้วยวิธีพื้นบ้าน เช่น การใช้สมุนไพร ทว่าครั้งมันแปลกตรงที่นอนพักก็แล้ว แต่ยังไม่หาย เธอจึงพาสามีของเธอไปหาหมอชุมชนซึ่ง หลังจากตรวจอาการดูแล้วแพทย์ยืนยันว่าที่นี่ช่วยไม่ได้ ลัตตา และ บัห์กวาน จะต้องไปโรงพยายาลในเมืองใหญ่ ที่มีอุปกรณ์พร้อมรักษามากกว่า
Photo : .indiatimes.com
ถึงตอนนี้พวกเขาเริ่มได้กลิ่นของบททดสอบครั้งสำคัญแล้ว เพราะอย่าว่าแต่ค่ารักษาเลย ตอนนี้ค่าเดินทางเข้าเมืองก็ยังไม่มี ตอนนี้ลัตตา ต้องเลือกทิ้งศักดิ์ศรีที่เคยมีมาตลอดชีวิต แบกหน้าไปขอยืมเงินเพื่อนบ้าน, ลูกสาวทั้ง 3 คนที่ออกเรือนไปแล้ว รวมถึงเพื่อนบ้านละแวกเดียวกัน เพราะเธอไม่อาจจะปล่อยสามีของเธอเป็นอะไรไปโดยที่ยังไม่ได้พยายาม
การมาโรงพยาบาลครั้งนี้เป็นเหมือนการมาเสี่ยงดวงอย่างแท้จริง ลัตตา มีเงินเท่าที่ขอและรวบรวมมาได้ ถ้ามีเหตุการณ์อย่างเช่นเงินหาย หรือค่ารักษาแพงเกินว่าเงินที่มี เธอจะต้องแก้ไขสถานการณ์เฉพาะหน้าอย่างเดียวเท่านั้น
1
และมันก็เป็นเช่นนั้นจริงเงินที่ยืมมาหมดไปกับค่าเดินทางแล้ว แถมครอบครัวเธอไม่ใช่ชาวเมือง Baramati โดยกำเนิด (ย้ายจากเมืองอื่นมาตั้งรกรากที่นี่) ด้วย ดังนั้นเรื่องสิทธิ์การรักษาต่างๆตามที่รัฐมีให้จึงไม่สามารถใช้ได้ จึงทำให้หมอทำได้แค่วินิจฉัย และจ่ายยารักษาตามอาการไป โดยทิ้งประโยคสุดท้ายว่าสามีของเธอจะต้องได้รับการตรวจที่ละเอียดด้วยเครื่องมืออย่างเครื่องสแกน MRI เพื่อหาสาเหตุที่แท้จริงของอาการเวียนหัวหน้ามืดของบัห์กวาน
ทั้งคู่ต้องกลับมาใหม่พร้อมกับเงิน 5,000 รูปี...พวกเขาทำงานได้วันละ 100 รูปี 2 คนเท่ากับได้วันละ 200 รูปี ดังนั้นหากทั้งคู่อยากจะหาเงินมาเข้าเครื่อง MRI สแกนได้จากเงินที่ทำงาน พวกเขาทั้งคู่จะต้องทำงานทั้งหมด 25 วัน... แต่อย่าลืมว่าอาการป่วยที่ไม่ได้รับการรักษาของ บัห์กวาน อาจจะทำให้เธอต้องทำงานคนเดียว และนั่นหมายความว่า ลัตตา จะต้องทำงานทั้งหมด 50 วันโดยที่ห้ามใช้เงินแม้แต่รูปีเดียว... ถึงตรงนี้แค่นับนิ้วดูก็รู้แล้วว่าเป็นไปไม่ได้ที่จะรอนานขนาดนั้น
ทางเลือกมีเสมอ
การทำงานเพื่อหาเงินเป็นวันเเบบเก่าไม่ตอบโจทย์ เธอจำเป็นจะต้องหาเงินก้อนเพื่อพาสามีไปรักษาให้เร็วที่สุด ลัตตา จึงเริ่มไปปรึกษาคนอื่นๆในหมู่บ้าน และมีอยู่ 1 วิธี ที่เธอจะได้เงินจำนวน 5,000 รูปีพอดีเป๊ะ เพียงแต่ว่าเธอต้องทำในสิ่งที่เธอไม่เคยทำมาก่อนนั่นคือการลงเเข่งขันวิ่ง... ถึงตอนนี้อย่าลืมว่าเธอมีอายุ 61 ปีเเล้ว ณ เวลานั้น แถมยังมีเวลาเตรียมตัวไม่กี่วัน ทว่าการวิ่งครั้งนี้คือทางเลือกเดียวเท่านั้น...ถ้าไม่เริ่มออกวิ่งเธอจะต้องทำงานหลังขดหลังเเข็งไปอย่างน้อยๆก็ราวๆ 2 เดือน ดังนั้นไม่มีเหตุผลอะไรเลยที่จะไม่ลองเสี่ยงดู...
