1 มี.ค. 2020 เวลา 02:54 • ธุรกิจ
จากศูนย์สู่ร้อยล้าน ก่อนอายุ 35 ปี (EP.4)
ตอนที่ 4 :การเลือกลงทุนในอสังหาฯ ระหว่าง เลี้ยงไก่เนื้อ หรือเลี้ยงไก่ไข่ แบบไหนเหมาะกับคุณ ? (เลือกให้ดี มีร้อยล้าน )
1
โดย Savvy Investor (แซฟวี่ อินเวสเตอร์)
“Slow Life แต่ไม่ Slow Rich”
“ เชิญติดตาม...การเดินทางของชายคนหนึ่งที่เริ่มต้นด้วยเงินทุนเล็กๆ ไปสู่พอร์ตการลงทุนอสังหาริมทรัพย์มูลค่า 9 หลัก ในเวลาเพียง 6 ปี !!!”
*** ที่สำคัญ เมื่ออ่านจบ ครบทุกตอน รับรองว่า ใครๆก็ทำตามได้ครับ แต่จะได้ 8 หลัก 9 หลัก หรือ 10 หลัก แล้วแต่ความจริงจังของแต่ละคนครับ***
1
อสังหาฯดีๆมี Passive Income ให้คุณเที่ยวแบบสบายใจ
หลายคนสงสัย ว่าแล้วถ้าจะเริ่มลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ เนี่ย ควรเริ่มจากทรัพย์แบบไหนดี?
โดยเฉพาะช่วงนี้ที่มีของออกมาให้ช็อปเยอะเลย555
จะเน้น ทรัพย์ที่ได้ค่าเช่าดี ระหว่างถือครอง (Yeild) หรือ ลงทุนแบบกึ่งเก็งกำไร เอาส่วนต่างราคา (Capital Gain) ดี? ใน EP 4 นี้มีคำตอบครับ
ก่อนอื่น ขออธิบายเชิงเปรียบเทียบครับ สมมติ คุณจำเป็นต้องเลือกเลี้ยงไก่ระหว่าง เลี้ยงไก่เนื้อ หรือเลี้ยงไก่ไข่ (บางสำนัก อาจเรียกว่า เลี้ยงวัวเนื้อ หรือวัวนม ก็ได้ครับ )
ลงทุนแบบ เลี้ยง “ไก่เนื้อ”
จุดเด่น จุดด้อย ของการเลี้ยง ”ไก่เนื้อ” คือเลี้ยงเป็นรอบๆไป เริ่มจากซื้อลูกเจี๊ยบ ที่ราคายังไม่แพง และรอให้ไก่โต แล้วขายเป็นรอบๆครับ รายรับไม่ได้มีทุกวัน ( แต่อาจจะมีรายจ่ายระหว่างทางด้วย) แต่ขายครั้งนึง ก็ได้เงินเป็นก้อนๆเลย ครับ และเมื่อขายไปแล้ว ก็ต้องมาเริ่มเลี้ยงใหม่อีกครั้ง เปรียบกับการซื้อ อสังหาริมทรัพย์ ที่ไม่ค่อยสร้างรายได้ในช่วงถือครองมากนัก หรือไม่สร้างรายได้เลยในช่วงถือครองเลย เช่น ที่ดินเปล่า(ค่าเช่าน้อยมากๆ เมื่อเทียบมูลค่าที่ดิน) แต่ เมื่อถือไว้นานๆอาจจะมีกำไรเป็นเปอร์เซ็นต์ที่สูงมากเมื่อเทียบกับราคาต้นทุน เป็นต้น ข้อเสียหลักๆคือ เราจะไม่ได้ใช้เงินในส่วนของกำไรเลย ตราบใดที่เรายังไม่ได้ขาย และหากช่วงไหนที่เราต้องการใช้เงิน เราอาจจะต้องรีบขาย ซึ่งอาจจะได้ราคาไม่ดีเท่าที่ควรจะเป็นครับ
ลงทุนแบบ เลี้ยง “ไก่ไข่”
จุดเด่น จุดด้อย ของการเลี้ยง “ไก่ไข่” คือเลี้ยงยาวๆไป ได้ไข่ทุกวัน นั่นคือมีรายรับทุกวัน แม้วันละเล็กละน้อยครับ แต่ไม่ต้องเปลี่ยนไก่บ่อยๆ ครับ เปรียบเทียบได้กับ การซื้ออสังหาฯ ที่สร้างเสร็จพร้อมใช้งานหรือพร้อมปล่อยเช่าเพื่อสร้างรายได้ เร็วๆ ซึ่งอสังหาฯ แนวไก่ไข่นี้ จะให้ผลตอบแทนได้บ่อยๆ เป็นประจำ เช่นรายวัน รายเดือน ระหว่างที่เราถือครอง เช่นซื้อบ้านให้เช่าระยะยาว หรือทำอาพาร์ตเมนท์ เป็นต้น นอกจากจุดเด่น เรื่องรายรับที่เข้ามาเรื่อยๆ เป็นประจำแล้ว ยังมีจุดเด่นอีกข้อคือ เราสามารถเอากระแสเงินสดที่เป็นรายรับเหล่านี้ มาลงทุนเพิ่มในอสังหาริมทรัพย์ชิ้นใหม่ๆได้อีก (ทั้งทางตรง คือเอาเงินสดที่ได้มา ไปซื้ออสังหาริมทรัพย์เพิ่ม หรือ ทางอ้อมเก็บเงินสดไว้ในธนาคาร แต่เพิ่มวงเงินกู้ได้ จากรายได้ที่เพิ่ม )
หมายเหตุ: ผลตอบแทนจากการถือครองหรือลงทุนในอสังหาริมทรัพย์นั้น มี2 รูปแบบใหญ่ๆ (ที่นอกเหนือจาก การได้ใช้ทรัพย์นั้นเอง หรือเรื่องของจิตใจ ความภาคภูมิใจ ) คือ ผลตอบแทนระหว่างถือครอง (Yeild) ซึ่งเหมือนเลี้ยงไก่ไข่ และ ผลตอบแทนแบบเน้นส่วนต่างราคา (Capital Gain) หรือเลี้ยงไก่เนื้อ นั่นเอง
1
“อะไรที่ไม่ได้เริ่มลงมือทำในวันนี้ พรุ่งนี้ไม่มีทางสำเร็จ”
เมื่อรู้แล้วว่า อสังหาริมทรัพย์แบบไก่เนื้อ กับไก่ไข่ ต่างกันอย่างไร ทีนี้ เรามาคุยกันว่าแบบไหนล่ะ ที่เหมาะกับเรา?!?
