8 มี.ค. 2020 เวลา 23:57 • กีฬา
[ "คนจริง" มักถูกมองข้าม ]
อาจเพราะเป็นคนพูดตรง ขวานผ่าซาก ไม่ยอมลดราวาศอกให้กับความไม่ถูกต้อง จึงทำให้ ซโวนิเมียร์ โบบัน ถูกเอซี มิลานเชือดพ้นตำแหน่งหัวหน้าเจ้าหน้าที่ฝ่ายฟุตบอล ซึ่งเป็นตำแหน่งใหม่
ต้นตอมาจาก โบบัน ไม่พอใจ อิวาน กาซีดิส ผู้บริหารระดับสูงของสโมสร ที่มีพฤติกรรมงุบงิบ ไม่ยอมปรึกษากันหรือแจ้งล่วงหน้าว่าจะมีการทาบทาม ราล์ฟ รังนิก มารับบทผู้อำนวยการมีอำนาจดูแลครอบคลุมหมด
เรื่องของเรื่องคือมิลานเพิ่งจะแต่งตั้ง โบบัน มานั่งเก้าอี้ดังกล่าวเมื่อซัมเมอร์ปีที่แล้ว โดยมาพร้อมกับ เปาโล มัลดินี่ ซึ่งรับบทผู้อำนวยการฝ่ายเทคนิค
จำได้ว่าตอนนั้นบรรยากาศคึกคักมาก เพราะทั้งสองคนนี้คือตำนานของรอสโซเนรี่ ผ่านความสำเร็จกวาดแชมป์มามากมาย น่าจะมีส่วนช่วยฉุดให้สโมสรหวนคืนบัลลังก์อีกครั้ง
หน้าที่ของ โบบัน คือทำงานร่วมกับ มัลดินี่ เป็นตัวเชื่อมระหว่างบอร์ดบริหารกับกุนซือและบรรดานักเตะทั้งหลาย เพื่อเพิ่มความสะดวกราบรื่น ไม่ให้มีปัญหาติดขัด
ตอนแต่งตั้ง กาซิดิส พร่ำบรรยายสรรพคุณของทั้งคู่ไว้อย่างหวานเยิ้ม "ทั้งสองคนมีคุณค่ากับสโมสรเรา แสดงให้เห็นเมื่อครั้งเป็นนักเตะ จากประสบการณ์และความเป็นมืออาชีพ จะผลักดันให้เราเติบโตเดินไปในทิศทางที่ถูกต้องและมีพัฒนาการ"
อย่างไรก็ตามผลงานซีซั่นนี้ของมิลานยังทรงกับทรุดเหมือนเดิม โอกาสลุ้นติดท็อปโฟร์เพื่อไปโม่แข้งยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีกแทบริบหรี่ไร้ความหวัง เต็มที่ทำอันดับแลกตั๋วยูฟ่า ยูโรปาลีกเท่านั้น
แน่นอน กาซิดิส อาจจะคาดหวังสูง ความพยายามในการดึงบุคลากรเก่าๆที่มีค่ากลับมา อยากจะเห็นทีมประสบความสำเร็จให้เร็วที่สุด ทั้งที่ความจริงควรต้องให้เวลาปรับปรุงแก้ไขด้วย
พอไม่ได้ดั่งใจในฐานะผู้บริหารที่ถือดาบอาญาสิทธิ์ไว้ในมือ ย่อมทำให้ กาซิดิส อยากจะผ่าตัดใหญ่อีกครั้ง จึงผุดแผนทาบ รังนิก ซึ่งขึ้นชื่อว่าเก่งกาจครบเครื่อง ไม่ว่าเรื่องการคุมทีมหรือดูแลจัดการผู้เล่น
พอได้ข่าวว่าเบื้องบนทำอย่างนี้ โบบัน ถือว่าไม่ให้เกียรติกัน ต่างไปจากตอนที่เจรจาวางแผนนโยบายต่างๆอย่างสิ้นเชิง
คุยกันไว้แล้วว่าการให้อดีตนักเตะมาทำงานฝ่ายบริหาร เป็นรูปแบบเพื่อความยั่งยืนในอนาคต ซึ่งต้องใช้เวลาบ้าง แต่หากจุดติดลงตัวเมื่อไร รับรองได้เลยว่าปีศาจแดงดำจะผงาดยาวๆ
เมื่อถูกแทงข้างหลังอย่างไม่ไว้หน้ากัน คนอย่าง โบบัน ก็ไม่ประนีประนอม อย่าหวังเลยว่า กาซิดิส จะได้รับเกียรติตอบกลับ
เขาเปิดใจกับสื่ออิตาเลี่ยนชนิดไม่มีเกรงใจผู้บริหารเลยสักนิดเดียว พร้อมทั้งยังฝากไปสอนด้วยว่า ในวงการนี้ควรรู้จักเคารพนับถือกันด้วยและนี่ยังเป็นเอกลักษณ์เด่นของมิลานเรื่อยมา
