20 ก.พ. 2020 เวลา 12:34 • กีฬา
ถึงแม้ศึก ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก จะเป็นการแข่งขันของทีมยักษ์ใหญ่ที่ดีที่สุด แต่เราก็ได้เห็นการเดินทางที่คาดไม่ถึงจากทีมนอกสายตาอยู่บ่อยครั้ง
ฤดูกาลที่แล้ว อาแจ็กซ์ อัมสเตอร์ดัม ชุดพลังหนุ่ม เกือบอหังการถึงขั้นผ่านเข้าไปชิงกับ ลิเวอร์พูล ถ้าหากไม่โดนทีเด็ดของ ลูคัส มูร่า ทำแฮตทริกจนแพ้ สเปอร์ส คาบ้านเสียก่อน
โมนาโก ปี 2017 โผล่ขึ้นมาเรียกเสียงฮือฮาไปทั้งยุโรป นอกจากจะแทรกช่วงเวลาผูกขาดแชมป์ ลีก เอิง ของ เปแอสเช ได้แล้ว พวกเขายังทะลุไปถึงรอบตัดเชือก พร้อมการแจ้งเกิดสนั่นวงการของ คีลิยัน เอ็มบั๊ปเป้
ซีซั่น 2003-04 ก็คงไม่มีใครคิดแต่แรก ว่าทีมที่ไปถึงแชมป์จะไม่ใช่พวกโคตรทีมจาก 5 ลีกดังยุโรป แต่กลับเป็น เอฟซี ปอร์โต้ ของ โชเซ่ มูรินโญ่
ส่วน UCL 2019-20 ทีมที่ทำเซอร์ไพรส์ที่สุด ย่อมหนีไม่พ้นน้องใหม่ที่เพิ่งมาเล่นถ้วยใหญ่ยุโรปเป็นครั้งแรกอย่าง อตาลันต้า
ชัยชนะ 4-1 เหนือ บาเลนเซีย ทำให้ทีมจากเมืองแบร์กาโม่ ซึ่งมีประชากรเพียงราวๆ 120,000 คน มีโอกาสสดใสที่จะได้เข้ารอบ 8 ทีมสุดท้ายมากที่สุด ในบรรดาทีมที่ลงเล่น 4 คู่แรกของรอบ 16 ทีม
ถึงแม้ว่า อตาลันต้า จะดวงดีที่หลีกเลี่ยงการถูกจับสลากไปชนตออย่าง ลิเวอร์พูล, บาร์เซโลน่า, บาเยิร์น มิวนิค หรือ เปแอสเช และได้คู่แข่งเป็นทีมค้างคาวที่ฟอร์มขึ้นๆ ลงๆ
แต่ถึงอย่างนั้น ต้องบอกว่าทีมของ จาน ปิเอโร่ กาสเปรินี่ มาไกลได้อย่างไม่น่าเชื่อ
ใน 3 เกมแรกของรอบแบ่งกลุ่ม อตาลันต้า แพ้รวดมันทั้ง 3 นัด แถมโดนซัดประตูรวมกันถึง 11 ลูก จากการเจอคู่แข่งอย่าง ดินาโม ซาเกร็บ, ชัคตาร์ โดเน็ตส์ค และ แมนเชสเตอร์ ซิตี้
แต่กลายเป็นว่าพวกเขาสร้างประวัติศาสตร์เป็นทีมแรก ที่ผ่านเข้ารอบน็อคเอาต์ แชมเปี้ยนส์ ลีก ได้สำเร็จ แม้ไม่มีสักแต้มใน 3 เกมประเดิม เมื่อเสมอกับ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ต่อด้วยเอาชนะทั้ง ซาเกร็บ และ ชัคตาร์ ใน 3 เกมหลัง
คือ นิวคาสเซิ่ล ยูไนเต็ด อาจจะเคยพลิกสถานการณ์จากแพ้ 3 เกมแรก กลับมาชนะรวด 3 เกมหลัง จนผ่านเข้ารอบ 16 ทีมสุดท้ายได้เหมือนกันในฤดูกาล 2002-03
แต่ ณ เวลานั้น ระบบการแข่งขันของ UCL จะมีรอบแบ่งกลุ่มถึง 2 รอบ ไม่ใช่การแพ้คัดออกทันทีในรอบ 16 ทีมอย่างในปัจจุบัน
และเมื่อ 17 ปีก่อน ทีมสาลิกาดงก็ไปจอดป้ายที่ “รอบแบ่งกลุ่มรอบสอง” ที่มี 16 ทีมนั่นแหละ ไม่ได้ไปต่อในรอบน็อคเอาต์ที่เหลือแค่ 8 ทีมสุดท้าย
