28 ก.พ. 2020 เวลา 11:40 • กีฬา
ลิเวอร์พูลเมื่อ 10 ปีก่อน เกือบจะล้มละลาย หล่นลงไปเล่นในระดับลีกวัน พวกเขาเอาตัวรอดจากวันนั้น และกลายเป็นสโมสรระดับโลกอย่างทุกวันนี้ได้อย่างไร วิเคราะห์บอลจริงจังจะเล่าให้ฟัง
เมื่อวานนี้ เจมส์ เพียร์ซ นักข่าวคนดัง เผยผลประกอบการประจำปีของลิเวอร์พูลว่า ทำรายได้เป็นสถิติสโมสรที่ 533 ล้านปอนด์ (21,730 ล้านบาท) ถ้าตัดค่าใช้จ่ายทั้งหมดออกไป ทีมหงส์แดงได้กำไรเพียวๆ 42 ล้านปอนด์ (1,712 ล้านบาท)
มันแปลว่าลิเวอร์พูลชั่วโมงนี้ เป็นทีมที่ร่ำรวย พวกเขาทำเงินมหาศาล และเชื่อว่าในปีต่อไป เมื่อมีโทรฟี่พรีเมียร์ลีกสมัยแรกในรอบ 30 ปีแล้ว ลิเวอร์พูลจะทำเงินได้มากยิ่งกว่านี้อีก
ปีที่ผ่านมา ค่าโฆษณาเพิ่มขึ้น ,ค่าถ่ายทอดสดเพิ่มขึ้น ,ค่าบัตรเข้าชมในสนามเก็บได้มากขึ้น ยิ่งไปกว่านั้น ทีมเซ็นสัญญาฉบับใหม่กับไนกี้ ที่จะทำให้โกยเงินมหาศาลยิ่งกว่าตอนอยู่กับนิวบาลานซ์อีก
ดังนั้น สถานะการเงินของลิเวอร์พูลถือว่าลอยตัว ไม่ติดค่า FFP ให้กังวลใจ ซีซั่นหน้าอยากซื้อบิ๊กเนมคนไหนก็ทำได้เลย ไม่ต้องห่วงว่าจะโดนยูฟ่าแบน นอกจากนั้นด้วยการที่มีเงินสดในมือจำนวนมาก ทำให้แผนการขยายสนามแอนฟิลด์ให้มีความจุเพิ่มเป็น 60,000 คน ก็เตรียมเดินหน้าต่อเร็วๆนี้ (ปัจจุบันแอนฟิลด์มีความจุ 53,394 ที่นั่ง)
นี่คือช่วงขาขึ้นของสโมสรอย่างแท้จริง ผลงานในสนามก็ดี ขณะที่ผลประกอบการนอกสนามก็เพอร์เฟ็กต์ สำหรับแฟนลิเวอร์พูลไม่แปลกที่จะมีความสุขกันสุดเหวี่ยงในระยะนี้
ความสำเร็จของลิเวอร์พูลเป็นเรื่องน่าทึ่ง แต่จะทึ่งยิ่งกว่า ถ้ามองย้อนประวัติศาสตร์ไปเมื่อ 10 ปีที่แล้ว
ในขณะที่ผลประกอบการปี 2020 นั้นสวยงามมาก แต่ถ้าไปดู ในปี 2010 ลิเวอร์พูลทีมนี้ล่ะเกือบต้องล้มละลายและหล่นไปเล่นในระดับลีกวันมาแล้ว
ผลงานในสนามเลวร้าย ผลงานนอกสนามยิ่งรันทด บรรยากาศในเมืองเต็มไปด้วยความหดหู่
มันเกิดอะไรขึ้นวันนั้น และลิเวอร์พูลคัมแบ็กจากจุดต่ำสุดได้อย่างไร ไปหาคำตอบด้วยกัน
ในอดีตลิเวอร์พูลก็เหมือนสโมสรฟุตบอลในอังกฤษทั่วๆไป คือมีเจ้าของสโมสรเป็นเศรษฐีท้องถิ่น
ผู้ถือหุ้นใหญ่ของลิเวอร์พูลมายาวนานถึง 50 ปี คือตระกูลมัวร์ส (Moores) ซึ่งเป็นเจ้าของห้างสรรพสินค้าชื่อดังลิตเติ้ลวู้ดส์ โดยในปี 1991 หนึ่งในทายาทของตระกูล ที่ชื่อเดวิด มัวร์ส ก็เข้ามารับหน้าที่เป็นประธานสโมสร
เดวิด มัวร์ส (คนขวา)
เวลาผ่านไป เข้าสู่ทศวรรษ 2000 ทีมอื่นๆเริ่มทิ้งห่างลิเวอร์พูลออกไป จากเงินทุนที่เยอะกว่ากันแบบเทียบไม่ได้ เชลซีมีโรมัน อบราโมวิชมาเทกโอเวอร์พร้อมงบประมาณไม่อั้น ขณะที่แมนฯยูไนเต็ดก็อาศัยความสำเร็จจากฝีมือเซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน สร้างฐานแฟนบอลที่หนาแน่นไปทั่วโลก และสร้างรายได้จากโฆษณามากที่สุดเป็นอันดับ 1 ของลีก
คู่แข่งของลิเวอร์พูลมีเงินมหาศาล ในขณะที่ลิเวอร์พูลยังต้องพึ่งพาทรัพย์สมบัติส่วนตัวของตระกูลมัวร์ส คือในแต่ละปี ถ้าทีมมีเงินซื้อนักเตะดีๆได้สัก 2-3 คนก็เก่งมากแล้ว ดังนั้นเรื่องความฝันที่แฟนลิเวอร์พูลหวังมาตลอด คือสร้างสนามใหม่ "นิวแอนฟิลด์" เสียที ก็อย่าไปคิดเลย เพราะมีเงินไม่พอ
สนามของลิเวอร์พูลมีความจุหยุดนิ่งที่สี่หมื่นต้นๆมานานแล้ว ในขณะที่แมนฯยูพุ่งไป 7 หมื่น อาร์เซน่อลมีแผนสร้างสนามใหม่ความจุ 6 หมื่น หรือแมนฯซิตี้มีสนามความจุ 5 หมื่น คือยิ่งมีสนามใหญ่เท่าไหร่ ก็ยิ่งทำรายได้มากขึ้น นอกจากนั้น ขนาดของสนามก็บ่งบอกถึงความยิ่งใหญ่ของทีมได้เช่นเดียวกัน
