19 ก.พ. 2020 เวลา 12:57 • กีฬา
แม้ลิเวอร์พูล จะแพ้แอตเลติโก้ มาดริด 1-0 แต่สำนักพนันถูกกฎหมายทั่วโลก ยังยกให้ลิเวอร์พูลเป็นเต็ง 2 ที่จะได้แชมป์ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีกในซีซั่นนี้ (และแน่นอน เต็ง 1 ไม่ใช่แอตเลติโก้)
ทำไมในมุมของเซียน ถึงมั่นใจว่าหงส์ยังมีดีกว่าเยอะที่จะผ่านเข้ารอบต่อไป ทั้งๆที่ฟอร์มในเกมที่มาดริด ถือว่าต่ำกว่ามาตรฐาน และยิงไม่ตรงกรอบเลยแม้แต่ครั้งเดียว นี่คือบทสรุป 21 ข้อจากเกมที่ว่านต๋า เมโตรโปลิตาโน่ สเตเดี้ยม กับศึกแชมเปี้ยนส์ลีกรอบ 16 ทีมสุดท้าย เลกแรก
1) นี่คือสนามแห่งความทรงจำของลิเวอร์พูล เป็นสังเวียนที่พวกเขาคว้าแชมป์ยุโรปสมัยที่ 6 ดังนั้นก่อนเกมหลายคนคิดว่า ลิเวอร์พูลน่าจะมีความมั่นใจเป็นพิเศษกับการแข่งขันนัดนี้
6 สนามที่ลิเวอร์พูลได้แชมป์ยุโรป ย้อนความจำกันหน่อย
1977 - โอลิมปิโก้ (โรม,อิตาลี)
1978 - เวมบลีย์ (ลอนดอน,อังกฤษ)
1981 - ปาร์ก เดอ แปรงซ์ (ปารีส,ฝรั่งเศส)
1984 - โอลิมปิโก้ (โรม,อิตาลี)
2005 - อตาเติร์ก (อิสตันบูล,ตุรกี)
2019 - ว่านต๋า (มาดริด,สเปน)
อย่างไรก็ตาม อย่าลืมว่ามันคือบ้านของแอตเลติโก้ มาดริด เป็นสนามที่นักเตะคุ้นเคยอย่างดี เล่นกันอยู่ทุกวันดังนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายที่ลิเวอร์พูลจะเจาะเข้าทำ
2) ในบรรดาอีก 15 ทีมที่เหลือในรอบน็อกเอาต์ แชมเปี้ยนส์ลีก แอตเลติโก้ มาดริด มีสไตล์ที่ลิเวอร์พูลไม่ถูกจริตที่สุด นั่นคือเกมรับแน่นมาก และยินดีให้หงส์ครองบอลเพื่อเข้าทำ ตามปกติจังหวะของลิเวอร์พูล อาวุธไม้ตายของเจอร์เก้น คล็อปป์ คือเกมเคาน์เตอร์ แอทแท็ก แต่คำถามคือคุณจะสวนอย่างไร ในเมื่ออีกฝ่ายไม่ได้คิดจะเปิดหน้าลุยใส่คุณ
3) สถิติที่น่าเหลือเชื่อของแอตเลติโก้ มาดริด คือเสียประตูน้อยสุดในลาลีกา 4 ปีหลังสุด และใน 6 ปีที่ผ่านมาไม่เคยเสียประตูเกิน 30 ลูกต่อฤดูกาล คือไม่ว่าจะเปลี่ยนกองหลังเป็นชุดไหน แต่ในเมื่อผู้จัดการทีมยังเป็นดีเอโก้ ซิมิโอเน่คนเดิม ก็ทำให้ทีมตราหมี ยังคงมีวินัยเกมรับที่สุดยอด ไม่มีเสียประตูให้คู่แข่งกันง่ายๆอยู่แล้ว