ตัดภาพกลับมาที่ปัจจุบันอีกครั้ง อตาลันต้า กำลังจะได้เข้าไปรอท้าทายทีมยักษ์ใหญ่ ถ้าหากไม่มีปาฏิหาริย์เกิดขึ้นในเกมที่ เมสตาย่า สเตเดี้ยม
ย้อนไปเมื่อ 9 ปีที่แล้ว สถานะของ อตาลันต้า ยังเป็นแค่เพียงทีมระดับ เซเรีย บี
เท่านั้นไม่พอ หลังจากเลื่อนชั้นกลับลีกสูงสุดในปี 2011 พวกเขาเป็นเพียงทีมระดับหนีตกชั้นหรือไม่ก็กลางตาราง โดยไม่สามารถจบซีซั่นด้วยอันดับท็อปเทนเป็นเวลานานถึง 5 ปี
จนกระทั่งการเข้ามาคุมทีมของ จาน ปิเอโร่ กาสเปรินี่ เมื่อปี 2016 จึงเปลี่ยนแปลงทุกอย่าง เพราะหลังจากนั้นมา พวกเขาทำอันดับไปเล่นฟุตบอลยุโรปได้ตลอด
ฤดูกาล 2016-17 กาสเปรินี่ พาทีมจบซีซั่นด้วยอันดับ 4 แต่น่าเสียดายที่ในตอนนั้น อิตาลี ได้โควตาไปเล่น แชมเปี้ยนส์ ลีก เพียง 3 ทีม แต่อย่างน้อยสโมสรก็ได้ไปเล่นรายการของยูฟ่า เป็นครั้งแรกในรอบ 26 ปีได้สำเร็จ
ส่วนซีซั่น 2017-18 ก็ได้ไปเล่น ยูโรปา ลีก อีกครั้ง ด้วยผลงานคว้าอันดับ 7 ก่อนจะมาจบด้วยอันดับ 3 ซึ่งเป็นอันดับที่สูงที่สุดเท่าที่พวกเขาเคยทำได้ใน กัลโช่ เซเรีย อา ได้เมื่อฤดูกาลล่าสุด
ไม่เพียงแต่อันดับในลีกที่ทำได้ดีเหลือเชื่อ แต่ผลงานใน โคปปา อิตาเลีย ก็เข้ารอบลึกอย่างผิดหูผิดตา
ในปี 2018 พวกเขาเข้ารอบรองชนะเลิศไปแพ้ให้กับ ยูเวนตุส ส่วนปีที่แล้วก็ได้ตำแหน่งรองแชมป์ ซึ่งเป็นการผ่านเข้าชิงบอลถ้วยหนแรกในรอบ 23 ปี
และถ้าไม่มีอะไรผิดพลาด ทีมเจ้าของฉายา “เทพธิดา” ก็น่าจะได้มาปรากฏตัวใน แชมเปี้ยนส์ ลีก ในฤดูกาลหน้าอีก เพราะรั้งอันดับ 4 โดยทิ้งห่าง โรม่า ถึง 6 แต้ม แถมฟอร์มการเล่นก็ดีวันดีคืน
นอกจากนั้นแล้ว ภายใต้การทำทีมของ กาสเปรินี่ เขาทำให้ อตาลันต้า คือทีมที่มีเกมรุกดีที่สุดของอิตาลี เมื่อทำสถิติยิงประตูมากที่สุดใน เซเรีย อา ฤดูกาลก่อน (77 ประตู) และซัดได้มากกว่าใครเพื่อนอีกในลีกสูงสุดอิตาลีซีซั่นนี้ (63 ลูก จาก 24 นัด)
เมื่อวันที่ 25 มกราคมที่ผ่านมา พวกเขาเพิ่งได้ชัยชนะที่ขาดลอยที่สุดในประวัติศาสตร์ 112 ปีของสโมสร ด้วยการบุกถล่ม โตริโน่ ย่อยยับ 7-0 ในเกม เซเรีย อา
จำนวนประตูที่ได้มาเป็นกอบเป็นกำ ก็ไม่ใช่การหวังพึ่งให้ใครเป็น เดอะ แบก แต่มาจากการกระจายยิงกันทุกตำแหน่ง ตั้งแต่หลังยันหน้า
63 ประตูใน เซเรีย อา ฤดูกาลนี้ มาจากนักเตะช่วยกันยิงมากถึง 14 คน เยอะกว่า ยูเวนตุส ที่มีสตาร์ดังล้นทีมด้วยซ้ำ
ขณะที่ในศึก แชมเปี้ยนส์ ลีก ฤดูกาลปัจจุบัน ก็ไม่มีทีมไหนที่จะมีนักเตะปรากฏชื่อบนสกอร์บอร์ดมากไปกว่าพวกเขา