ดังนั้นตั้งแต่ปี 2004 เป็นต้นมา เดวิด มัวร์ส แม้จะรักทีมแค่ไหน แต่เขารู้ว่าเงินของตัวเองที่มีจำกัด ไม่สามารถพาทีมไปไกลกว่านี้ได้แล้ว จึงยอมรับว่าพร้อมขายสโมสรให้นักลงทุน ทั้งในประเทศ หรือต่างชาติ ใครก็ได้ที่มีข้อเสนอดีพอ
ปี 2004 ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีของไทยขณะนั้นยื่นข้อเสนอ 100 ล้านดอลลาร์ แลกกับหุ้นส่วน 30% ของมัวร์ส แต่มัวร์สปฏิเสธ ตามด้วยสตีฟ มอร์แกน นักธุรกิจชาวอังกฤษ ยื่นข้อเสนอ 128.2 ล้านดอลลาร์ แต่ก็ถูกปฏิเสธเช่นเดียวกัน
จากนั้นเดวิด มัวร์ส ก็บินไปคุยกับนักลงทุนหลายคนในอเมริกาที่มีข่าวว่าสนใจทีม เริ่มจากโรเบิร์ต คราฟต์ เจ้าของทีมนิวอิงแลนด์ เพเทรียตส์ แต่ทว่าคุยกันไม่ลงตัว คราฟต์ก็เลยไม่ได้ยื่นข้อเสนอมา
เดวิด มัวร์ส
คนต่อไปคือจอร์จ ยิลเลตต์ เจ้าของสโมสรมอนทรีอัล แคเนเดียนส์ ทีมฮ็อกกี้น้ำแข็ง ซึ่งพอคุยกันแล้ว เดวิด มัวร์ส รู้สึกชอบ เพราะมอนทรีอัล แคเนเดียนส์ มีคาแรคเตอร์บางอย่างที่คล้ายลิเวอร์พูล ดังนั้นเขาจึงเชื่อว่ายิลเลตต์ถ้ามีโอกาสก็น่าจะบริหารทีมหงส์แดงได้ดีด้วย อย่างไรก็ตาม สุดท้ายยิลเลตต์ตัดสินใจไม่ยื่นข้อเสนอ เพราะเขามีงบประมาณไม่พอ ในเวลานั้น
ในปี 2006 กลุ่มดูไบ อินเตอร์เนชั่นแนล แคปิตอล (DIC) ของชีคอัล-มัคตูม เจ้าครองนครดูไบ ได้ยื่นข้อเสนอที่ดีมากๆ ให้ลิเวอร์พูลพิจารณา ซึ่งเดวิด มัวร์สจะตอบตกลงอยู่แล้ว แต่ก่อนจะดีลกันได้ จอร์จ ยิลเลตต์ก็ติดต่อกลับมา และบอกว่าเขาเองก็พร้อมแล้วที่จะยื่นข้อเสนอ
นั่นทำให้เดวิด มัวร์ส ลังเลใจ เพราะเจ้าครองนครดูไบแม้จะมีเงินมาก แต่ไม่เคยบริหารทีมกีฬามาก่อน และก็ไม่มีทางรู้เขาอาจจะมองลิเวอร์พูลเป็นเหมือนของเล่นคนรวยก็ได้ ดังนั้นมัวร์สจึงขอยื้อเวลาเพื่อดูข้อเสนอเต็มๆของยิลเลตต์ ซึ่งปรากฎว่า DIC ไม่พอใจ เพราะเหมือนฝั่งลิเวอร์พูลเล่นตัว พลิกกลับไปกลับมา จึงตัดสินใจล้มดีลในที่สุด
เท่ากับว่าชอยส์ตอนนี้แทบไม่เหลือแล้ว ก็มีแต่ยิลเลตต์เท่านั้นที่ Active อยู่ โดยตัวยิลเลตต์คนเดียวเขาซื้อไม่ไหวจึงร่วมมือกับพาร์ทเนอร์อีกคนคือทอม ฮิคส์ หาเงินก้อนมาซื้อลิเวอร์พูลจากเดวิด มัวร์ส
ยิลเลตต์ให้คำสัญญากับสโมสรก่อนที่จะซื้อขายกันว่า จะควักเงินส่วนตัวมาเพื่อซื้อนักเตะใหม่ๆเข้ามาให้สโมสร พร้อมกับจะหาเงินมาสร้างสนามใหม่ที่แฟนๆรอคอยกันมายาวนานเหลือเกิน ซึ่งเมื่อตกปากรับคำกันเรียบร้อยแล้ว เดวิด มัวร์ส จึงตัดสินใจขายสโมสรให้ ยิลเลตต์ กับ ฮิคส์ ในราคา 174 ล้านปอนด์
ลิเวอร์พูลสโมสรที่อยู่ภายใต้ตระกูลมัวร์สมา 50 ปี เปลี่ยนมือไปสู่นักธุรกิจชาวอเมริกัน ในวันที่ 7 มกราคม 2007
ในยุคนั้นยังไม่มีกฎไฟแนนเชียล แฟร์เพลย์ (FFP) แปลว่าเจ้าของทีมมีเงินเท่าไหร่ ก็เปย์ให้สโมสรตัวเองได้ไม่ยั้ง แบบที่อบราโมวิชทุ่มเงินแบบไร้ขีดจำกัดให้เชลซี
นั่นคือสิ่งที่แฟนลิเวอร์พูลคาดหวัง คือเดวิด มัวร์ส ก็เป็นผู้นำที่ดี แต่เมื่อสโมสรจำเป็นต้องเดินไปข้างหน้า ก็ต้องการเศรษฐีที่รวยจริงๆ พร้อมเปย์เต็มที่เพื่อให้ทีมประสบความสำเร็จ คือมันถึงเวลาเปลี่ยนแปลงแล้ว
อย่างไรก็ตาม มันไม่เป็นไปอย่างที่ลิเวอร์พูลคิด เพราะยิลเลตต์ และฮิคส์ "ไม่ควักเงินส่วนตัว" ตามที่สัญญา สถานการณ์ของทีมตอนนี้ นักเตะก็ซื้อมาเสริมทัพอย่างยากลำบาก จนราฟาเอล เบนิเตซ ไม่พอใจหลายหน ขณะที่เรื่องการสร้างสนามใหม่ ที่คุยไว้เสียดิบดี ก็ไม่มีการเดินหน้าต่อเลย ทุกอย่างเงียบกริบไปหมด