4) เกมนี้เจอร์เก้น คล็อปป์ งัด 11 ตัวจริงที่ดีที่สุดลงสนาม ฟาบินโญ่ ที่โดนพักสำรองในเกมนอริช คัมแบ็กออกสตาร์ตตัวจริง เช่นเดียวกับซาดิโอ มาเน่ กลับมายืนเป็นตัวจริงอีกครั้ง เรื่องความสด แอตเลติโก้ได้เปรียบกว่าเล็กๆ เพราะนอกจากจะไม่ต้องเดินทางแล้ว ยังพัก 3 ตัวหลักในเกมลีกนัดล่าสุดกับบาเลนเซีย คืออัลบาโร่ โมราต้า, โทมัส เลอมาร์ และ ซิเม่ แวร์ซัจโก้ ส่วนลิเวอร์พูล ใช้ 10 จาก 11 ตัวจริงในเกมนอริช ลุยต่อกับแอตเลติโก้ มาดริดทันที
5) แผนของแอตเลติโก้ มาดริด คือ 4-4-2 เป็นแผนที่ไม่ถูกชะตากับลิเวอร์พูลเลย ในซีซั่นนี้ทีมเดียวที่ชนะลิเวอร์พูลได้คือนาโปลี ของคาร์โล อันเชล็อตติ ซึ่งก็ใช้แผนนี้เหมือนกัน จุดเด่นของ 4-4-2 คือมีตัวริมเส้นสองคน (ฟูลแบ็ก กับปีก) มันทำให้การเติมเกมของเทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ และ แอนดรูว์ โรเบิร์ตสันเข้าถึงพื้นที่สุดท้ายได้ยากขึ้น เพราะมีสองตัวคนซ้อนตลอด
6) จากที่ดูลิเวอร์พูลมาทุกนาที ตั้งแต่เกมแรกของฤดูกาล ใช่ ลิเวอร์พูลชุดนี้แข็งแกร่งจริงๆ แต่มีอยู่วิธีหนึ่งที่ทำให้หงส์แดงอึดอัดที่สุดนั่นคือการวางหมากมาเล่นเกมรับ อยากบุกก็บุกมา เราขอยัน 0-0 เอาไว้ก่อน จากนั้นค่อยฉกฉวยจังหวะจากลูกเซ็ตพีซ หรือไม่ก็หวังว่าแนวรับของลิเวอร์พูลจะเล่นพลาดสักหนจนให้โอกาสส่องประตู ทีมไหนคิดจะแลกกับลิเวอร์พูลเมื่อไหร่ คือโดนอย่างเดียว
1
ตัวอย่างเช่นเกมกับคริสตัล พาเลซ ที่เล่นในบ้านตัวเองแต่ปล่อยให้หงส์ครองบอลถึง 60% ซึ่งก็เกือบยันเสมอได้แล้ว แต่มาโดนทีเด็ดของฟีร์มีโน่ในช่วงท้ายเกม หรือเกมกับนอริช นัดล่าสุด นอริชปล่อยให้หงส์ครองบอล 63.3% และก็เกือบจะดึงผลเสมอได้ด้วย แต่มาโดนมาเน่ยิงท้ายเกม
7) ที่ผ่านมาลิเวอร์พูลเอาชนะทีมจอมอุดได้ตลอด นั่นเพราะจังหวะเข้าทำของทีมเล็กๆในลีกมันไม่คม แต่พอมาเป็นแอตเลติโก้ มาดริด เกมรับก็แน่นปึ้ก ส่วนลูกเซ็ตพีซก็มีทีเด็ด สุดท้ายลิเวอร์พูลก็เลยโดนนำ 1-0 จากลูกคอร์เนอร์