หลังจบเกมกับ บาเลนเซีย ถือว่ามีนักเตะของทีมที่มีฉายาว่า “เทพธิดา” นับรวม 10 คนเข้าไปแล้วที่ทำประตูได้ เพราะทั้ง ฮันส์ ฮาเตบัวร์ (เหมาสองใส่ทีมค้างคาว), โยซิป อิลิซิช และ เรโม่ ฟรอยเลอร์ ต่างเพิ่งจะซัดลูกแรกใน UCL กันทั้งหมด
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในรายของ อิลิซิช กองหน้าทีมชาติสโลวีเนียวัย 32 ปี ถือว่าฟอร์มกำลังพีคสุดๆ เพราะ 10 เกมหลังสุดรวมทุกรายการ กดไปถึง 11 เม็ด
ความน่าทึ่งของ อตาลันต้า ไม่ใช่แค่ผลงานของสโมสรในช่วงหลัง แต่ยังต้องปรบมือให้กับความภักดีของแฟนบอลอีกด้วย
เกวิสส์ สเตเดี้ยม สนามเหย้าของพวกเขาในเมืองแบร์กาโม่ จุผู้ชมได้แค่ 21,300 คน และยังไม่ได้รับรองมาตรฐานจากยูฟ่า ทำให้พวกเขาต้องใช้ ซาน ซีโร่ รังเหย้าของ 2 ทีมดังเมืองมิลาน เป็นสังเวียนในการลงเตะฟุตบอลยุโรปแทนในฤดูกาลนี้
ซาน ซีโร่ อยู่ห่างจาก เกวิสส์ สเตเดี้ยม ห่างถึง 55 กิโลเมตร แต่มีรายงานว่าแฟนบอลของ อตาลันต้า มากกว่า 40,000 คน (เกิน 30% ของคนทั้งเมือง) พร้อมใจกันเข้าไปเชียร์ทีมรักในสนาม ในเกมที่ถล่ม บาเลนเซีย นัดล่าสุด
นี่ยังเป็นทีมที่ใช้งบประมาณไม่ถึง 30 ล้านปอนด์ในการเสริมทัพเมื่อช่วงซัมเมอร์ที่ผ่านมา ขณะที่ค่าเหนื่อยนักเตะของพวกเขา ก็ต่ำเป็นอันดับ 7 ของลีก ถือเป็นหนึ่งในทีมต้นทุนต่ำที่ดีที่สุดของยุโรป ณ ชั่วโมงนี้เลยก็ว่าได้
ในบรรดา 8 คู่ของ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก รอบ 16 ทีมสุดท้ายฤดูกาลนี้ แน่นอนว่าผู้คนคงสนใจเกมระหว่าง อตาลันต้า กับ บาเลนเซีย น้อยกว่าทุกคู่ที่เหลือ
เพราะในสายตาคนทั่วไป การเจอกันของ 2 ทีมนี้ ไม่ต่างอะไรกับโปรแกรมไม้ประดับ ในเมื่อมีเกมระดับเฮฟวี่เวท อย่าง เรอัล มาดริด พบ แมนฯ ซิตี้, ตราหมี ปะทะ หงส์แดง หรือ เชลซี บู๊ บาเยิร์น มิวนิค ที่ดูจะเรียกแขกได้มากกว่า
แต่ดูเหมือนว่า แฟนบอลคงต้องเริ่มทำความรู้จักทีมเล็กๆ จากอิตาลีทีมนี้ให้มากขึ้นซะแล้ว
เพราะ อตาลันต้า นี่แหละ ที่แสดงให้เห็นแล้วว่า ณ เวลานี้ พวกเขาไม่ใช่ทีมโนเนมของยุโรป
แต่เป็นหนึ่งในทีมที่มีทีเด็ดไม่แพ้ใคร และสร้างความประทับใจให้ทุกคนที่ติดตาม
#เสียบสามเหลี่ยม #Atalanta #Gasperini #SerieA #UCL
ชอบกดไลค์ ถูกใจกดแชร์ และเพื่อไม่พลาดบทความคุณภาพจากเรา อย่าลืมกดไลค์เพจ และติดตามเพจแบบ See First ไว้เลยนะครับ
..สนใจติดต่อลงโฆษณา, สนับสนุนเพจ ติดต่อจ้างงานเขียนบทความฟุตบอล งานแปลข่าว เขียนสคริปต์สำหรับ Content ฟุตบอล หรือแปลหนังสือฟุตบอล ทักอินบ็อกซ์ สอบถามได้ตลอดเวลาครับ
โฆษณา