สโมสรแห่งนี้เน้นการสร้าง ให้ความสำคัญกับการเป็นสุภาพบุรุษ เป็นวิถีที่สืบทอดปฏิบัติกันเรื่อยมา แม้ในยามที่ตกต่ำไม่เหมือนเดิม ก็ยังยึดมั่นศรัทธา
โบบัน ด่ากราดต่อหน้าสาธารณะเรียบร้อย เขาน่าจะรู้ชะตากรรมตัวเองดี แต่นั่นไม่ทำให้หวาดหวั่นเลยสักนิด
ในเมื่อตัวเขา , มัลดินี่ และ สเตฟานี่ ปิโอลี่ กุนซือต่างทุ่มเทกันอย่างเต็มกำลัง หวานเมล็ดพันธุ์ลงไป รอวันที่จะออกดอกผลตอบแทน แล้วต้องมาเจออย่างนี้ ก็ไม่จำเป็นต้องอยู่อีกต่อไป
กาซิดิส ไม่ต้องยื่นซองขาวมาให้ โบบัน ก็พร้อมจะไปเองอยู่ดี เพราะเชื่อว่าหากอยู่ต่อก็ลำบากอึดอัดใจกันเปล่าๆ
แล้วความจริงคือเขาไม่ใช่พวกมือใหม่หรือไร้ประสบการณ์งานด้านนี้มาก่อน
ปี 2016 เขาได้รับการแต่งตั้งนั่งเก้าอี้รองเลขาธิการของสหพันธ์ฟุตบอลนานาชาติหรือฟีฟ่า โดยดูแลฝ่ายเทคนิคและมีส่วนสำคัญในการผลักดันพัฒนาระบบวีเออาร์ในฟุตบอลโลก 2018
หลังทำงานได้ 3 ปี โบบัน รู้สึกอิ่มตัว จึงตัดสินใจลาออกมาเอง แม้มีเสียงทัดทานจาก จานนี่ อินฟานติโน่ ประธานฟีฟ่าแต่ก็ไม่อาจเปลี่ยนความตั้งใจได้
อินฟานติโน่ ชื่นชม โบบัน ไม่ขาดปาก โดยเฉพาะแพสชั่นในการทำงานที่มีเต็มร้อยเสมอ
"ซโวเน่ ช่วยเราได้มากๆในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา แสดงให้เห็นทุกอย่างแล้ว หัวใจและความทุ่มเท พวกเราจะคิดถึงเขาแน่นอน"
ว่ากันว่า โบบัน ได้รับการติดต่อจากมิลานแล้ว เขาพร้อมรับข้อเสนอ เมื่อโอกาสที่จะได้ช่วยเหลือสโมสรอันเป็นที่รัก
แต่ไม่คิดว่าสุดท้ายเลยแล้วมันจะจบลงง่ายๆอย่างนี้
นอกจากเรื่องของฝีเท้าแล้ว โบบัน ยังเลื่องชื่อในเรื่องความเป็น "คนจริง" อีกด้วย
เขามีบุคลิกอย่างนี้มาตั้งแต่เด็กแล้ว ความกล้าหาญ ไม่เกรงกลัวอะไรง่ายๆ ทำให้คนใกล้ตัวหรือครอบครัวเป็นห่วงเสมอ
โบบัน เกิดไอมอทสกีเมืองเล็กในโครเอเชียสมัยเมื่อครั้งยังเป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรยูโกสลาเวีย โดยอยู่ติดกับพรมแดนบอสเนียฯด้วย
แม้ตอนนั้น โครเอเชีย ยังไม่แยกประเทศมาปกครองตัวเอง แต่ โบบัน ถูกปลูกฝังให้มีสายเลือดและชาตินิยมในความเป็นโครแอตเรื่อยมา
เขาไม่เคยสนใจจะเล่นให้สโมสรใหญ่ที่เป็นของพวกเซิร์บเลยสักนิดเดียว ไม่ว่าจะเป็นเร้ด สตาร์ เบลเกรด (ปัจจุบันคือ เซอร์เวน่า ซเวซด้า) หรือปาร์ติซาน เบลเกรดเลยสักนิดเดียว
อีกทั้งสองทีมดังกล่าวยังเป็นเหมือนตัวแทนและกระบอกเสียงของรัฐบาลกลางด้วย เร้ด สตาร์เป็นส่วนหนึ่งของพวกตำรวจลับเซิร์บ ส่วนปาร์ติซานเป็นของกองทัพทหาร
ดังนั้น โบบัน จึงเริ่มต้นกับไฮจ์ดุ๊ค สปลิทก่อน แต่เล่นในทีมเยาวชนได้เพียงแค่ปีเดียวก็โยกไปอยู่กับดินาโม ซาเกร็บ ซึ่งเป็นเหมือนสโมสรเชิดหน้าชูตาของชาวโครแอต