ว่ากันตรงๆลิเวอร์พูลยืนสับสนไปหน่อย ในกรอบเขตโทษมีนักเตะลิเวอร์พูลทั้ง 11 คน ยืนอยู่ ส่วนแอตเลติโก้ มีแค่ 4 คน แต่ทว่า 11 คนของลิเวอร์พูลยืนกันสับสน แต่ละคนไม่มีคู่ของตัวเอง สุดท้ายบอลตกมาโดนเท้าฟาบินโญ่ เด้งเข้าทางซาอูล ยิงจ่อ 3 หลาเข้าไป คือในซีซั่นนี้ นี่เป็นการป้องกันเซ็ตพีซที่พลาดที่สุดของหงส์แล้ว
เตะมุมครั้งแรกก็โดนเลย เหมือนสมาธิจะยังไม่อยู่กับตัว ซึ่งพอโดนนำแล้วมันเลยเข้าทางแอตเลติโก้ มาดริด ที่พอใจสกอร์นี้อยู่แล้ว
8 ) ลิเวอร์พูลพยายามเจาะแล้ว โรเบิร์ตสันครอสเข้ามาตรงกลาง ถ่างออกไปให้อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ มาเน่พยายามลงมาช่วยตรงกลาง เฮนเดอร์สันพยายามวิ่งทั่วสนาม แต่เมื่อเจอวินัยเกมรับขนาดนี้ หงส์ไม่รู้จะไปอย่างไรเหมือนกัน ใน 25 นาทีแรก ลิเวอร์พูลครองบอลถึง 74% แต่โอกาสยิง 0 ครั้ง ตรงข้ามกับแอตเลติโก้ที่ครองบอลแค่ 26% แต่สร้างโอกาสไปได้แล้วถึง 4 ครั้ง โอกาสดีที่สุดของลิเวอร์พูลคือซาลาห์ ยิงไปชนหัวเฟลิเป้ออกหลัง เกมรุกไม่มีความน่ากลัวอย่างสิ้นเชิง
9) ปัญหาที่คล็อปป์เองก็คงคาดไม่ถึง คือแอตเลติโก้ มาดริด ทั้งๆที่เล่นในบ้านตัวเองกลับกล้ารับลึกแบบนี้ มันทำให้สามมิดฟิลด์ของลิเวอร์พูล คือฟาบินโญ่ (DMC) เฮนเดอร์สัน (MC) และ ไวจ์นัลดุม (MC) ไม่ได้ใช้ประโยชน์ที่สุดของตัวเอง กล่าวคือ 3 คนนี้ยืนด้วยกัน จะทำให้เกมรับแน่นมาก คู่แข่งเจาะยาก แต่ในเมื่อแอต.มาดริด เขาไม่คิดจะเจาะตรงกลาง แล้วอัด 3 ตัวแน่นตรงกลางมันจะมีประโยชน์อะไร
10) นี่เป็นเกมที่ซาดิโอ มาเน่ เล่นยากมากๆ เขาโดนอัดหนัก ล้มเสียบตลอด และแทบไม่ได้ฟาวล์เลย นั่นทำให้เขาเริ่มหงุดหงิดขึ้นเรื่อยๆ ในนาทีที่ 45 เราเห็นแวร์ซาจโก้ เหนี่ยวมาเน่แบบเนียนๆแล้วปล่อยออก จนมาเน่ร่วงกับเพื่อน แต่ไม่มีการฟาวล์เกิดขึ้น ส่งผลให้ในอีกไม่กี่วินาทีต่อมา มาเน่มีเอาศอกไปดันใส่หน้าของแวร์ซาจโก้ ซึ่งผู้ตัดสินบางคน อาจแจกใบเหลืองให้เขาได้เลย และจะเป็นการไล่ออกจากสนามทันที แต่ผู้ตัดสินยังใจดีอยู่ นั่นทำให้คล็อปป์ไม่พร้อมเสี่ยง เข้าครึ่งหลังเขาถอดมาเน่ แล้วส่งดิว็อค โอริกี้ลงแทนทันที
เกมนี้ มาเน่ได้ยิง 0 ครั้ง จ่ายบอลสำคัญ 0 ครั้ง ถ้าเล่นดีคล็อปป์อาจเสี่ยงเก็บไว้ต่อ แต่ฟอร์มไม่ดี และดูมีอารมณ์ขึ้น นั่นทำให้ เขาต้องโดนถอดออกทันที
