12 มี.ค. 2020 เวลา 00:47 • กีฬา
แชมป์เก่าร่วง!หมี โคตรดุบุกหักปีก หงส์ 2-3 ทะยานผ่านเข้ารอบ 8 ทีม
ลิเวอร์พูล เปิดรัง แอนฟิลด์ รับการมาเยือนของ แอตเลติโก มาดริด ในเกมตัดสินชะตาว่าจะได้ผ่านเข้าไปป้องกันแชมป์ยุโรปหรือไม่ โดยนัดแรกจบลงด้วยชัยชนะ 1-0 ของ "ตราหมี"
"หงส์แดง" เพิ่งปลุกความมั่นใจกลับมาได้หลังเปิดบ้านเฉือนชนะ บอร์นมัธ 2-1 หยุดสถิติแพ้รวดไว้ที่ 2 นัด โดยปรับทัพ 2 ตำแหน่งในเกมนี้ แอนดี้ โรเบิร์ตสัน ฟิตพร้อมยืนแบ็กซ้ายตัวจริงแทนที่ เจมส์ มิลเนอร์ รวมถึง จอร์แดน เฮนเดอร์สัน คัมแบ็กกลับมาเสียบแทน ฟาบินโญ่
ในระบบ 4-3-3 อาเดรียน เฝ้าประตูต่อเนื่อง แนวรับวาง เทรนท์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์, โจ โกเมซ, เฟอร์จิล ฟาน ไดค์ และ แอนดี้ โรเบิร์ตสัน
แดนกลางวาง อเล็กซ์ อ็อกซ์เลด-แชมเบอร์เลน, จอร์แดน เฮนเดอร์สัน และ จอร์จินโย่ ไวนัลดุม แดนหน้าใส่ 3 ประสาน โมฮาเหม็ด ซาลาห์, โรแบร์โต้ ฟีร์มิโน่ และ ซาดิโอ มาเน่
แอต. มาดริด ปรับไลน์อัพ 3 จุดจากเกมเปิดบ้านเสมอ เซบีย่า 2-2 เมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา เรนาน โลดี้, โธมัส พาร์ตีย์ และ ดีเอโก้ คอสต้า ถูกเรียกใช้เป็นตัวจริงแทนที่ มาริโอ เอร์โมโซ่, มาร์กอส ยอเรนเต้ และ อัลบาโร่ โมราต้า
ตามแผน 4-4-2 แยน โอบลัค ปกปักรักษาด่านสุดท้าย แบ็กโฟร์วาง คีแรน ทริพเพียร์, สเตฟาน ซาวิช, เฟลิเป้ และ เรนาน โลดี้
ซาอูล ญีเกซ เชื่อมเกมตรงกลางสนามกับ โธมัส พาร์ตีย์ เกมริมเส้นฝาก อังเคล กอร์เรอา กับ โกเก้ เปิดป้อนคู่หอก ดีเอโก้ คอสต้า กับ ชูเอา เฟลิกซ์
เขี่ยบอลเริ่มเล่นได้เพียง 13 วินาที "ตราหมี" เกือบนำเร็วเหมือนนัดแรก เฟลิกซ์ แทงทะลุช่องให้ คอสต้า สปีดไปเก็บบอลก่อนลุยเข้าเขตโทษฝั่งขวาแล้วสับไกยิงพุ่งหลุดเสาแรกหวุดหวิด
เจ้าบ้านได้ลุ้นบ้างใน นาที 5 อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ ได้ครอสจากริมเส้นฝั่งขวาเข้าเขตโทษ ไวนัลดุม เทกตัวโหม่งได้ดีแล้วแต่ไม่ผ่านการป้องกันของ โอบลัค
"หงส์แดง" โหมบุกหนักจริงเพราะต้องการยิงประตูแรกให้ได้เร็วที่สุด นาที 14 มาเน่ เปิดเข้าเขตโทษไปโดนเคลียร์เข้าทาง อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ จ่ายต่อให้ อ็อกซ์เลด-แชมเบอร์เลน แตะเข้าเขตโทษฝั่งขวาแล้วยิงหักข้อด้วยขวาพุ่งเรียดไปโดน โอบลัค ล้มตัวออกไปได้สวย
ผ่านมาจนถึง นาที 34 เจ้าถิ่นลุยขึ้นมาทางขวา อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ วางยาวให้ ซาลาห์ เปิดเรียดไปหน้าเขตโทษตรงหัวกะโหลก มาเน่ วิ่งเข้ามาแปด้วยขวาจังหวะเดียวแต่ก็ยังไม่หนีตัว โอบลัค
ความพยายามของ "หงส์แดง" ได้รับผลตอบแทนใน นาที 43 ซาลาห์ จ่ายต่อให้ อ็อกซ์เลด-แชมเบอร์เลน สอดขึ้นไปทางฝั่งขวาก่อนตวัดเปิดจากสุดเส้นหลังเข้าเขตโทษ ไวนัลดุม เทกตัวโหม่งระยะ 10 หลากดลงพื้นกระดอนเสียบเสาซ้ายมือเป็นประตู 1-0
