20 ก.พ. 2020 เวลา 00:00 • กีฬา
[ #หนักแน่นในศรัทธา ]
ดีเอโก้ ซิเมโอเน่ โดนข้อกล่าวหามาตลอดว่าเป็นพวก "แอนตี้ฟุตบอล"
อย่างที่้เราเห็นกันเขาเป็นกุนซือที่เน้นการต่อสู้ด้วยแท็คติกล้วนๆ หลังบ้านขันนอตแน่นหนา เวลาขึ้นนำแล้วปิดเกมได้แน่นอนมากๆ โดยเฉพาะนัดสำคัญ
แต่ ซิเมโอเน่ หรือที่ผู้คนเรียกกันว่า โชโล่ ไม่ได้แคร์เลย ตรงกันข้ามกลับยอมรับความจริง
ในเมื่อจุดแข็งของแอตเลติโก้ มาดริดอยู่ตรงนี้ ฉะนั้นต้องรีดเค้นออกมาให้เยอะที่สุด หากทำแล้วชนะนั่นหมายความว่าตรงตามเป้าหมายที่วางไว้
เพราะยึดมั่นในคติ "En la vida, hay que creer" ซึ่งในภาษาสเปนคือคุณต้องมีความเชื่อ เขาจึงยืนหยัดในความเป็นตัวตนเรื่อยมา หนักแน่นไม่หวั่นไหวไปกับสิ่งเร้าอะไรทั้งสิ้น
นับตั้งแต่เข้ามาคุมตราหมีในปี 2011 ซิเมโอเน่ ก็ค่อยปรับเปลี่ยนทีมไปในแนวทางของตน จนถึงขั้นก้าวขึ้นมาท้าทายสองขั้วอำนาจทั้งเรอัล มาดริดและบาร์เซโลน่าได้
การครองแชมป์ลาลีกาในฤดูกาล 2013/14 พร้อมทั้งเข็นทีมเข้าชิงยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีกอีก 2 ครั้ง นับเป็นผลงานระดับมาสเตอร์พีซอย่างแท้จริง
นั่นยังไม่นับการจบท็อปโฟร์มาตลอด เป็นใบเบิกทางให้เข้าร่วมโม่แข้งยูซีแอลเรื่อยมา
สำหรับแฟนบอลแอตเลติโก้ มาดริดนี่คือปรากฏการณ์อย่างแท้จริง นับตั้งแต่สโมสรแห่งนี้ก่อตั้งขึ้น เคยผ่านเข้าถึงรอบชิงถ้วยใหญ่ยุโรปเพียงสมัยเดียวเท่านั้น เกิดขึ้นเมื่อต้นทศวรรษ 70
ส่วนแชมป์ลีกครั้งล่าสุดต้องถอยหลังไปไกลถึงซีซั่น 1995/96 สมัย ราโดเมียร์ อันทิช ยังเป็นกุนซือ มันเป็นการควบแชมป์โกปา เดล เรย์อีกรายการด้วย นับเป็นอีกหนึ่งช่วงเวลาทองแท้จริง
อย่างไรก็ตามมันเหมือนพลุที่ถูกจุดขึ้นฟ้าแล้วตกลงมาอย่างรวดเร็ว เพราะแอตเลติโก้ไม่อาจรักษามาตรฐานอันยอดเยี่ยมนี้ไว้ได้ เก่งแค่ซีซั่นเดียวแล้วเลี้ยวกลับไปจุดเดิม
2 ฤดูกาลถัดมาหลุดไปอันดับ 5 และ 7 ตามลำดับ ย่อมสะท้อนความจริงนี้อย่างชัดเจน
การรักษาผลงานยอดเยี่ยมไว้สม่ำเสมอเป็นโจทย์ที่หินมากๆ สำหรับสโมสรที่ไม่ได้มีงบประมาณก้อนโตเหมือนเรอัล มาดริดและบาร์เซโลน่า
แต่ โชโล่ แสดงให้เห็นแล้วว่าทำได้ ภายใต้เงื่อนไขและข้อจำกัดต่างๆ แอตเลติโก้ยกระดับกลายเป็นทีมแถวหน้าในระนาบเดียวกับสองมหาอำนาจ
เขาเปลี่ยนบุคลิกของทีมอย่างสิ้นเชิง จนไม่มีใครอยากจะเผชิญหน้าด้วย นี่คือคู่ต่อสู้ที่เล่นด้วยยากสุดแล้ว
ลิเวอร์พูลที่ว่าเกรียงไกรไร้เทียมทานสุดในพ.ศ.นี้ เพิ่งตกเป็นผู้ประสบภัยรายล่าสุดเมื่อต้องมาเยือนเอสตาดิโอ เมโทรโปลิตาโน่
เอ็นริเก้ เซเรโซ่ ท่านประธานประกาศเลยว่านักเตะทุกคนสามารถย้ายออกจากทีมได้ หากมีข้อเสนอที่น่าพอใจกับทั้งสามฝ่าย
แต่สำหรับกุนซือคนนี้ไม่มีทางเด็ดขาด หวงแหนยิ่งกว่าไข่ในหิน ฟูมฟักรักษาราวกล่องดวงใจ
จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่ ซิเมโอเน่ จะกลายเป็นกุนซือที่มีค่าจ้างแพงสุดในวงการลูกหนังเหนือ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า , โชเซ่ มูรินโญ่ หรือ เจอร์เก้น คล็อปป์ ที่มีการปรับสัญญาหมาดๆ
จากข้อมูลของเล กิ๊ปสื่อกีฬาทรงอิทธิพลของฝรั่งเศสเมื่อ 3 วันก่อนระบุว่า โชโล่ มีรายได้ปีละ 36.2 ล้านปอนด์ มากกว่าอันดับสองคือ เป๊ป ที่รับราว 20 ล้านเท่านั้น ทิ้งกันเกือบเท่าตัว
บวกลบคูณหารแล้วตกสัปดาห์ละ 750,000 ปอนด์ ซึ่งมากกว่านักเตะทุกคนในพรีเมียร์ลีกปัจจุบัน
ผลงานซีซั่นนี้ของแอตเลติโก้ไม่เปรี้ยงอย่างที่เคย ตามหลังเรอัลจ่าฝูงถึง 10 คะแนนบนตารางลาลีกา โอกาสลุ้นแชมป์ริบหรี่เหลือเกิน
มีข่าวลือออกมาเรื่อยๆว่า อาจเกิดการเปลี่ยนแปลงกุนซือ เพราะ โชโล่ น่าจะถึงจุดอิ่มตัวแล้ว แพสชั่นหรือความกระหายไม่น่าจะเหมือนเดิม
พอเห็นท่าสถานการณ์เริ่มอึมครึม เซเรโซ่ รีบออกมาสยบข่าวต่างๆทันที บอกคำเดียวว่าจะไม่มีอะไรเกิดขึ้นอย่างเด็ดขาด ซิเมโอเน่ ยังเป็นกุนซือต่อไป ตราบเท่าที่อยากจะเป็น
ยิ่งกว่าชัดเจนอีกว่าเขามีความสำคัญกับตราหมีมากแค่ไหน
แต่กว่าจะก้าวมาถึงจุดนี้เพื่อให้ทุกคนยอมรับ ต้องเดินหน้าฝ่าอุปสรรคแลกกับหยาดเหงื่อมานับไม่ถ้วน ตั้งแต่สมัยเป็นนักเตะแล้ว
สองข้างทางไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ มีแต่พงหญ้าขวากหนามเต็มไปหมด
อย่างไรก็ตามมันหล่อหลอมให้เขาแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ เดินหน้าในแบบของตัวเองอย่างมั่นคง
ตอนอายุ 17 ปี ซิเมโอเน่ ตื่นเต้นมากๆ เมื่อมีจดหมายเชิญให้เข้าร่วมทีมชาติอาร์เจนตินาชุดอายุต่ำกว่า 20 ปี
เขาต้องเดินทางมายังใจกลางบูเอโนส เอเรสเมืองหลวงเพื่อมารายงานตัว ปรากฏว่าจำเวลาผิด ตกขบวนคนอื่นๆ ซึ่งนั่งรถบัสไปซ้อมกันแถบย่านชานเมืองแล้ว
มีเพื่อนอีกคนหนึ่งชื่อ โมฮัมเหม็ด เป็นเพื่อนร่วมชะตากรรมมาช้าเหมือนกัน จึงอาศัยรถสาธารณะ ทั้งรถไฟใต้ดิน รถเมล์กระทั่งเหลือต่อสุดท้าย เงินหมดเกลี้ยงไม่เหลือเลย
โมฮัมเหม็ด เล่าให้ฟังถึงวีรกรรมกล้าและบ้าบิ่นของ โชโล่ ที่ขึ้นรถไปหาคนขับที่ด้านหน้า แล้วอธิบายเหตุการณ์เป็นฉากๆ เพื่อขอนั่งฟรี
ก่อนจะทิ้งท้ายว่า "คุณจำหน้าผมให้ดีนะครับ สักวันผมจะเป็นนักเตะที่ยิ่งใหญ่และรับใช้ทีมชาติเรา"
โชเฟอร์เห็นแววตาและความมุ่งมั่นของเด็กคนนี้แล้วตอบตกลง แต่ทั้งคู่ต้องลงก่อนถึงสนามซ้อมอีก 7 กิโลเมตร เพราะเส้นทางประจำอยู่คนละฟาก
พอโดดลงจากรถปุ๊บไม่มีทางเลือกอื่น ทั้งคู่ต้องวิ่งกันไป ถึงสนามด้วยความเหนื่อยหอบ แต่การซ้อมเสร็จสิ้นลงแล้ว
ทั้งสองพยายามอธิบายให้ คาร์ลอส ปาชาเม กุนซือทีมชุดยู-20 ว่าเกิดอะไรขึ้น มีที่มาที่ไปอย่างไรถึงได้ตกรถ