ด้วยพรสวรรค์บวกับแรงมุ่งมั่น โบบัน ก้าวขึ้นทีมชุดใหญ่ตั้งแต่อายุเพียงแค่ 17 ปีเท่านั้น เป็นดาวรุ่งที่น่าจับตามากๆ แล้วพอ 20 ปีก็ถูกเรียกติดทีมชาติยูโกสลาเวีย
ตอนแรกที่ได้รับหมายเชิญ เขาไม่ค่อยอยากรับใช้ยูโกสลาเวียนัก แต่เพื่อนฝูงครอบครัวต่างบอกคล้ายกันว่าอย่าปฏิเสธ เพราะไม่เป็นผลดีกับตัวเองแน่
เวลานั้นเองคอมมิวนิสต์เริ่มอ่อนแอลงเรื่อยๆ พวกชาวโครแอตรุ่นใหม่ปลุกกระแสความเป็นชาตินิยมขึ้นมาและแน่นอนว่าฟุตบอลถูกนำมารับใช้
13 พฤษภาคม 1990 มีเกมบิ๊กแมตช์ระหว่างดินาโม ซาเกร็บกับเร้ด สตาร์ ซึ่งไฮไลต์ไม่ได้อยู่เกมในสนามเท่านั้น
แต่บรรยากาศของกองเชียร์ก็ดุดันเกรี้ยวกราดด้วย กลุ่มแฟนบอลดินาโมที่เรียกตัวเองว่า Bad Blue Boys เป็นการรวมตัวกันของวัยรุ่นโครแอตล้วนๆ จงใจมาป่วนโดยเฉพาะ
พวกนี้ตะโกนด่ารัฐบาลและคอมมิวนิสต์ มีป้ายผ้าโชว์หราประกาศตัวตนอย่างไม่เกรงใจ แถมมีการล้ำเส้นลงมาในสนามด้วย ร้อนถึงเจ้าหน้าที่ตำรวจต้องเข้ามาปราบปราม
และแน่นอนว่ามีการใช้กำลังเพื่อหยุดความห้าว กระบองถูกหวดใส่เด็กหนุ่มโครแอตไม่ยั้ง
โบบัน ซึ่งเห็นและรับรู้ทุกอย่างด้วยอดรนทนไม่ไหวที่เห็นกองเชียร์ฝั่งตัวเองโดนเล่นงานหนัก เลยวิ่งกระโดดเตะเข้าไปที่โปลิศนายหนึ่ง
ทั้งภาพนิ่งและภาพเคลื่อนไหวจากเหตุการณ์นั้นถูกเผยแพร่ไปทั่วโลก สร้างความประทับใจให้กับชาวโครแอตและฝั่งที่ไม่ชอบคอมมิวนิสต์ยิ่งนัก
ไม่ใช่แค่นั้นตอนที่ โบบัน วิ่งมาเตะตำรวจเต็มดอก โรเบิร์ต โปรซิเนคกี้ ซึ่งมีเชื้อสายโครแอต แต่เล่นให้เร้ด สตาร์ก็ยืนอยู่ใกล้ๆ มองตาปริบๆด้วยและไม่คิดจะห้ามอย่างใด
หลังจากนั้นไม่นาน โบบัน ให้สัมภาษณ์ว่า การกระทำเช่นนั้นรู้ดีทุกอย่างว่าเหมือนเอาชีวิต อาชีพการงาน ชื่อเสียงของตัวเองเป็นเดิมพัน การตั้งตนเป็นศัตรูกับรัฐบาลคอมมิวนิสต์จะไม่ปลอดภัยแน่
ทว่าเขาพร้อมทำเพื่อปกป้องศักด์ศรีความเป็นโครเอเชีย
แล้วกับเอซี มิลานที่เขาอยู่โยงรับใช้มายาวนานร่วม 10 ปีจะไม่ผูกพันเลยหรือ?
จนถึงปัจจุบันแม้วัยจะผ่านหลัก 5 มาแล้ว แต่ โบบัน ยังยืนหยัดในความเป็นตัวเอง พร้อมจะดับเครื่องชนแน่ถ้าเห็นว่ามันไม่ถูกต้อง เหมือนอย่างที่ปะทะกับ กาซิดิส โดยไม่มีกลัวตกงานนั่นแหล่ะ
จริงๆในวันที่ตกต่ำ มิลานต้องการคนคุณสมบัติเช่นนี้มากู้วิกฤต น่าเสียดายที่กลับมองข้ามไม่เห็นค่า
อย่างไรก็ตามบางครั้งคนจริงจัง ตรงไปตรงมา พร้อมบวกทุกสถานการณ์ก็อาจไม่ได้รับความไว้วางใจเสมอไป
น่าเห็นใจแฟนบอลเอซี มิลาน นอกเหนือจากต้องผจญกับไวรัส โควิด-19 แล้ว ยังไม่รู้เหมือนกันว่าทีมจะกลับมายิ่งใหญ่อีกเมื่อไร
อนาคตดูช่างน่าหดหู่เลยจริงๆ
.
ทุกท่านสามารถติดตามอ่านบทความย้อนหลังได้ที่ ..
.
และเพิ่มเพื่อนไลน์แอด "เพื่อเด้งเตือน" ให้คุณได้อ่านก่อนใคร กดที่ลิงค์นี้ครับ
ขอบคุณครับ
โฆษณา