17 ก.พ. 2020 เวลา 01:30 • กีฬา
เกมที่ยากแค่ไหน หงส์แดงก็หาหนทางเก็บชัยชนะจนได้ และเดินหน้าเตรียมสร้างสถิติมหัศจรรย์ใหม่ๆขึ้นมาอีกนับไม่ถ้วน
นี่คือบทสรุป 19 ข้อ ในเกมที่แคร์โรว โร้ด ลิเวอร์พูลชนะ 1-0 เหลืออีก 5 นัดเท่านั้น ถ้าชนะรวด พวกเขาจะเป็นแชมป์พรีเมียร์ลีก
1) ลิเวอร์พูล กับนอริช แข่งเกมสุดท้ายคือ 2 กุมภาพันธ์ ได้พักเต็มๆ 13 วันทั้ง 2 ทีมดังนั้นเรื่องความฟิตไม่มีใครได้เปรียบเสียเปรียบ สำหรับลิเวอร์พูล การพักเบรกหนีหนาวส่งผลดีให้ซาดิโอ มาเน่ ได้ฟื้นร่างกายอย่างรวดเร็ว และกลับมามีชื่อเป็นตัวสำรองในนัดนี้
เท่ากับว่ามาเน่ไม่ได้ลงเล่นแค่ 2 เกมในลีกเท่านั้น คือเกมเวสต์แฮม กับเกมเซาธ์แฮมป์ตัน คือถ้าไม่มีเบรกหนีหนาวมาพักในช่วงนี้ลิเวอร์พูลอาจไม่มีมาเน่อย่างน้อย 4-5 เกมเลยทีเดียว
2) สำหรับนอริช เกมนี้ถ้าใครเห็นแบนเนอร์ด้านหลังโกล์ จะเป็นรูปจัสติน ฟาชานู อดีตนักเตะนอริช โดยวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 1980 หรือเมื่อ 40 ปีที่แล้ว ในเกมนอริชเจอลิเวอร์พูล ฟาชานูยิงประตูสวยที่สุดในฤดูกาล โดยคนพากย์ตะโกนว่า Oh Oh what a magnificent goal! (โอ้ โอ้ ประตูสุดยอดอะไรขนาดนี้) ซึ่งประโยคนี้แหละ แฟนๆนอริชเอามาทำเป็นแบนเนอร์บนสแตนด์เพื่อสดุดีความยอดเยี่ยมของฟาชานู
ฟาชานู เป็นนักเตะคนแรกที่เปิดเผยว่าเป็นเกย์ ซึ่งได้รับแรงกดดันมหาศาลจากสังคมในช่วงนั้น ก่อนที่เขาจะฆ่าตัวตายในปี 1998 ตอนมีอายุ 37 ปี แบนเนอร์นี้ถูกจัดทำด้วยกลุ่ม LGBT ในเมืองนอริช ที่ต้องการชี้ว่าคนเป็น LGBT ก็ควรได้รับการชื่นชมในสังคมเช่นกันถ้ามีความสามารถ
3) วันนี้กล้องวีดีโอจับภาพคนในสแตนด์ 2 คน คนแรกคือโรนัลด์ คูมัน ผู้จัดการทีมชาติฮอลแลนด์ ที่มาดูฟอร์มเวอร์จิล ฟาน ไดค์, จินี่ ไวจ์นัลดุม และ ทิม ครูล ส่วนอีกคน (นาทีที่ 2.30) คือสจ๊วร์ต เว็บเบอร์ ผู้อำนวยการกีฬาของนอริช