กลายเป็นว่า ยิลเลตต์กับฮิคส์ หักหลังคำสัญญาที่ให้ไว้ แต่ประกาศตอนแรกว่า จะไม่ทำเหมือนที่ตระกูลเกลเซอร์ซื้อแมนฯยูไนเต็ด แต่ไปๆมาๆ กลายเป็นทั้งคู่ทำแบบเดียวกันเป๊ะที่ลิเวอร์พูล นั่นคือต้องการให้สโมสรหารายได้ด้วยตัวเอง แล้วเขาก็จะเก็บเกี่ยวผลกำไร โดยจะไม่ควักเงินส่วนตัวไปโปะภาระหนี้ของสโมสร
ปัญหาสำคัญที่แฟนลิเวอร์พูลไม่พอใจมากมี 4 ข้อ
1) ชอบคิดโดยไม่ปรึกษาคนอืน มีครั้งหนึ่งยิลเลตต์กับฮิคส์ไปคุยกับเจอร์เก้น คลินส์มันน์ว่าสนใจมารับงานคุมลิเวอร์พูลหรือไม่ ทั้งๆที่ตอนนั้นราฟาเอล เบนิเตซก็ยังอยู่แล้วทำผลงานได้ดีมากด้วย ซึ่งพอราฟาไปถามว่าทำไมต้องทำแบบนั้น ทั้งคู่ก็ตอบว่าพวกเขาต้องมีแผนสองไว้ก่อน เผื่อราฟาย้ายไปคุมเรอัล มาดริด
2) ไม่ให้เกียรติผู้เล่นในทีมนัก ครั้งหนึ่งตอนลิเวอร์พูลซื้อร็อบบี้ คีนมาแล้วเล่นไม่ดี ยิลเลตต์เคยพูดใส่หน้าคีนว่า "ให้ตายเถอะ นายไม่ได้เก่งเท่าราคาที่เราซื้อมานี่หว่า"
หรืออีกครั้งตอนที่ก่อนจะซื้อทีม ยิลเลตต์ บอกกับฮิคส์ว่า "นายรู้ไหมกัปตันทีมเราเป็นเกย์นะ" สาเหตุเพราะแฟนเจอร์ราร์ดชื่ออเล็กซ์ ซึ่งมันคล้ายกับชื่อผู้ชายมาก และสื่ออังกฤษ เวลาเขียนถึงอเล็กซ์ก็จะใช้คำว่า Long-term partner คือคำว่า Partner ในอังกฤษแบบบริติช ก็แปลได้ว่าคนที่คบกัน แต่ในอเมริกันอิงลิชจะสื่อเป็นเชิงคู่ขาแบบรักร่วมเพศ นั่นทำให้ยิลเลตต์ตีความผิด
ซึ่งมันอาจเป็นเรื่องที่ดูไม่เป็นสาระ แต่ก็สะท้อนให้เห็นว่าเขาไม่ได้รู้จักบุคลากรของสโมสรสักเท่าไหร่เลย
3) ทั้งคู่หาเงินไม่เป็น ไม่มีไอเดียทางธุรกิจแบบเป็นชิ้นเป็นอัน
และ 4) เมื่อหาเงินไม่เป็นแล้ว แทนที่จะควักเงินส่วนตัวตามสัญญาปากเปล่าที่คุยกัน เขากลับก่อสร้างหนี้ขึ้นมาก้อนใหม่
เมื่อยิลเลตต์ กับ ฮิคส์ ไม่ควักเงิน แล้วสโมสรจะเอาเงินจากไหนมาเสริมสภาพคล่อง? ดังนั้น สิ่งที่พวกเขาทำคือ กู้เงิน 350 ล้านปอนด์ จากธนาคารรอยัล แบงค์ ออฟ สกอตแลนด์ (RBS) และ ธนาคารวาโชเวีย (ปัจจุบันคือธนาคารเวลส์ฟาร์โก้) เพื่อเข้ามาใช้จ่ายในสโมสร โดยมีกำหนดชำระหนี้ทั้งก้อนคือ เดือนมกราคม 2010
ยิลเลตต์กับฮิคส์ ไม่ได้กู้เงินในนามส่วนตัว แต่เขาตั้งบริษัทลูกของสโมสรลิเวอร์พูลขึ้นมาชื่อ Kop Holdings เป็นคนทำเรื่องกู้จากธนาคาร ดังนั้นแปลว่าแทนที่ลิเวอร์พูลจะได้เงินจาก 2 คนนี้ สโมสรกลับกลายต้องเป็นหนี้ 350 ล้านปอนด์เสียอย่างนั้น
เงินที่ได้มา 350 ล้านปอนด์ แบ่งเป็น 105 ล้านปอนด์ เอาไปใช้จ่ายทั่วไปในสโมสร และโปะหนี้เก่าที่เคยมีในยุคของเดวิด มัวร์ส (ราวๆ 40-80 ล้านปอนด์) ส่วนอีก 245 ล้านปอนด์ หมดไปกับการตำน้ำพริกละลายแม่น้ำ เช่น ค่าการออกแบบสนามแห่งใหม่ จ่ายเงินให้นักวิชาการเข้ามาศึกษาข้อดีข้อเสียในการสร้างนิวแอนฟิลด์ และเสริมทัพนักเตะเข้ามา แต่ไม่ได้เอาไปวางโครงสร้างธุรกิจอะไรอย่างเป็นชิ้นเป็นอัน
และดอกเบี้ยที่ลิเวอร์พูลต้องจ่ายให้ธนาคารก็มหาโหดมาก ปีละ 35 ล้านปอนด์ คือขายตั๋วแทบตาย ขายนักเตะดีๆออกไปจากทีม สโมสรไม่ได้อะไรเลย มีแต่ต้องจ่ายหนี้ทั้งเงินต้นและดอกเบี้ย
เวลาผ่านไปจากปี 2007 มาจนซัมเมอร์ปี 2009 ก็มีจุดแตกหักสำคัญเกิดขึ้น