บังเอิญเหลือเกิน คาร์ลอส บิลาร์โด้ กุนซือทีมชาติชุดใหญ่ที่พาครองแชมป์โลก อยู่แถวนั้นพอดี รับรู้เรื่องราวจนปะติดปะต่อได้ รู้สึกประทับใจในความบากบั่นของเด็กสองคนนี้
จึงเอ่ยปากให้มาซ้อมกับทีมชุดใหญ่ที่กำลังจะเริ่มขึ้นในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้า ไหนๆอุตส่าห์วิ่งมาไกลขนาดนี้ สมควรต้องได้รับรางวัลตอบแทนหน่อย
ตอนแรกที่ได้ยิน โชโล่ แทบไม่เชื่อหูตัวเอง เขาได้อยู่ใกล้ๆ ดีเอโก้ มาราโดน่า ซึ่งเป็นไอดอลของเด็กผู้ชายอาร์เจนตินาทุกคน
ที่น่าเหลือเชื่อจนอยากจะหยิกตัวเองให้แน่ใจคือ บิลาร์โด้ ให้สองคนนี้บินไปเยอรมันกับทีมด้วย เพื่อร่วมซ้อมเป็นการเตรียมความพร้อมก่อนฟุตบอลโลก 1990 ที่อิตาลีจะเปิดฉาก
เหตุการณ์เหล่านี้คือแรงบันดาลใจสำคัญที่ช่วยให้ ซิเมโอเน่ ทำงานหนักยิ่งขึ้น หนักแน่นตามแบบฉบับของตัวเอง จนสามารถขยับสู่ทีมชุดใหญ่อาร์เจนติน่าได้สำเร็จ
จากเป็นแค่คู่ซ้อมให้รุ่นพี่ในปี 1990 อีก 4 ปีต่อมาที่สหรัฐอเมริกา เขากลายเป็นส่วนหนึ่งที่ได้ไปลุยด้วยและแน่นอนว่าอยู่ร่วมกับ มาราโดน่า ซึ่งเป็นช่วงท้ายของการค้าแข้ง
เขาประสบความสำเร็จอย่างงดงามในฐานนะนักเตะอาชีพ แม้จะโดนวิจารณ์เรื่องสไตล์การเล่นที่เต็มไปด้วยเหลี่ยมเล่ห์เพทุบายและแท็คติกนอกเกมต่างๆ
แต่นั่นคือการหนึ่งในกลยุทธที่จะนำไปสู่ชัยชนะ ซึ่งเขาถือว่าไม่ได้เป็นแก่นสำคัญ
พอแขวนสตั๊ดหันมาเดินเส้นทางโค้ช ก็ทำในสิ่งที่แตกต่างจากทุกคน
ในขณะที่สโมสรชั้นนำทั้งหลายเน้นการครองบอลให้มาก เพื่อกดดันหาช่องโจมตีฝ่ายตรงข้าม แต่ ซิเมโอเน่ เลือกคนละขั้ว
ทีมของเขาไม่ต้องครองบอลเหนือกว่าใคร แต่นักเตะทุกคนที่ผ่านการฝึกฝนเคี่ยวกรำในการซ้อมอย่างเต็มที่จะเข้าใจหน้าที่ตัวเอง
สมาธิคือหัวใจหลักของ โชโล่ และความผิดพลาดของคู่ต่อสู้ก็เช่นกัน มันเหมือนเหยื่อที่ต้องฉกฉวยไว้ให้ได้
เกมฟุตบอลไม่ต่างจากเกมล่าสัตว์ ต้องก่อความผิดพลาดให้น้อยที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
ปรัชญาเช่นนี้เขาพูดถึงไว้ในหนังสืออัตชีวประวัติชื่อ El Efecto Simeone โดย Efecto คือ Effect ในภาษาอังกฤษที่หมายถึงผลที่ตามมานั่นแหล่ะ
ตอนนี้เราได้เห็นผลลัพธ์ในสิ่งที่ ซิเมโอเน่ ทำไว้แล้วว่ามันส่งแรงกระทบเขย่าได้มากแค่ไหน
เขามั่นคงกับความเชื่อ พร้อมจะเป็นศัตรูกับความสวยงามในสนามและต่อต้านเสียงวิจารณ์อย่างไม่หวั่นไหว
ถ้าคุณรู้จักตัวเองและทุ่มทุกอย่างเต็มกำลังด้วยแรงศรัทธาที่มีอยู่
หมายความว่าคุณกำลังเดินตามรอยของชายชุดดำที่ชื่อ ดีเอโก้ ซิเมโอเน่
.
ทุกท่านสามารถติดตามอ่านบทความย้อนหลังได้ที่ ..
.
และเพิ่มเพื่อนไลน์แอด "เพื่อเด้งเตือน" ให้คุณได้อ่านก่อนใคร กดที่ลิงค์นี้ครับ
ขอบคุณครับ
โฆษณา