4) เกมนี้ไลน์อัพเปลี่ยนตำแหน่งเดียวจากเกมถล่มเซาธ์ 4-0 ก่อนพักหนีหนาว คือถอดฟาบินโญ่ออกแล้วใช้งานนาบี เกอิต้าลงเล่นแทน ส่วนนัดนี้ ทาคุมิ มินามิโนะ ไม่มีอาการเจ็บเลย สมบูรณ์มาก แต่ไม่มีชื่อเป็น 1 ใน 7 สำรอง เหตุผลง่ายๆคือม้านั่งเต็มแล้ว ในเมื่อมีดิว็อค โอริกี้ กับ อดัล ลัลลาน่าที่น่าจะเป็นประโยชน์มากกว่า มินามิโนะก็เลยต้องยอมเชียร์เพื่อนอยู่ข้างสนามโดยไม่มีบทบาทกับเกมนี้
5) ก่อนเกมเริ่มแดเนียล ฟาร์เก้ ผู้จัดการทีมนอริชบอกว่าลิเวอร์พูลเป็นหนึ่งในทีมที่ดีที่สุดในประวัติศาสตร์ฟุตบอลยุโรป และยอมรับว่าเกมนี้ "ทำใจ" ว่าคงไม่มีแต้มแน่ แต่ก็ยังบอกว่ามีอีก 11 เกมให้เล่นหลังเกมเจอลิเวอร์พูลค่อยไปเก็บแต้มเอาในตอนนั้น ซึ่งแน่นอน ฟาร์เก้รู้สภาพความแตกต่างดี แต่เขาเองก็คงไม่อยากให้มีแรงกดดันกับนักเตะในทีมมากเกินไปนัก เลยออกตัวไว้ก่อน
ส่วนเป็นหนึ่งในทีมที่ดีที่สุดในประวัติศาสตร์ เป็นคำพูดเกินจริงหรือไม่ แอดมินแปลหนังสือชื่อ Zonal Marking ที่เล่าประวัติศาสตร์บอลยุโรป ไล่ดูสุดยอดทีมในแต่ละยุค ก็คิดว่าที่ฟาร์เก้พูดไม่ได้เกินเลยนะ ลิเวอร์พูลชุดนี้ ถ้าจบซีซั่นแบบสวยๆ ก็สามารถถูกยกขึ้นหิ้งได้แบบนั้นจริงๆ
6) ส่วนตัวผมไม่ค่อยชอบ การเล่นด้วยกันของ เฮนเดอร์สัน- ไวจ์นัลดุม- เกอิต้า คือมันดูทำให้แผงกองกลางไม่ค่อยบาลานซ์ ถ้าจัด 3 คนลงแบบนี้ เฮนเดอร์สันจะต้องยืนเป็นมิดฟิลด์ตัวรับ ซึ่งเฮนเดอร์สันเอาจริงๆเหมาะกับ บ็อกซ์ทูบ็อกซ์มากกว่า
7) เกอิต้า ดูยังไม่เข้าขากับเพื่อนเท่าไหร่ คือดูจากสถิติของเขาจะเห็นภาพชัดเจน ตัดบอลได้สูงสุด 5 ครั้ง เลี้ยงบอลผ่านคู่แข่งได้ 2 หน ถ้าสถิติที่เป็นทักษะส่วนบุคคล อันนี้จะทำได้ดี แต่เมื่อไปดูเปอร์เซ็นต์การจ่ายบอลเข้าเป้า เกอิต้ามีแค่ 75.7% (ไวจ์นัลดุม 96.7%, เฮนเดอร์สัน 80.3%, ฟาบินโญ่ 84%) คือเขาจ่ายเสียบ่อยสุด และเล่นยากเกินบางที มีพยายามจ่ายยัดลอดขาคู่แข่งแต่ก็ไปไม่ผ่าน
เกอิต้าทักษะดี เป็นผู้เล่นที่เก่ง แต่ยังไม่มี Harmony ในการเข้ากับเพื่อนที่ดีที่สุด ไม่แปลกถ้ามาเน่กลับมาเมื่อไหร่ อ็อกซ์เลด-แชมเบอร์เลนจะถูกเป็นตัวเลือกก่อนเขา (ถ้าหงส์จะเล่นเกมรุก) รวมถึงถ้าเจอคู่แข่งที่แกร่งๆหน่อย เชื่อว่าฟาบินโญ่ก็คงถูกเลือกก่อนแน่นอน