Photo : .indiatimes.com
ลัตตา เจออุปสรรคตั้งแต่เรื่องอายุ นอกจากนี้เธอยังมีรองเท้าแตะแค่คู่เดียว ไม่มีรองเท้าผ้าใบลดแรงกระเเทก ไม่มีชุดใส่สำหรับวิ่งมีแต่ชุดส่าหรี (ชุดท้องถิ่นของอินเดียที่ยาวระโยงระยาง) ที่สำคัญคือมันคงน่าแปลกที่ผู้หญิงวัย 61 ปี จะออกมาซ้อมวิ่งด้วยชุดอย่างนั้น ซึ่งเธอเองก็ยอมรับว่าเธออายที่จะต้องซ้อมวิ่งให้ใครเห็น
วิธีแก้นั้นมีอยู่ ลัตตา จะตื่นไวกว่าเดิมวันละ 1-2 ชั่วโมง ใส่รองเท้าแตะและชุดส่าหรีเดินไปเดินมาแบบไม่ให้คนสังเกตได้ เพราะแม้กระทั่งลูกชายของเธอที่ชื่อ สุนิล เองก็ไม่ได้สนับสนุนให้แม่ของเขาออกมาแข่งวิ่งกับคนอื่นๆด้วย
"ครอบครัวของฉันสนับสนุนฉันดี ในการออกไปวิ่งแข่ง ยกเว้นแต่ลูกชายของฉันที่บอกว่ามันเป็นอะไรที่น่าประหลาด เขาไม่โอเคที่ฉันจะลงแข่ง เขาบอกว่าแม่ไม่เคยซ้อม ไม่เคยแม้แต่จะวิ่งเเม่จะทำได้อย่างไร? ฉันรู้ว่าลูกเป็นห่วง แต่นั่นคือทางเดียว และฉันต้องทำมัน" ลัตตา กล่าวกับสื่อ mid-day.com
"ฉันไม่เคยวิ่งมาก่อน ถ้าวันดีคืนดีฉันเกิดวิ่งขึ้นมา คนอื่นๆที่เห็นคงรู้สึกว่ามันเป็นอะไรที่แปลกพิลึก พวกเขาคงจะต้องตอบคำถามที่ชวนกระอักกระอ่วนมากมายแน่นอน" สิ่งที่ ลัตตา บอกนั้นสามารถบ่งบอกถึงเรื่องความเสรีทางเพศในสังคมอินเดียได้เป็นอย่างดี
ลัตตา จึงเก็บเรื่องนี้เป็นความลับกับบัห์กวาน เธอไม่บอกให้ สุนิล รู้อีกเลยจากการปรึกษาครั้งนั้น... เธอแอบไปสมัครลงเเข่งขันไปแล้วด้วย
การแข่งขันครั้งนี้มีชื่อว่า Baramatikars ถือเป็นงานแข่งวิ่งครั้งแรกของเมืองนี้ โดยฝ่ายจัดจัดการแข่งขันไว้ 4 รุ่นอายุ และเพื่อเพิ่มโอกาสการเอาชนะ ลัตตา เลือกลงแข่งวิ่งในรุ่นที่ 4 คือรุ่นอาวุโส โดยมีระยะการวิ่งที่ 3 กิโลเมตร...