11) เกมนี้เป็นวันที่ฟูลแบ็กลิเวอร์พูลมีประสิทธิภาพน้อยที่สุดในฤดูกาลนี้ เทรนต์ ครอสบอล 17 ครั้ง เข้าเป้าแค่ 3 ครั้ง คือเขาไม่ได้เปิดบอลง่ายๆ จะมีตัวประกบ ตัวแซะ คอยกวนใจอยู่ตลอด เช่นเดียวกับโรเบิร์ตสัน ที่ทั้งเกมได้ครอส 5 ครั้ง เข้าเป้าแค่ 1 หน กลยุทธ์ใช้ปีก+ฟูลแบ็ก ป้องกันเทรนต์กับโรเบิร์ตสันถือว่าได้ผลดีจริงๆ ลิเวอร์พูลขาดอาวุธเข้าทำในนัดนี้จริงๆ
มีช็อตนึง นาที 74 เทรนต์ เทรนต์ได้บอลด้านขวา โดนนักเตะแอตเลติโก้เพรสเร็ว จึงรีบถ่ายบอลข้ามฟากมาให้โรเบิร์ตสันที่ฝั่งซ้ายสุด โรเบิร์ตสันเอี้ยวตัวครอสบอลให้ผ่านแบ็กขวาแวร์ซัจโก้ แต่ก็ไปติดมิดฟิลด์ของแอตเลติโก้อีก คือมันไปไม่ได้จริงๆ
12) นี่เป็นครั้งแรกในฤดูกาลที่ เว็บไซต์ Whoscore ให้คะแนนักเตะลิเวอร์พูล ทั้ง 14 คนที่ลงสนาม มีคะแนนสูงสุดแค่คนเดียวคือ 7.0 คะแนน ได้แก่โจ โกเมซ แต่คนอื่นๆ คะแนนต่ำกว่า 7 หมด โดยโม ซาลาห์ได้คะแนนน้อยที่สุดในทีม 5.9 คะแนน สาเหตุได้คะแนนแค่นั้น เพราะพวกเขาครองบอลเยอะ แต่หาช่องจบสกอร์ไม่ได้ และตกอยู่ในเกมของแอตเลติโก้ มาดริดตลอด
13) เกมนี้จบที่สกอร์ 1-0 แต่ถ้าไปดูเปอร์เซ็นต์การครองบอล ลิเวอร์พูลนั้นสูงถึง 67% ต่อ 33% แต่น่าทึ่งที่นอกจากเรื่องเปอร์เซ็นต์การครองบอล แอตเลติโก้ เหนือกว่าทุกอย่าง โอกาสยิงมากกว่า, เลี้ยงบอลผ่านมากกว่า, เอาชนะลูกกลางอากาศมากกว่า และ ตัดบอลได้บ่อยกว่า แถมยังเสียใบเหลืองน้อยกว่าอีกด้วย
14) จุดที่ทำให้การตั้งเกมรับของแอตเลติโก้ มาดริดไม่โดนลิเวอร์พูลเจาะได้คือ ความขยันในการวิ่งของลูกทีมดีเอโก้ ซิมิโอเน่ ระยะรวมที่แอตเลติโก้ วิ่งได้ในนัดนี้คือ 113.22 กิโลเมตร ส่วน ลิเวอร์พูล 107.76 กิโลเมตร วิ่งมากกว่ากัน 5.46 กิโลเมตร พวกเขาไม่ได้ยืนรับลึกแบบปล่อยให้ลิเวอร์พูลวิ่งได้อิสระ แต่ตั้งรับไป แล้วก็เพรสซิ่งไปด้วย ทำให้ลิเวอร์พูลเล่นยากมาก
ถ้านักเตะคนหนึ่งเฉลี่ยวิ่งราวๆ 11 กิโลเมตรต่อเกม ระยะที่นักเตะแอตเลติโก้วิ่งมากกว่าลิเวอร์พูลคือ 5.46 กิโลเมตร แปลว่า เหมือนมีนักเตะเพิ่มเข้ามา 0.5 คนกันเลยทีเดียว ซึ่งในเกมฟุตบอล ถ้าคุณมี 11 คนครึ่ง สู้กับ 11 คน ยังไงก็ได้เปรียบมากกว่าอยู่แล้ว