คำตอบ คือ ... จริงๆแล้ว ไม่มีแบบไหนดีกว่าแบบไหนครับ แต่มันขึ้นกับจังหวะและโอกาส ที่อยู่ตรงหน้าเรามากกว่า และที่สำคัญ มันขึ้นอยู่กับความพร้อมของเราด้วย ครับ ดังนั้นกลยุทธ์การเลือกลงทุนจึงเป็นสิ่งสำคัญ อย่างที่บอกไปครับ “เลือกให้ดีมี ร้อยล้านครับ”
และที่สำคัญกว่านั้นคือ “ต้องเริ่มลงมือทำครับ”
ตอนผมไปต่างประเทศ เจอร้านนึง ชื่อ Billy’s เขามีคำคมแปะที่หน้าร้านเลยครับว่า...
“ What is not started today never finished tomorrow “
... “อะไรที่ไม่ได้เริ่มลงมือทำในวันนี้ พรุ่งนี้ไม่มีทางสำเร็จ”
2
สำหรับผม ตอนเริ่มแรก ผมมีเงินน้อยแต่พอมีเครดิต กับธนาคารบ้างจากเงินเดือน ที่ทำงานประจำ ผมเริ่มจาก ลงทุนแบบเน้นกำไรจากส่วนต่าง (Capital Gain) หรือเลี้ยงไก่เนื้อครับ เพราะมันทำให้เราได้เงินก้อนกลับมาเร็ว และในขณะนั้นเป็นจังหวะที่เศรษฐกิจดีมาก จึงทำรอบได้หลายรอบ ในทางกลับกัน หากช่วงแรกเราซื้อ “ไก่ไข่” โดยที่เรายังมีทุนน้อยๆอยู่ มันจะทำให้เรา ขยายการลงทุนได้ช้ามากในช่วงต้น (แต่ถ้าคุณมีทุนเยอะๆอยู่แล้ว ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งครับ)
พอเริ่มมีเงินทุน มากขึ้น ผมจึงเริ่มแบ่งบางส่วน มาซื้ออสังหาริมทรัพย์ แนว ให้ผลตอบแทนรายเดือน แบบไก่ไข่ บ้างครับ
ซึ่งจริงๆแล้วในพอร์ต (Portfolio) ของเราถ้าเป็นไปได้ ควรมีทั้ง 2 อย่าง เพราะ “ไก่ไข่” จะทำให้เราอยู่แบบสบายๆ มีเงินใช้จ่ายทุกเดือนโดยไม่ต้องขายออก แถมยังเอา “รายได้ที่เพิ่มขึ้น” มานี้ไปสร้างเครดิตกับธนาคารเพื่อกู้ลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ชิ้นต่อๆไปได้ด้วย ส่วน “ไก่เนื้อ” จะทำให้เราขยับฐานะทุกครั้งที่ ลงทุนแล้วขายได้ ประมาณถูกล็อตเตอรี่รางวัลที่ 1 ทุกๆ 1-2 ปี เลยครับ!!
แล้วมีอะไรที่ดีกว่า ไก่ไข่ และ ไก่เนื้อไหม?
ผมเอง ลงทุนแบบเลี้ยงทั้ง ไก่ไข่ และไก่เนื้อนี้ อยู่สักพัก 2-3 ปี ครับ แต่หลังจากนั้น ผมก็มาคิดว่า มันจะมีอสังหาริมทรัพย์แบบไหนนะ ที่เป็นได้ทั้ง ไก่ไข่และไก่เนื้อ ในอสังหาฯชิ้นเดียวกัน (2 in 1) คือเอาข้อดี ทั้ง2 แบบ มารวมกัน นั่นคือ “ถือไว้ก็มีรายได้ ขายก็ได้กำไรเยอะ” เป็นไก่สายพันธุ์ใหม่ ที่ผสมผสานข้อดีทั้ง 2 แบบ (Hybrid Property)
ในบทความใน EP ถัดๆไป จะมาแชร์ วิธีสร้าง “ไก่สายพันธุ์ใหม่” เพิ่มครับ
*** ถ้าคิดว่าเป็นประโยชน์ รบกวนช่วยกด Like กด ติดตาม และแชร์ เป็นกำลังใจให้ด้วยนะครับ ขอบคุณมากครับ
โฆษณา