8 ) นัดนี้โรแบร์โต้ ฟีร์มีโน่ อาจไม่มีประตูและแอสซิสต์ แต่มี 2 ช็อตที่เขาโชว์ทริกเหนือชั้น ลูกแรกเกิดขึ้นนาทีที่ 10 เฮนเดอร์สันวางบอลยาวมาจากครึ่งสนาม ฟีร์มีโน่เกี่ยวบอลด้วยขวา ให้บอลลอยหมุนกลางอากาศแล้วเตรียมวอลเลย์ด้วยซ้าย คือถ้ากองหลังนอริชอ่านเกมไม่ทัน ลูกนี้โดนยิงหายแน่ และจะเป็นลูกที่งดงามมากด้วย
ส่วนอีกครั้งเกิดขึ้นนาทีที่ 12 เมื่อฟีร์มีโน่ จ่ายบอลแบบตวัดข้อเท้า ไปให้ไวจ์นัลดุมพอดีเป๊ะ ซึ่งบอลที่ฟีร์มีโน่จ่ายมา มันพอดีมากซะจนไวจ์นัลดุมตั้งตัวไม่ทันเลยทีเดียว เป็นลีลาที่เหนือชั้นมากจริงๆ
ช่วงท้ายเกมฟีร์มีโน่เกือบยิงประตูได้ เมื่อชาร์จลูกเปิดของอเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์หลุดกรอบไป จริงๆเขาน่าจะจบได้ แต่ด้วยความแรงในลูกเปิดของเทรนต์ก็พอเข้าใจได้ว่าทำไมคอนโทรลบอลไม่อยู่
9) เกมนี้ ที่นอริชมีลมแรงตลอดเกม มันส่งผลต่อจังหวะการครอสบอลด้านข้างของลิเวอร์พูลเช่นกัน นัดนี้เทรนต์ เปิดบอล 14 ครั้งเข้าเป้า 2 ครั้ง ส่วนโรเบิร์ตสันเปิด 8 ครั้งเข้าเป้า 2 ครั้ง คือแรงลมมันทำให้ลูกบอลน้ำหนักเกินไปหลายหนเหมือนกัน
 
คือตอนแรกก็คิดว่า เอ๊ะ พักเบรกไปสิบกว่าวันทำให้จังหวะฝืดหรือเปล่า แต่จริงๆไม่ใช่แบบนั้นหรอก สาเหตุหลักคิดว่านอริชนั้นลงไปแพ็กเกมรับแน่น แม้จะเล่นในบ้านตัวเองมากกว่า คือตั้งรับแล้วรอสวน ทำให้ลิเวอร์พูลต้องเดินหน้าบุกใส่
แล้วจะบุกยังไงล่ะ ครอสด้านข้างลมก็แรงจนไม่เข้าเป้า ส่วนเจาะตรงกลางเกอิต้าก็จ่ายติด ดังนั้นครึ่งแรกหงส์จึงยังตื้อๆอยู่ ทำให้สกอร์จบอยู่ที่ 0-0
10) เข้าครึ่งหลัง คล็อปป์ต้องเปลี่ยนมิติใหม่ๆในแนวรุก คราวนี้เขาส่งฟาบินโญ่ลงแทนไวจ์นัลดุมตั้งแต่นาที 60 และ ซาดิโอ มาเน่ลงแทนอ็อกซ์เลด-แชมเบอร์เลน ในนาทีเดียวกัน ด้วยการปรับแผนแบบนี้ ทำให้ฟาบินโญ่จะไปยืนตัวต่ำสุด และปลดปล่อยให้เฮนเดอร์สันมีอิสระมากขึ้นในการช่วยเกมรุก ขณะที่มาเน่ เมื่อถูกส่งลงก็เป็นอาวุธอันตรายอีกหนึ่งชิ้นทันที กองหลังนอริชจากที่ต้องระวังแค่ซาลาห์ กับฟีร์มีโน่ คราวนี้ก็ต้องระวังมาเน่อีกคน