คือจริงๆหงส์แดงในซีซั่นก่อนหน้านี้ (2008-09) ถือว่าทำผลงานได้ดีมากจบอันดับ 2 ในลีก และมีลุ้นแชมป์เต็มตัว แต่พอเข้าซัมเมอร์ปี 2009 สโมสรต้องเร่งหาเงินเพื่อเอาไปชำระเงินกู้จากธนาคาร จึงไม่มีเงินไปซื้อนักเตะบิ๊กเนมอีกแล้ว
ลิเวอร์พูลขายนักเตะทิ้ง (ชาบี อลอนโซ่, อัลบาโร่ อาร์เบลัว,เซบาสเตียน เลโต้) และปล่อยนักเตะหลายคนให้ทีมลีกรองยืมตัว ได้เงินมาราวๆ 37.5 ล้านปอนด์ จากนั้นก็เอาเงินก้อนนี้ที่ขายนักเตะ ไปซื้อผู้เล่นมา 3 คน คืออควิลานี่,เกล็น จอห์นสัน และ คีร์เกียกอส โดยจ่ายไป 39.5 ล้านปอนด์
แปลว่าหงส์แดงใช้เงินจ่ายในซัมเมอร์นี้แค่ 2 ล้านปอนด์เท่านั้นเอง ซึ่งแน่นอน ในขณะที่ทีมอื่นซื้อนักเตะกันโครมๆ แมนฯซิตี้เปย์ไป 118.5 ล้านปอนด์ ซื้อเตเวซ,อเดบายอร์,แบร์รี่ ฯลฯ มาเสริมทัพ แต่ลิเวอร์พูลไม่มีเงินซื้อตัวดีๆได้เลย นั่นทำให้ราฟาเอล เบนิเตซมีความเจ็บใจเป็นอย่างมาก
ไม่แปลกถ้าผลงานในสนามจะจมดิ่งเรื่อยๆ ผ่านครึ่งฤดูกาล ลิเวอร์พูลอยู่อันดับ 7 ของตาราง แข่ง 19 ชนะ 9 เสมอ 3 แพ้ 7 หมดลุ้นแชมป์รวดเร็วแต่ไก่โห่
ฟอร์มในสนามว่าแย่แล้ว นอกสนามหนักกว่า เมื่อ Kop Holdings หาเงินก้อน 350 ล้านปอนด์ไม่ทัน ซึ่งเดดไลน์ก็ใกล้เข้ามาทุกที ดังนั้นจึงไปร้องขอให้ธนาคารรอยัล แบงค์ ออฟ สกอตแลนด์ เลื่อนเวลาชำระหนี้ออกไป
ยิลเลตต์ กับฮิคส์ ขอเลื่อนมาหลายรอบ จนถึงเดือนเมษายน 2010 ธนาคาร RBS ทนไม่ไหวแล้ว ยืนยันว่าจะส่งเรื่องให้ทางสมาคมฟุตบอลอังกฤษ ทำเรื่องเข้าสู่กระบวนการ Administration ลงโทษสโมสรที่มีปัญหาทางการเงิน
สโมสรที่ดำเนินกิจการผิดพลาด เป็นหนี้สินที่ไม่อาจชำระได้ สมาคมฟุตบอลอังกฤษจะส่งหน่วยงานพิเศษมาควบคุม และรีดเงินออกจากสโมสรให้หมดเพื่อชำระเจ้าหนี้ให้ได้ นอกจากนั้นจะมีบทลงโทษคือสั่งปรับตกชั้นโทษฐานไม่รักษาวินัยทางการเงิน
ซึ่งการลงโทษทั้งหมดนี้เราเรียกกันว่า กระบวนการ Administration
เคสก็คล้ายๆกับที่พอร์ทสมัธเคยโดนสั่งร่วงลงไปในลีกวัน และจนถึงปัจจุบันก็ยังไม่เคยกลับขึ้นมาได้อีกเลย
ลิเวอร์พูลในวินาทีนั้นใกล้เคียงมากๆกับการร่วงจากทีมระดับพรีเมียร์ลีก หล่นไปเล่นในลีกวัน ซึ่งถ้าเป็นแบบนั้นจริง สตาร์ดังทั้งหมดคงย้ายออกจากทีมแบบยกเซ็ต และก็ไม่รู้จะใช้เวลากี่ปีกว่าจะขึ้นมาลีกสูงสุดได้
แฟนบอล รวมถึงบอร์ดบริหารของลิเวอร์พูลคนอื่นๆ ต่างไปขอร้อง RBS ให้ช่วยยืดระยะเวลาการใช้หนี้ออกไป อย่าเพิ่งนำเรื่องนี้ไปถึงสมาคมฟุตบอลอังกฤษ เพราะไม่อย่างนั้นประวัติศาสตร์อันยาวนานของลิเวอร์พูลด่างพร้อยแน่
ธนาคาร RBS จึงเสนอเงื่อนไขครั้งสุดท้าย 2 ข้อคือ
1) ลิเวอร์พูลตอนนี้ที่ขาดทุนทุกปี ยังไงก็ไม่มีทางหาเงิน 350 ล้านปอนด์มาคืนได้แน่ ดังนั้นจะวางเดดไลน์คือจะเลื่อนให้จ่ายหนี้ได้ถึงวันที่ 6 ตุลาคม 2010 แต่สโมสรต้องขายกิจการทิ้งให้ผู้ลงทุนรายอื่น ซึ่งมีศักยภาพในการจ่ายหนี้ให้ธนาคาร
2) RBS ขอให้ลิเวอร์พูลเปลี่ยนมาใช้ซีอีโอคนใหม่ คือมาร์ติน บรัฟตัน ผู้บริหารของบริติช แอร์เวย์ส เป็นคนคอยจัดการหาผู้เทกโอเวอร์ให้ลุล่วง
มาร์ติน บรัฟตัน
ยิลเลตต์กับฮิคส์ไม่มีทางเลือก พวกเขาตอบตกลงไปก่อน แต่แน่นอน พวกเขายังไม่ยอมยกลิเวอร์พูลให้กับใครง่ายๆ พวกเขากำลังวางแผนอยู่
สำหรับการตัดสินว่าจะขายสโมสรให้ใครนั้น อยู่ในอำนาจของบอร์ดบริหารทั้ง 5 คนของลิเวอร์พูล ซึ่งประกอบไปด้วย มาร์ติน บรัฟตัน,คริสเตียน เพิร์สโลว์ ผู้อำนวยการฝ่ายบริหาร, เอียน อายร์ ผู้อำนวยการฝ่ายการค้า, จอร์จ ยิลเลตต์ และ ทอม ฮิคส์