15) จบ 90 นาที แอตเลติโก้ชนะ 1-0 ลิเวอร์พูลยิงไม่เข้ากรอบแม้แต่หนเดียว (โดยจังหวะซาลาห์ยิงติดหัวไม่นับเป็นลูกเข้ากรอบด้วย) คือจะว่าลิเวอร์พูลเล่นไม่ดีก็ไม่ใช่ แต่จังหวะมันเป็นไปตามที่แอตเลติโก้วางหมากเอาไว้มากกว่า พอมาเน่ โดนเปลี่ยนไป แล้วซาลาห์ก็ตามไปอีกคน มันกลายเป็นว่าลิเวอร์พูลหมดทีเด็ดเข้าทำไปแล้ว และแอตเลติโก้ ก็พอใจอย่างยิ่งที่จะดึงเวลาไปเรื่อยๆให้จบที่ 1-0
16) อีกอย่างคือลิเวอร์พูลโชคไม่ดีในหลายๆช็อตที่กรรมการโปแลนด์เป่าไม่เป็นใจด้วย มีช็อตในครึ่งแรกที๋ซาลาห์แย่งบอลจากโลดี้ได้ที่มุมธงฝั่งขวา แต่โลดี้ทำท่าเหมือนโดนเตะล้มไปกุมขากับพื้น และกรรมกาเป่าฟาวล์ให้ด้วย ซึ่งในช็อตนี้ก็เห็นชัดเจนว่า ซาลาห์เอาเท้าดึงบอลออกมาโดยไม่สัมผัสตัวคู่แข่งเลย แถมไลน์แมนก็อยู่ใกล้กับเหตุการณ์มากแท้ๆ ลิเวอร์พูลก็ยังเสียฟาวล์ได้ คือถ้าไม่ฟาวล์อาจจะเลี้ยงลุยไปจนยิงประตูได้ก็ได้
รวมถึงช็อตขึ้นนำ 1-0 ตอนแรกแอตเลติโก้ได้ทุ่ม ซึ่งจังหวะทุ่มนั้นจริงๆภาพช้าเห็นชัดว่าโดนหัวโมราต้าออกข้าง แต่กรรมการให้ทุ่มผิดฝั่ง จนนำมาซึ่งเตะมุมในเพลย์ต่อมา และเป็นประตูขึ้นนำของเจ้าบ้าน ถือว่าการเป่าไม่เข้าข้างให้ลิเวอร์พูลหลายเพลย์ในนัดนี้
1
17) อย่างไรก็ตามถามว่า ลิเวอร์พูลควรจะกังวลใจไหม คำตอบคือไม่ เพราะเกมยังมีเลกที่ 2 และด้วยสกอร์แค่ 1 ลูกสถานการณ์มันพลิกได้เสมอ
ย้อนกลับไปในซีซั่นที่แล้ว รอบ 16 ทีมสุดท้ายของชปล. แอตเลติโก้ มาดริด เล่นในบ้านเจอยูเวนตุส พวกเขาใช้แผนเดียวกับนัดเจอหงส์เกมนี้เปี๊ยบ คืออุดอย่างเดียว ปล่อยให้ยูเว่ครองบอลไปแม้จะเล่นในบ้านตัวเองก็ตาม เกมนั้นแอต.มาดริด มีเปอร์เซ็นต์การครองบอล 38% ยูเว่ 62%
จากนั้น ก็ได้สองประตูจาก 2 เซ็นเตอร์แบ็ก ในจังหวะเตะมุม 1 ลูก และฟรีคิก 1 ลูก คือกลยุทธ์เดิมๆที่ได้ผลในปีก่อน ตั้งรับ วิ่งให้เยอะ และรอจังหวะเซ็ตพีซ ทำให้แอต.มาดริด ชนะในเลกแรก 2-0
แต่พอกลับไปเล่นทีบ้านยูเว่ในเลกที่ 2 ล่ะ? แอตเลติโก้ ใช้กลยุทธ์เดิมคืออุด (ครองบอล 39%) แต่บรรยากาศในการเล่นที่บ้านของยูเว่ มันไม่เหมือนกันแล้ว เสียงเชียร์ปลุกเร้าให้ยูเว่ไล่เดินหน้าบดไปเรื่อยๆ และบรรยากาศก็ทำให้กรรมการเป่าเทไปให้ยูเว่ง่ายกว่าด้วย ทำให้แอตเลติโก้ มาดริด ไม่สามารถเหนียวแน่นได้เหมือนเลกแรก พวกเขาโดนยิง 3 ลูก ร่วงตกรอบไปด้วยสกอร์ 3-2