11) ประตูชัย 1-0 ในเกมนี้เกิดจากการเปลี่ยนตัวนี่ล่ะ เพราะตั้งแต่ฟาบินโญ่ลงมายืนมิดฟิลด์ตัวรับในนาที 60 เฮนเดอร์สันก็ปล่อยให้ฟาบินโญ่ เป็นคนวางบอลยาวแทน ส่วนตัวเขาจะวิ่งพล่านไปทั่วสนาม ดังนั้นตอนที่เขาได้บอลตรงกลางสนามนาที 77 จึงไม่มีนักเตะนอริชคนไหนทันระวังว่าเฮนเดอร์สันจะเปิด เฮนเดอร์สันจึงมีพื้นที่เยอะมาก ก่อนจะโยนไปถึงตัวสำรองอีกคน คือซาดิโอ มาเน่
มาเน่เกี่ยวบอลด้วยขวา แล้วตวัดยิงด้วยซ้ายเสียบเสาแรกแบบเหนือชั้นสุดๆ ประเด็นสำคัญที่ต้องเช็ก VAR คือ มาเน่ไปผลักซิมเมอร์แมนก่อนหรือเปล่า ซึ่งเมื่อเช็ก VAR ไม่มีหลักฐานที่ชัดเจนพอ ว่ามาเน่ทำฟาวล์ในช็อตนี้ ผู้ตัดสินจึงยึดคำตัดสินเดิมเอาไว้
ตามทฤษฎี VAR จำเป็นต้องมีหลักฐานชัดมากพอจริงๆ ถึงจะเปลี่ยนคำตัดสินได้ และลูกนี้ถามว่ามือขวาของมาเน่ไปโดนซิมเมอร์แมนไหม ก็อาจจะใช่ แต่มันสรุปได้ว่าเป็นการฟาวล์หรือเปล่า เราไม่สามารถฟันธงได้ ดังนั้นลิเวอร์พูลจึงไม่โดนริบสกอร์คืน
12) นัดนี้แนวรับของลิเวอร์พูลเป็นหัวใจของทีมเช่นเคย คู่เซ็นเตอร์แบ็กไม่ก่อข้อผิดพลาดอะไรเลย เปอร์เซนต์จ่ายบอลเข้าเป้าสูงลิ่ว (ฟาน ไดค์ 91.8% - โกเมซ 89.5%) มีช็อตนึงที่โกเมซเหนือมาก นาที 29 เขากล้าเล่นเอง ด้วยการหลบแนวรุกของนอริชอย่างมั่นใจมากๆ คือตอนนี้ว่ากันตรงๆ มาติป กับ ลอฟเรน แย่งตำแหน่งของเขายากจริงๆ
13) ขณะที่อลิสซอน เบ็คเกอร์ เป็นอีกนัดที่พิสูจน์ให้เห็นว่า ค่าตัว 66.8 ล้านปอนด์ที่หงส์จ่ายให้โรม่า ถูกเหมือนได้เปล่าจริงๆ ช็อตที่ ลูคัส รุปป์ หลุดเดี่ยวมาแบบนั้น เขายังนิ่งพอที่จะอ่านจังหวะว่า รุปป์จะไม่ยิงเอง หรือกระชากไปอีกด้าน แต่จะจ่ายให้ตีมู ปุ๊กกี้ ที่เติมมาด้านข้างแน่ๆ และกระโจนตบบอลออกไปจากจุดอันตราย
คือปกติโกล์ดวลเดี่ยวกับกองหน้า 1-1 ผู้รักษาประตูก็เสียเปรียบมากอยู่แล้ว ยิ่งในสถานการณ์ 2-1 แบบนี้ ไม่มีวี่แววว่าจะรอดการเสียประตูได้เลย แต่อลิสซอนยังสกัดลูกนี้ทิ้งไปได้ นี่คือทักษะแบบเวิลด์คลาสจริงๆ