โดยการจะเลือกขายสโมสรให้ใครนั้น 5 คนนี้จะเป็นตัวตัดสิน ด้วยการโหวตลงคะแนน ถ้าใครโหวตใครได้เสียงมากกว่า (3 ใน 5) ก็จะเป็นฝ่ายชนะ
ช่วงเวลา 6 เดือน จากเมษายน ถึงเดดไลน์ 6 ตุลาคม บรัฟตันเดินหน้าหาผู้ลงทุนที่เหมาะสมที่สุดให้ลิเวอร์พูล
บรัฟตันนั้นเคยให้สัมภาษณ์ว่า "ในโลกฟุตบอลตอร์เรสคือกองหน้าอันดับ 1 และผมคือตอร์เรสในโลกธุรกิจ"
ในที่สุดหลังจากตามหาอยู่นานมาก จนเกือบจะถึงเดดไลน์อยู่แล้ว 3 ตุลาคม 2010 บรัฟตัน ส่งอีเมล์หายิลเลตต์ กับฮิคส์ว่า เขาได้ผู้สนใจสโมสรลิเวอร์พูลแล้ว 2 ราย ได้แก่บริษัท NESV ของจอห์น เฮนรี่ และทอม แวร์เนอร์ เจ้าของทีมเบสบอล บอสตัน เรดซอกซ์ ในสหรัฐอเมริกา กับอีกฝ่ายคือ ปีเตอร์ ลิม นักธุรกิจชาวสิงคโปร์
ข้อเสนอของ 2 ฝ่ายใกล้เคียงกัน คือจะปลดหนี้ 350 ล้านปอนด์จาก RBS ให้สโมสร และจ่ายเงินซื้อองค์กรจากยิลเลตต์ และ ฮิคส์ ในราคา 174 ล้านปอนด์ ซึ่งเท่ากับราคาที่ทั้งคู่ซื้อมาจากเดวิด มัวร์ในตอนแรก
แน่นอนยิลเลตต์ และฮิคส์ก็ฉุนขาด ตอนแรกพวกเขาคิดว่ายอมขายก็ได้ ถ้าได้กำไรมากกว่าที่ซื้อมาสัก 2-3 เท่า แต่นี่มันไม่ใช่ และถ้าตอบรับข้อเสนอเหล่านี้ เขาก็จะไม่ได้อะไรสักปอนด์เลย 3 ปีที่ผ่านมามันก็เสียเวลาเปล่า
ดังนั้นยิลเลตต์ กับฮิคส์ จึงไม่ยอมและพวกเขารีบหาธนาคารอื่นเพื่อทำการ "รีไฟแนนซ์" เอาเงินจากธนาคาร ไปโปะจ่ายให้ RBS ซะ แล้วเขาก็ค่อยจ่ายหนี้ให้กับธนาคารใหม่เอา
และใช้เวลาแค่แว้บเดียวเท่าน้น พวกเขาก็ได้แหล่งเงินทุนแห่งใหม่ ชื่อว่า Blackstone Group พร้อมจะรีไฟแนนซ์สโมสรให้เอง ซึ่งทันทีที่มีข่าวออกมา แฟนบอลลิเวอร์พูลรุมส่งจดหมาย 14,000 ฉบับเข้าอินบ็อกซ์ของ ซีอีโอ Blackstone Group โดยจดหมายฉบับหนึ่งมีใจความว่า
"ถ้าบริษัทของคุณตกลงจะรีไฟแนนซ์ให้ทอม ฮิคส์ สิ่งเดียวที่พวกคุณจะได้รับ คือภาพลักษณ์อันเลวร้ายที่จะมีต่อชาวเมืองลิเวอร์พูล และแฟนลิเวอร์พูลทั่วโลก ถ้าคุณสังเกต คุณก็ต้องรู้ว่าฮิคส์ตั้งใจรีไฟแนนซ์ก่อนวันที่ 6 ตุลาคม เพื่อที่เขาจะได้ยึดอำนาจลิเวอร์พูลต่อไปอีก"
"คุณลองไปดูสิ่งที่สื่อมวลชนเขียนถึงพวกเขาทั้งคู่สิ มีแต่ด่าอย่างเดียว มันไม่มีประโยชน์อะไรสำหรับพวกคุณเลยที่จะต้องมาโดนด่าทอ และเป็นส่วนหนึ่งของเรื่องราวแย่ๆเหล่านี้ ในประวัติที่ผ่านมา แฟนบอลลิเวอร์พูลมีชื่อเสียงในการเอาชนะพวกที่ทำร้ายสโมสรของเรา ตัวอย่างเช่นหนังสือพิมพ์ เดอะ ซัน ที่เขียนเรื่องราวโกหกเกี่ยวกับโศกนาฏกรรมฮิลส์โบโร่ มาจนถึงวันนี้ทั้งเมืองของเราไม่มีใครซื้อหนังสือพิมพ์ของพวกเขาเลย และเป็นที่รู้กันว่า เดอะ ซัน สูญเสียรายได้จากเมืองนี้ปีละ 10 ล้านปอนด์"
"ถ้า Blackstone Group ร่วมมือกับทอม ฮิคส์ในการทำร้ายลิเวอร์พูล บอกได้เลยว่าองค์กรของคุณจะมีศัตรูเพิ่มอีกนับไม่ถ้วน เราถือว่าเราเตือนคุณแล้วนะ"
เมื่อเจอแบบนี้ Blackstone Group ก็ต้องถอยกรูด พวกเขามีธุรกิจและออฟฟิศอยู่ที่ลอนดอนด้วย มันไม่มีประโยชน์อะไรจริงๆที่จะสร้างศัตรูกับคนทั้งเมือง
5 ตุลาคม วันประชุมบอร์ดบริหาร บรัฟตัน,อายร์ และ เพิร์สโลว์นั่งอยู่ที่แอนฟิลด์ พวกเขาประชุมกันว่าจะขายสโมสรให้ NESV หรือปีเตอร์ ลิม โดยฮิคส์ และยิลเลตต์ ที่อยู่อเมริกาไม่ได้มาด้วย แต่ก็อยู่ในสาย ตั้งแต่เริ่มประชุม