18) ดังนั้นมันก็คล้ายๆกับการเจอลิเวอร์พูล แอตเลติโก้ มาดริดจะเล่นเกมรับแน่นอนที่แอนฟิลด์ แต่คำถามคือลิเวอร์พูลจะตื้อสองเกมติดเลยหรือเปล่าล่ะ? ถ้าลิเวอร์พูลยังเจาะไม่ได้อีกก็สมควรที่จะตกรอบแล้ว
19) จริงๆลิเวอร์พูล ได้เปรียบมากกว่าเยอะนะ ในเลกสอง เพราะพวกเขาจะเจอบอร์นมัธ ที่แอนฟิลด์ ในวันเสาร์ที่ 7 มีนาคม ก่อนเจอแอตเลติโก้ วันที่ 11 มีนาคม ซึ่งคล็อปป์อาจพักตัวหลักเอาไว้ได้หลายคนเลย เพื่อให้ฟิตสมบูรณ์ที่สุด เพราะยังไงในลีกก็การันตีแชมป์ไปแล้ว ขณะที่แอตเลติโก้ จะแข่งวันเสาร์ที่ 7 เหมือนกัน เจอกับคู่แข่งที่บี้แย่งอันดับ 4 เหมือนกันคือเซบีญ่า (ตอนนี้แต้มเท่ากันในลีก) ดังนั้นพวกเขาต้องจริงจังและส่งชุดใหญ่ลงบู๊แน่ๆ นอกจากนั้นยังต้องเสียเวลาเดินทางมาแอนฟิลด์อีก
ดังนั้นลิเวอร์พูลได้เปรียบทุกอย่างในเลกที่ 2 คือมีช่องให้พักตัวหลักมากกว่า ได้เล่นในสนามที่คุ้นเคยกว่า และพลังของแอนฟิลด์ในค่ำคืนยูโรเปี้ยนไนท์ จะเป็นบทพิสูจน์อีกครั้ง ว่าจะช่วยผลักดันให้ทีมคว้าชัยได้หรือไม่
20) ตอนนี้ ลิเวอร์พูลมีห่วงเล็กๆคืออาการของจอร์แดน เฮนเดอร์สัน ที่แฮมสตริง แต่ตัวที่เหลืออยู่ก็ยังมีศักยภาพมากพอที่จะบดเอาชนะแอตเลติโก้ได้อยู่ดี
ปิดท้ายที่สำนักพนันถูกกฎหมายทั่วโลก แม้ลิเวอร์พูลจะแพ้นัดแรก แต่ยังยกให้เป็น เต็งสองที่จะคว้าแชมป์ยุโรป (เป็นรองแค่แมนฯซิตี้ทีมเดียว เหตุผลคือซิตี้ ต้องเล่นแบบลืมตายแน่ๆ เพราะอาจเป็นครั้งสุดท้ายที่ได้มารายการนี้) ขณะที่แอตเลติโก้ เป็นเต็ง 8 แสดงว่าสายตาของเซียน สกอร์ 1-0 มันไม่ได้มีความหมายอะไรเลย
21) เกมฟุตบอลเหย้าเยือน เป็นทีเด็ดของเจอร์เก้น คล็อปป์เสมอ ตั้งแต่ย้ายมาลิเวอร์พูล ในรายการยุโรป 3 ซีซั่นมาแล้ว เขาพาทีมเข้าชิงชนะเลิศได้แบบ 100% ดังนั้น การจะบอกว่าลิเวอร์พูลจะตกรอบ 16 ทีมสุดท้ายเพราะแพ้ 1-0 ในเลกแรกน่ะหรอ? บอกได้เลยว่า คล็อปป์ไม่ยอมง่ายๆแบบนั้นหรอก
#Liverpool
โฆษณา