3 กิโลเมตรแห่งความหวัง
"เมื่อฉันได้ยินว่ามีการวิ่งแข่งฉัน ฉันรู้ว่าฉันต้องลงแข่ง ไม่ใช่เรื่องของการวิ่งเพื่อส่งเสริมการออกกำลังกายและกีฬาหรืออะไรทั้งนั้น แต่สิ่งที่ฉันต้องการมันคือเงินรางวัล 5,000 รูปี สำหรับผู้ชนะ และฉันต้องการเงินก้อนนั้นเพื่อมารักษาสามี" เธอ ไม่ได้มองว่าชัยชนะคือการเดิมพัน แต่เงินรางวัลต่างหาก ที่ทำให้เธอมาอยู่ที่เส้นออกตัวแล้ว
Photo : www.vagabomb.com
ไม่มีการซื้อรองเท้า ไม่ต้องยืดเส้นยืดสาย ไม่ต้องโหลดแป้งเพื่อการแข่งขันครั้งนี้ เธอตื่นมากินข้าวเช้า และพร้อมแล้วสำหรับการเดิมพัน 3 กิโลเมตรที่ต้องแลกเพื่อความเป็น และความตายของคู่ชีวิต แค่นี้ก็เพียงพอแล้ว
แค่ชุดของเธอก็เรียกความสนใจจากคนดูทั้งสนาม...เธอใส่ส่าหรีที่ยาวรุ่มร่ามเหมือนกับที่ใส่ทุกวัน เพียงแต่ว่าเมื่อเธอออกวิ่ง ทุกสายตาที่มองเป็นเรื่องตลกก็ต้องกลับคำพูดใหม่อีกครั้ง...
"คู่แข่งคนอื่นๆของเธอดูจะพร้อมสำหรับการแข่งขันครั้งนี้มาก แต่เธอท้าทายทุกอัตราการต่อรองด้วยการออกวิ่งและทิ้งนักเเข่งทุกคนไว้เบื้องหลังแบบไม่เห็นฝุ่น แล้วเธอก็กลายเป็นผู้ชนะ" ผู้จัดการแข่งขัน Sachin Satav เล่าถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในวันนั้น
1
สำหรับ ลัตตา เธอวิ่งไปโดยไม่ได้มองใคร เธอไม่รู้หรอกว่าใครตามหลังเธออยู่บาง เธอจำได้แค่เธอสลัดรองเท้าเเตะทิ้ง และวิ่งเข้าเส้นชัยเป็นคนแรกเท่านั้น
Photo : www.linkedin.com
"ฉันรู้สึกอึดอัดตอนที่ทุกคนมองมาที่ชุดของฉัน มันทำให้รู้สึกประหม่า แต่เมื่อการเเข่งขึ้นเริ่มขึ้นฉันแค่วิ่งและแซงพวกเขาทีละคน ทุกคร้ังที่แซงเหมือนกับพลังงานชีวิตของฉันมันพุ่งพล่าน ทุกๆก้าวที่ออกวิ่งฉันพูดกับหัวใจตัวเองว่า "ฉันชนะได้ ฉันชนะได้แน่ๆ"
1
"รองเท้าแตะฉันขาดวิ่น ฉันสลัดมันทิ้งข้างทางและวิ่งต่อไปแบบไม่หยุด" เธอจำได้แค่นั้นจนกระทั่งเงินรางวัล 5,000 รูปี จะอยู่ในมือของเธอ และกลับบ้านไปพร้อมกับเงินก้อนนั้น
ทุกอย่างไม่มีคำว่าฟลุก แม้ไม่เคยซ้อมก่อนเเข่งตลอด 1 อาทิตย์หลังรู้ข่าว แต่ตัวของ ลัตตา รู้ดีว่าเธอซ้อมและพร้อมสำหรับการวิ่งมาทั้งชีวิตแล้ว ภายใต้การทำกิจวัตรประจำวันต่างๆนั่นเอง... ครอบครัวเธอไม่มีรถ ทุกๆเช้าเธอจะต้องออกไปทำธุระ และกิจกัตรประจำวันอย่างการเดินเลี้ยงวัวและรีดนม หนำซ้ำเมื่อลูกของเธอต้องออกเรือน เธอก็มักจะเดินเท้าไปหาลูก ๆ ของเธอที่อยู่ห่างออกไปในรัศมี 5 กิโลเมตรอยู่เป็นประจำ การทำอย่างนี้ซ้ำๆมาหลายปี ย่อมดีกว่าการหักโหมภายในอาทิตย์อยู่เเล้ว...
ทันทีที่ ลัตตา ถึงบ้าน สุนิล ที่เป็นลูกชายก็ต้องประหลาดใจ เพราะคืนก่อนเขาเพิ่งเห็น ลัตตา นอนซมไข้อยู่เลย แต่ตอนเช้าเธอกลับมาพร้อมกับเงินที่ครอบครัวต้องการเสียอย่างนั้น...