ปรากฏว่ายิลเลตต์รู้ชะตาว่าถ้ามีการโหวตพวกเขาจะแพ้แน่ๆ ดังนั้น จึงพูดแทรกขึ้นมาก่อนจะทำการโหวต ว่าขอไล่ เอียน อายร์ กับ คริสเตียน เพิร์สโลว์ออกจากตำแหน่งบอร์ดบริหาร แล้วจะแต่งตั้งลูกชายของตัวเอง แม็ค ฮิคส์ และคนสนิทลอรี่ เคย์ แม็คคัทชั่น เป็นบอร์ดแทน ส่วนการโหวตจะขอเลื่อนออกไปเป็นเดือนหน้า
อย่างไรก็ตาม มาร์ติน บรัฟตันไม่สนใจ เขาบอกว่าแม้จะเป็นเจ้าของสโมสร แต่ก็ไม่มีอำนาจไล่บอร์ดบริหารออกโดยไม่เต็มใจ ไม่มีกฎหมายใดๆจะบังคับให้ทำแบบนั้นได้ ดังนั้นจึงสั่งให้อายร์ กับ เพิร์สโลว์ประชุมต่อ วันรุ่งขึ้นคือเดดไลน์ของธนาคาร RBS แล้ว จะมาเลื่อนอะไรกันอีก มันทำไม่ได้แล้ว และทั้ง 3 คนจึงเริ่มโหวต และได้ข้อสรุปคือจะขายลิเวอร์พูล ให้กับ NESV
จริงๆปีเตอร์ ลิม ให้ข้อเสนอมากกว่า NESV 20 ล้านปอนด์ แต่บรัฟตัน อายร์ และเพิร์สโลว์เชื่อว่า ประสบการณ์ในการทำทีมกีฬาของฝั่ง NESV ดูมีภาษีดีกว่า
6 ตุลาคม 2010 บรัฟตันแจ้งกับธนาคาร RBS ว่าได้ผู้ซื้อสโมสรเรียบร้อยแล้ว และจอห์น เฮนรี่ก็พร้อมจ่ายเงิน ทุกอย่างเตรียมปิดดีลได้เย็นนี้เลย ลิเวอร์พูลกำลังจะปลดแอกจาก ยิลเลตต์และฮิคส์เสียที
มาร์ติน บรัฟตัน
แต่เกมนี้ไม่จบง่ายขนาดนั้น เพราะยิลเลตต์และฮิคส์ ยังสู้จนหยดสุดท้าย
ก่อนที่ NESV จะได้จ่ายเงิน ยิลเลตต์นำเรื่องขึ้นฟ้องศาลในอังกฤษ ว่าการซื้อขายครั้งนี้ไม่ชอบธรรม และขอระงับไว้เป็นการชั่วคราว โดยยิลเลตต์ระบุว่า บอร์ดบริหารทั้ง 3 คน ตัดสินใจโดยพลการ และมีถึง 2 คน ที่โดนคำสั่งไล่ออกไปแล้ว ดังนั้นมติการซื้อขายต้องเป็นโมฆะ
นอกจากนั้นก็ฟ้องธนาคาร RBS ด้วยว่า การแต่งตั้งมาร์ติน บรัฟตัน โดยใช้อำนาจของเจ้าหนี้ข่มขู่กดดัน ถือเป็นการกระทำโดยมิชอบ และบรัฟตันก็ไม่ควรเป็นบอร์ดบริหารของสโมสรได้แต่แรกแล้ว
ด้วยความที่มีเรื่องถึงขั้นขึ้นศาล ทางธนาคาร RBS จึงอนุโลมให้ยืดกำหนดการชำระ จาก 6 ตุลาคม เป็น 15 ตุลาคม แต่ระบุว่าถ้าในวันที่ 15 ก่อนธนาคารปิดแล้วยังไม่ได้เงินกู้ทั้งหมด 350 ล้านปอนด์พร้อมดอกเบี้ย จะส่งเรื่องเข้าพรีเมียร์ลีกเพื่อทำการ Administration ทันที
โดยสมาคมฟุตบอลอังกฤษก็รับลูกกับ RBS ว่าถ้าธนาคารส่งเรื่องมา ลิเวอร์พูลจะโดนตัดทันที 9 แต้ม และจะมีบทลงโทษอื่นๆตามมาอีก ซึ่งทำให้ช่วงเวลา 10 วัน ระหว่างวันที่ 6 ตุลาคม ถึง 15 ตุลาคม เป็นช่วงเวลาที่ระทึกที่สุดของสโมสร มันเป็นการต่อสู้กันของ 3 บอร์ดชาวอังกฤษ กับ 2 เจ้าของชาวอเมริกันที่ไม่ยอมแพ้ง่ายๆ
13 ตุลาคม 2010 ศาลที่ลอนดอน นัดตัดสินคดีว่ายิลเลตต์กับฮิคส์ มีสิทธิ์จะปลดบอร์ดบริหารของสโมสรได้หรือไม่โดยปราศจากความยินยอม
บรรยากาศทั้งเมืองลิเวอร์พูลลุ้นระทึกคำตัดสินของศาลอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน มาร์ติน บรัฟตันบอกว่าเขามั่นใจว่าผลลัพธ์จากคำพิพากษาจะออกมาดีแน่นอน แต่แฟนลิเวอร์พูลรายหนึ่งพูดขึ้นมาว่า "คุณไม่มีทางแน่ใจ 100% ได้หรอก ถ้าเรื่องมันถึงศาลแล้ว"
โฆษกของทอม ฮิคส์กล่าวในช่วงเช้าของวันพิจารณาคดีว่า "การประชุมของบอร์ดบริหารลิเวอร์พูลเป็นไปอย่างไม่ถูกต้อง และทั้ง 3 คน ไม่มีอำนาจในการขายสโมสรให้ผู้อื่น"
ในตอนนั้นบรรยากาศของคนทั้งโลกกำลังตื่นเต้นกับข่าว คนติดเหมือง 33 ชีวิตที่ชิลี ซึ่งสามารถช่วยออกมาได้เป็นคนแรก แต่ที่ลิเวอร์พูลไม่มีใครสนข่าวนั้นเลย ทุกคนโฟกัสอยู่ที่คำพิพากษาในประเด็นนี้เท่านั้น สตีเว่น เจอร์ราร์ดที่เก็บตัวในแคมป์ทีมชาติก็ดูแต่โทรศัพท์มือถือตลอดเวลา