อีกจุดหนึ่งที่น่าทึ่งคือ จริงๆลูกนี้มีโอกาสที่จะล้ำหน้า ต่อให้ยิงเข้าก็อาจไม่ได้ แต่อลิสซอนก็ไม่ได้เสียสมาธิเขาเซฟเอาไว้ก่อน จะล้ำไม่ล้ำไม่สน สกัดบอลไม่ให้ผ่านเส้นประตูไว้ได้ค่อยว่ากัน
อลิสซอนตอนนี้คลีนชีทไปแล้ว 10 เกมในลีก (ที่ได้แค่นี้เพราะบาดเจ็บในช่วงต้นฤดูกาล) โดยสถิติสูงสุดของเขาคือ 21 คลีนชีทในฤดูกาลเดียว (2018-19) ซึ่งถ้าหากอีก 12 เกมที่เหลืออลิสซอนไม่เสียประตูเลยสักนัดเดียวเขาก็จะทำลายสถิติเดิมของตัวเองได้สำเร็จ
14) ผู้เล่นของลิเวอร์พูลวันนี้ ส่วนใหญ่เล่นได้ดีเสมอตัว ส่วนกัปตันจอร์แดน เฮนเดอร์สัน ยังคงรักษามาตรฐานได้ดี เขาทำเพิ่มได้อีก 1 แอสซิสต์ รวมแล้วซีซั่นนี้ ยิง 3 แอสซิสต์ 5 ถือว่าไม่ธรรมดา
ตั้งแต่เจอร์เก้น คล็อปป์เข้ามาคุมทีม นี่เป็นปีที่เฮนเดอร์สัน ยิงและแอสซิสต์ได้เยอะที่สุด เขาโดดเด่นขึ้น และมีส่วนกับเกมรุกอย่างแท้จริง
2015-16 ยิง 2 แอสซิสต์ 3
2016-17 ยิง 1 แอสซิสต์ 4
2017-18 ยิง 1 แอสซิสต์ 1
2018-19 ยิง 1 แอสซิสต์ 3
2019-20 ยิง 3 แอสซิสต์ 5 (และยังเหลืออีก 12 นัดให้เล่น)
15) สถิติที่น่าสนใจเล็กๆอีกหนึ่งอย่างคือ ตลอด 90 นาทีในเกมชนะนอริช ลิเวอร์พูลเลี้ยงผ่านคู่แข่งในจังหวะดวลตัวต่อแค่ 5 ครั้งเท่านั้น (เทรนต์ 1, เฮนเดอร์สัน 1,ฟีร์มีโน่ 1, เกอิต้า 2) น้อยกว่านอริชเสียอีกที่ทำได้ 6 ครั้ง
หลายคนอาจสงสัยว่าลิเวอร์พูลทำไมเลี้ยงผ่านคู่แข่งน้อยจัง คำตอบคือไม่ใช่ว่านักเตะลิเวอร์พูลทักษะไม่ดี เลี้ยงไม่ผ่านหรืออะไร แต่พวกเขาไม่ใช่การเลี้ยงบอลหลบคู่แข่งในเกมการแข่งต่างหาก กล่าวคือ ลิเวอร์พูลจะส่งบอลให้เพื่อน โดยไม่เสียเวลาครองบอลไว้กับตัวนานเกินไป ไม่จำเป็นต้องโชว์ล็อกหลบ เมื่อเพื่อนรอในตำแหน่งที่ถูกต้องแล้ว ก็ปล่อยบอลออกไป
การมีสกิลทักษะที่ดีในการล็อกหลบก็ดีแล้ว แต่เก็บเอาไว้ใช้ในการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า ล็อกหนีเพื่อเอาตัวรอด แต่ในจังหวะขึ้นเกมลิเวอร์พูลจะเลือกส่งบอล มากกว่าเลี้ยงหนีคู่แข่ง มันเป็นแนวทางการเล่นของทีมหงส์แดงในฤดูกาลนี้