"ผมรู้ว่าแม่เองก็เป็นผู้หญิงที่แข็งแรงและตั้งใจจริง แต่เป็นห่วงที่แม่ไม่สบายและมีไข้ผมเลยบอกให้แม่ลืมการแข่งวิ่งนี้ไปเถอะ แต่พอถึงตอนเช้าของวันเเข่งเธอแอบออกจากบ้านโดยไม่ได้บอกผม และกว่าผมจะรู้อีกทีแม่ก็กลับมาพร้อมเงินรางวัลเเล้ว" สุนิล กล่าว
ขณะที่ บัห์กวาน มีเพียงรอยยิ้มต้อนรับภรรยาสุดที่รักกลับบ้าน ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเขารู้สึกอย่างไร ความรู้สึกที่เป็นสามีที่ทำให้ภรรยาต้องทำในสิ่งที่คนอื่นมองว่าประหลาด คงเป็นความรู้สึกที่ตัวของ บัห์กวาน ก็คงโกรธตัวเองอยู่ไม่น้อย...
แต่สุดท้ายแล้วการเลือกเป็นคู่ชีวิตกับใครสักคน ว่ากันว่าคนสองคนจะกลายเป็น ๆ คนเดียวกัน มีสุขต้องร่วมเสพ มีทุกข์ก็ต้องร่วมต้าน บัห์กวาน ยอมรับว่า นอกจากเขาจะเป็นคู่ชีวิตของลัตตา แล้ว เขายังเป็นหนี้ชีวิตภรรยาของเขาอีกด้วย
Photo : jalsakaro.in
"เธอไม่เคยคิดถึงตัวเองเลยสักครั้ง ทุกขณะจิตของเธอมีแต่เรื่องชีวิตและอาการเจ็บป่วยของผม ผมยอมรับว่าผมเสียใจที่ทำให้เธอต้องมาทำอะไรอย่างนี้ในช่วงอายุที่ไม่ใช่น้อยๆ แต่สุดท้ายเเล้ว ผมรู้สึกว่าผมภูมิใจกับเธอมากกว่า" Bhagwan กล่าวกับ BBC
การวิ่งที่มีจุดเริ่มต้นจากการเอาเงินไปรักษาคนรัก ไม่ได้จบเพียงแค่การวิ่งครั้งเดียวเท่านั้น เพราะมันเป็นเหมือนการเปิดโลกแห่งการวิ่งให้กับ ลัตตา ได้รู้ว่า สิ่งที่เธอทำอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันสามารถทำให้เธอทำเงินได้มากกว่าการทำงานทั้งเดือน หลังจากนั้น เธอจึงกลายเป็นนักวิ่งขาประจำในรุ่นอาวุโส และเธอชนะรางวัลมากมาย จนทุกวันนี้เรื่องราวของเธอและบัห์กวาน ถูกถ่ายทอดเป็นภาพยนตร์ในอินเดียไปเป็นที่เรียบร้อยเเล้ว
เป็นอีกครั้งที่ ลัตตา และ บัห์กวาน ผ่านบททดสอบระดับบอสใหญ่ที่โลกเหวี่ยงมาให้พวกเขารับมือ... หากไม่มี ลัตตา แล้ว บัห์กวาน ก็คงต้องเสียชีวิตหรือไม่ก็ป่วยหนักไปตั้งแต่ปี 2014 โดยปัจจุบันเธอมีอายุ 68 ปีแล้ว
และแน่นอนถ้าไม่มี บัห์กวาน...ลัตตา ก็คงไม่รู้ว่าเธอเองสามารถทำอะไรจากกรอบที่สังคมขีดไว้ได้บ้าง และไม่รู้ว่าเธอสามารถทำให้การวิ่งเป็นอาชีพได้ ... เพราะก้าวแรกในการวิ่งของเธอ ก็เริ่มจากวันที่ บัห์กวาน ล้มป่วยนั่นเอง...
Photo : www.vagabomb.com
"ต่อจากนี้ฉันจะวิ่งต่อไปแน่นอน เหลือแค่เพียงเทพพระเจ้าเท่านั้นที่รู้ว่าฉันจะยังเเข็งแกร่งต่อไปแบบนี้ได้อีกเมื่อไหร่" เธอกล่าวกับ Women Planet
เมื่อมาถึงตรงนี้เรามั่นใจว่าพระเจ้าเป็นเเค่ส่วนประกอบหนึ่งเท่านั้น... 1 กำลังใจที่อยู่เคียงข้าง และสองเท้าที่ไม่เคยคิดจะหยุดตราบใดที่ยังไม่ได้สิ่งที่หวัง
ทั้งหมดนี้ถ้าไม่เรียกว่าความรัก แล้วเราจะเรียกว่าอะไรได้อีก?
บทความโดย ชยันธร ใจมูล
โฆษณา