11 นาฬิกา ศาลอ่านคำตัดสิน ผู้พิพากษาสรุปคดีว่า "ในคดีนี้ จอร์จ ยิลเลตต์ กับทอม ฮิคส์ ทำการตกลงกับธนาคาร RBS ตั้งแต่แรกว่าจะให้มาร์ติน บรัฟตันเป็นผู้บริหารของลิเวอร์พูล จุดประสงค์ของ RBS คือหาหนทางเก็บหนี้ ที่คุณยิลเลตต์ กับคุณฮิคส์ไม่ได้จ่ายเมื่อถึงเวลาที่กำหนด นี่คือข้อตกลงที่ชัดเจนแต่แรกอยู่แล้ว"
"และผมก็ไม่เห็นหลักฐานเช่นกัน ในการปลดเอียน อายร์ และ คริสเตียน เพิร์สโลว์ออกจากตำแหน่ง เป็นการพูดปากเปล่าและกระทำอย่างกะทันหันโดยที่ทั้งสองไม่ได้เห็นชอบแต่แรก"
"เรื่องนี้ศาลจะไม่รับอุทธรณ์ เพราะศาลจะไม่ขอก้าวก่าย เรื่องการแต่งตั้งบอร์ดบริหารในองค์กรมากกว่านี้"
ศาลตัดสินให้ฝั่งลิเวอร์พูลชนะ ท่ามกลางเสียงโห่ร้องของแฟนๆลิเวอร์พูล หนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่งพาดเฮดไลน์ "เราชนะ" และในเมืองลิเวอร์พูลแฟนเพลงรวมตัวกันร้องเพลง You'll never walk alone ในที่สุดยุคสมัยของยิลเลตต์ กับฮิคส์ก็จะจบลงเสียที ตอนนี้จอห์น เฮนรี่เตรียมเงินสดเอาไว้แล้ว พร้อมจ่ายให้ RBS ทันที
เหมือนจะจบแล้วก็จริง แต่ยัง!
ไม่กี่ชั่วโมงหลังแพ้คดีที่อังกฤษ ยิลเลตต์กับฮิคส์ไม่ยอม ได้ ถ้าศาลที่อังกฤษเอียงข้างเลือกลิเวอร์พูลมากกว่า พวกเขาไปฟ้องศาลในอเมริกาก็ได้ ยิลเลตต์ฟ้องศาลที่เมืองดัลลัส รัฐเท็กซัส ว่า NESV เกี่ยวข้องกับการซื้อขายที่ผิดกฎ นั่นทำให้ศาลที่ดัลลัสสั่งระงับการซื้อขายเป็นการชั่วคราว
เท็กซัสคือบ้านเกิดของจอร์จ ยิลเลตต์ ดังนั้นเขาเชื่อว่า อำนาจของศาลที่สหรัฐฯ จะทำให้เขาชนะได้ในเกมนี้
RBS พวกเขาไม่สนใจว่าใครจะชนะ สิ่งสำคัญคือเอาเงิน 350 ล้านดอลลาร์พร้อมดอกเบี้ยมาคืนให้ได้ ก่อนธนาคารปิด วันที่ 15 ตุลาคมก็แล้วกัน
สถานการณ์ของลิเวอร์พูลคับขันมาก เพราะ NESV เอาเงินออกมาซื้อไม่ได้เพราะขัดคำสั่งศาลที่อเมริกา แต่ลิเวอร์พูลจะปล่อยให้เลยเดดไลน์วันที่ 15 ก็ไม่ได้อีก เพราะทีมจะโดนสั่งปรับแต้ม และอาจโดนปรับตกชั้น ส่วนปีเตอร์ ลิม ที่เคยยื่นข้อเสนอตอนแรกก็ไม่หวนกลับมาอีกแล้ว เพราะโดนปฏิเสธไปแล้ว
ถ้าปล่อยสถานการณ์เป็นแบบนี้ ลิเวอร์พูลจะแพ้ สโมสรจะเหลือทางเลือกเดียวคือให้ยิลเลตต์ กับฮิคส์ มารีไฟแนนซ์ เอาเงินไปจ่าย RBS ซะ และลิเวอร์พูลก็จะเป็นของ 2 นักธุรกิจชาวอเมริกันคนนี้ต่อไป ไม่หลุดพ้นจากวงจรนรกเสียที
14 ตุลาคมแล้ว ตอนนี้ทีมงานของลิเวอร์พูลกับ NESV ต้องแข่งกับเวลาเหลือเวลาอีกเพียงแค่ 1 วันเท่านั้น
NESV จะส่งทีมกฎหมายไปยื่นอุทธรณ์คำร้องคุ้มครองชั่วคราวจากศาลที่ดัลลัส จากนั้น จอห์น เฮนรี่ จะประจำอยู่ที่อังกฤษพร้อมเงินในมือเตรียมพุ่งตรงไปจ่ายเงินให้ RBS ทันทีที่ศาลรับคำอุทธรณ์
15 ตุลาคม นี่คือวันประวัติศาสตร์ของสโมสร ลิเวอร์พูลจะจมอยู่กับเจ้าของเก่า หรือจะไปต่ออนาคตใหม่ๆมันจะวัดกันที่วันนี้ล่ะ
ปัญหาสำคัญที่สุด ที่ลิเวอร์พูลจะแพ้ คือเรื่อง "เวลา"
เวลา 16.00 ที่อังกฤษซึ่งเป็นเดดไลน์ คือเวลา 10.00 ที่ดัลลัส แปลว่ากระบวนการทุกอย่างต้องเร็วมากทันทีที่ศาลเปิดต้องรีบยื่นเรื่อง เพื่อให้ศาลพิจารณา ซึ่งก็ไม่รู้ศาลจะใช้เวลาแค่ไหนในการรับคำอุทธรณ์ จากนั้นถ้าศาลโอเคแล้ว ก็รีบส่งข่าวมาให้เฮนรี่เอาเงินไปจ่ายทันที คือถ้าอะไรผิดพลาดนิดเดียวเกมจบทันที และยิลเลตต์ กับฮิคส์จะชนะ
ยิลเลตต์กับฮิคส์พร้อมนายทุน เตรียมเงินก้อนเพื่อรีไฟแนนซ์อยู่แล้ว ถ้าศาลไม่รับคำอุทธรณ์ของ NESV ก็เกมโอเวอร์ แอนฟิลด์จะเป็นของพวกเขาต่อไป