16) บทสรุปเกมนี้ ลิเวอร์พูลชนะด้วยสกอร์เบาๆ 1-0 โดยที่อังกฤษใช้ประโยคในการชื่นชมลิเวอร์พูลว่า "They somehow always find a way to win" แปลว่่า พวกเขาสุดท้ายก็จะหาหนทางคว้าชัยชนะได้เสมอ ซึ่งก็เป็นแบบนั้นจริงๆตั้งแต่ต้นฤดูกาล เกมจะตื้อ เกมจะตัน แต่คล็อปป์ และนักเตะลิเวอร์พูลจะหาหนทางชนะได้เสมอจริงๆ
17) แชมป์ไม่ต้องพูดถึง เพราะแชมป์แน่นอน แต่สถิติต่างหากที่น่าสนใจกว่า ตอนนี้ลิเวอร์พูลแข่ง 26 ชนะ 25 เสมอ 1 ซึ่งในประวัติศาสตร์ของฟุตบอลยุโรป นี่เป็นผลงานใน 26 เกมแรกที่ดีที่สุดเท่าที่เคยมีการบันทึกมา
โดยสถิติ 26 เกมแรกที่ดีที่สุดก่อนหน้านี้ เป็นของบาเยิร์น มิวนิค ยุคเป๊ป กวาร์ดิโอล่า ในฤดูกาล 2013-14 แข่ง 26 ชนะ 24 เสมอ 2 นั่นแปลว่าพอหงส์แดงทำได้ ก็โค่นสถิติอันเหนือชั้นของบาเยิร์นยุคนั้นได้สำเร็จ
18) กับอีกหนึ่งประเด็นที่น่าสนใจพอๆกัน คือแชมป์ที่เร็วที่สุดในประวัติศาสตร์พรีเมียร์ลีก โดยตั้งแต่ลีกก่อตั้ง ทีมที่ได้แชมป์เร็วที่สุดคือแมนฯยูไนเต็ด ฤดูกาล 2000-01 ยุคเซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ได้แชมป์วันที่ 14 เมษายน หลังจากลงเล่นไป 33 นัดในลีก
แต่ถ้าหากลิเวอร์พูลชนะรวดได้ในอีก 5 เกมที่เหลือ (กรณีที่แมนฯซิตี้ก็ชนะรวดเช่นกัน) ทีมหงส์แดงจะได้แชมป์ในวันที่ 22 มีนาคม หลังจากลงเล่นไป 31 เกม ซึ่งเป็นการโค่นสถิติเดิมของแมนฯยูไนเต็ดยุครุ่งเรืองลงได้อย่างราบคาบ
19) ดังนั้นสิ่งที่คล็อปป์ปวดหัวที่สุดตอนนี้ คือการจัดทัพอย่างไร ถ้าจัดเพื่อเป้าหมายทริปเปิ้ลแชมป์ เอาให้ครบทุกถ้วย ทั้งลีก เอฟเอคัพ และแชมเปี้ยนส์ลีก ซึ่งถ้าหวังเป้าหมายแบบนี้ คล็อปป์อาจต้องผ่อน ในเกมลีกบางนัดเพื่อให้นักเตะสดที่สุดกับรายการอื่น
แต่ถ้าจัดเพื่อทำสถิติตัวเลขดีที่สุดในพรีเมียร์ลีก เขาก็ต้องส่งตัวจริงลงบู๊ในลีกทุกนัด ซึ่งอาจส่งผลให้ในเกมยุโรปมีอาการอ่อนล้าก็เป็นได้
ในขณะที่ทีมอื่นปวดหัวว่าจะจัดทัพอย่างไรถึงชนะคู่แข่ง แต่ปัญหาปวดหัวของคล็อปป์คือจะลุ้น 3 แชมป์ หรือลุ้นแชมป์ไร้พ่ายดี เรียกได้ว่าเป็นปัญหาที่แตกต่างกับชาวบ้านเขาอย่างแท้จริง
#Liverpool #Norwich
โฆษณา