12.48 น. ทีมกฎหมาย NESV ยื่นเรื่องถึงศาลให้พิจารณาอุทธรณ์ มันคือเวลา 6 โมงเช้าที่อเมริกา ทุกคนทำงานกันอย่างเต็มที่ คือทันทีที่ศาลเปิดก็พุ่งตัวเข้าไปเลย
13.27 น. จอร์จ ยิลเลตต์ กับ ทอม ฮิคส์ ยืนยันว่าพวกเขาเตรียมเอาเงินทุนจาก Mill Financial ไปรีไฟแนนซ์สโมสร เงินเตรียมพร้อมไว้หมดแล้ว รอแค่เวลาเท่านั้น
13.58 น. ศาลมีคำสั่ง "รับ" คำอุทธรณ์ของ NESV และอนุญาตให้ซื้อขายได้ ทีมกฎหมายรีบแจ้งไปที่จอห์น เฮนรี่ที่อยู่ในลอนดอนทันทีว่าทางสะดวกแล้ว ตอนนี้เหลือเวลาเดดไลน์อีกแค่ 2 ชั่วโมงเท่านั้น
14.51 น. การซื้อขายยังไม่เกิดขึ้น ไม่มีใครเห็นว่าจอห์น เฮนรี่อยู่ที่ไหน ถ้าอีก 1 ชั่วโมงต่อจากนี้การซื้อขายไม่จบ ความพยายามของทีมกฎหมายก็โอเวอร์เหมือนกัน
2
15.19 น. แฟนลิเวอร์พูลรายหนึ่งทวีตข้อความว่า "นี่บ่าย 3 แล้ว และถ้าเงินยังไม่มาถึง RBS ในอีก 2 นาทีนี้ พวกเราก็จบสิ้นกัน"
15.44 น. ท่ามกลางการรอคอย ในที่สุดจอห์น เฮนรี่มาแล้ว เขาตรงไปที่ธนาคาร RBS สาขาลอนดอน เพื่อจ่ายเช็กหนี้สินทั้งหมดที่สโมสรติดค้างไว้แต่จะทันหรือเปล่า เพราะเวลาเหลืออีกแค่ 16 นาที?
15.52 น. จอห์น เฮนรี่ มอบเช็กให้กับ RBS เรียบร้อย และ นักข่าวจากบลูมเบิร์กทวีตข้อความว่า "Deal Done!"
15.58 น. ลิเวอร์พูลแถลงการณ์ยืนยันขายกิจการให้ บริษัท NESV ในสหรัฐอเมริกา ดีลจบลงก่อนถึงเดดไลน์แค่นิดเดียวเท่านั้น
เกมจบเรียบร้อยแล้ว เจ้าของเปลี่ยนมือ ยิลเลตต์ กับฮิคส์ ก็พ่ายแพ้ไปด้วยความคับแค้นใจ เพราะเขาไม่ได้กำไรอะไรเลยแม้แต่ปอนด์เดียว และสำหรับแฟนลิเวอร์พูลนี่คือชัยชนะที่สำคัญที่สุดในรอบหลายปี มันยิ่งใหญ่ไม่แพ้ถ้วยแชมเปี้ยนส์ลีกในปี 2005 เลยทีเดียว
16.19 น. จอห์น เฮนรี่ เดินออกมาจากธนาคาร RBS พร้อมมาร์ติน บรัฟตัน และให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชน ด้วยท่าทางที่โล่งใจอย่างยิ่ง
บรัฟตันกล่าวว่า "แฟนลิเวอร์พูลทุกคนคงรู้ดีว่าเวลาต้องไปตัดสินที่การดวลจุดโทษ มันต้องลุ้นระทึกขนาดไหน แต่ตราบใดที่ผลออกมาชนะ ทุกอย่างมันก็สมบูรณ์แล้ว"
ขณะที่จอห์น เฮนรี่ให้สัมภาษณ์ว่า "ผมภูมิใจ และมีความสุขที่จัดการเรื่องวันนี้ได้สำเร็จ"
"สิ่งที่เราพยายามทำในวันนี้ น่าจะบอกคาแรคเตอร์ของเราให้แฟนลิเวอร์พูลได้รู้แล้ว ว่าเรามาที่นี่เพื่อชนะ!"
นี่คือจุดเริ่มต้นของ การเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญที่สุดของลิเวอร์พูล การเอา 2 นักธุรกิจชาวอเมริกัน ที่ไม่ได้แคร์สโมสรเลย ออกไปจากทีม และนำเข้าคนอเมริกันอีกกลุ่มแต่มีความใส่ใจละเอียดกว่ากันมาก มันสร้างความแตกต่างให้เห็นจริงๆ
ในปี 2010 ลิเวอร์พูลอยู่ในช่วงลูกผีลูกคน แต่เวลาผ่านไปแค่ 10 ปี ทุกสิ่งทุกอย่างเปลี่ยนไปหมด และทีมหงส์แดงกลายเป็นหนึ่งในสโมสรที่ทำกำไรมากที่สุดในโลก
จุดเปลี่ยนสำคัญที่สุดอยู่ในวันที่ 15 ตุลาคม 2010 วันนั้นล่ะ ถ้าจอห์น เฮนรี่ ซื้อสโมสรไม่สำเร็จ ทุกวันนี้ลิเวอร์พูลก็ยังตกอยู่ในมือของยิลเลตต์กับฮิคส์ต่อไป และนึกไม่ออกเหมือนกันว่าจะก้าวหน้ามาได้ขนาดนี้ไหม
ถ้าหากวันนั้นอะไรผิดพลาดแค่วินาทีเดียว คงไม่มีเจอร์เก้น คล็อปป์ ไม่มีฟาน ไดค์ ไม่มีซาลาห์ ไม่มีมาเน่ ไม่มีแชมป์ยุโรปปี 2019 และไม่มีแชมป์พรีเมียร์ลีกปี 2020
มันคือหนึ่งวันที่เปลี่ยนแปลงลิเวอร์พูลไปตลอดกาลจริงๆ
#Liverpool
โฆษณา