ประตูนี้ทำเอา เดอะ ค็อป เริ่มเห็นประกายความหวังทันตาเพราะมันคล้ายๆ กับเกมพลิกนรกเมื่อซีซั่นที่แล้วที่ไล่ต้อน บาร์เซโลน่า 4-0 เพราะ ไวนัลดุม ก็โหม่งทำประตูในคืนนั้นด้วย
45 นาทีแรกสิ้นสุดลงไปด้วยสกอร์นำ 1-0 ของ ลิเวอร์พูล ทำให้ผลรวม 2 นัดกลับมาเสมอกันที่ 1-1 ถือว่ารูปเกมเป็นไปตามความคาดหมาย "หงส์แดง" บุกหนักเพราะเสียเปรียบจากนัดแรกก่อนยิงได้สำเร็จ
ส่วน "ตราหมี" ที่เน้นอุดชัดเจนตั้งแต่ก่อนเริ่มเกม คงต้องปรับแผนกันใหม่เพราะจะรอให้โดนบุกใส่ฝั่งเดียวไม่ได้แล้ว หากยิงคืนได้ 1 ลูกจะโยนความหนักใจเป็นเท่าตัวให้เจ้าบ้านได้เลย
กลับมาต่อครึ่งหลัง ไม่มีการเปลี่ยนใดๆ จาก 2 ฝั่ง นาที 48 ลิเวอร์พูล เดินหน้าบุกต่อเนื่องเพราะต้องการยิงเพิ่ม ไม่ได้พอใจกับสกอร์นี้ ซาลาห์ สปีดตามไปรับบอลยาวในเขตโทษฝั่งขวาก่อนเลือกเอี้ยวตัวยิงเองด้วยซ้ายตรงตัว โอบลัค อย่างน่าผิดหวัง
6 นาทีต่อมา ยังเป็นโอกาสของเจ้าบ้าน อ็อกซ์เลด-แชมเบอร์เลน ได้ส่องไกลหน้าเขตโทษพุ่งเรียดไปเสาซ้ายมือแต่ โอบลัค ยังพุ่งปัดได้ดี
นาที 56 "ตราหมี" ขยับเปลี่ยนตัวแก้เกมก่อนแต่เลือกถอด คอสต้า แล้วส่ง มาร์กอส ยอเรนเต้ ลงไปเพิ่มในแดนกลาง
แอต. มาดริด ตอบโต้กลับไปบ้างหลังเข้าสู่ชั่วโมงแรกของเกม เฟลิกซ์ เลือกสับไกยิงหน้าเขตโทษพุ่งเรียดไปโดน อาเดรียน ปัดด้วยมือเดียวก่อนตามไปบล็อกลูกซ้ำของ กอร์เรอา ได้สวย
ลิเวอร์พูล พลาดโอกาสทิ้งห่างใน นาที 66 ซาลาห์ ลากจี้เข้าเขตโทษฝั่งขวาก่อนยิงด้วยขวาแฉลบ โลดี้ ลอยข้าม โอบลัค ไปหน้าประตู โรเบิร์ตสัน ตามเข้ามาโหม่งชนคานอย่างน่าเสียดาย
ให้หลัง 3 นาที เจ้าถิ่นลุยมาอีกชุด อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ ได้ตั้งป้อมหวดด้วยขวาหน้าเขตโทษฝั่งขวาเล็งไปเสาไกลแต่ โอบลัค ยังพุ่งปัดได้ดี โรเบิร์ตสัน ได้ซ้ำแต่ก็แฉลบแนวรับทีมเยือนออกหลังไป
"หงส์แดง" เปลี่ยนตัวบ้าง เจมส์ มิลเนอร์ ถูกส่งลงไปแทน อ็อกซ์เลด-แชมเบอร์เลน ใน นาที 82
เจ้าถิ่นเดินหน้าบุกเป็นชุดๆ แต่จังหวะยิงไม่เฉียบคมกันเอง โดยเฉพาะ มาเน่ กับ ซาลาห์ ทำให้สุดท้าย จบเกม ลิเวอร์พูล เชือดหวิว แอต. มาดริด 1-0 รวม 2 นัดเสมอ 1-1 ต้องดวลกันต่อในช่วงต่อเวลาพิเศษ
เริ่มเล่นต่ออีก 30 นาที แอต. มาดริด เปลี่ยนตัวเพิ่ม ซิเม่ เวอร์ซัลโก้ ลงไปแทน ทริพเพียร์ แต่ นาที 94 ลิเวอร์พูล นำห่าง 2-0 สมใจ ไวนัลดุม ได้โยนจากกราบขวาไปหน้าประตู ฟีร์มิโน่ โหม่งระยะ 8 หลาชนเสาซ้ายมือแต่ยังกระเด้งมาให้แปด้วยขวานิ่มๆ ตุงตาข่าย โดยนี่เป็นประตูแรกของเขาใน แอนฟิลด์ ฤดูกาลนี้ ด้วย
ทว่า แอต. มาดริด ไม่ยอมง่ายๆ หลังไล่มาเป็น 2-1 ใน นาที 97 อาเดรียน เปิดขึ้นหน้าไปเข้าทาง เฟลิกซ์ จ่ายต่อให้ ยอเรนเต้ แตะเข้าขวาแล้วแปด้วยขวาหน้าเขตโทษฝั่งซ้ายพุ่งเสียบเสาไกล ทำให้ทีมเยือนกลับมาเป็นฝ่ายได้เปรียบด้วยกฎประตูทีมเยือนหลังผลรวมเสมอกัน 2-2
นาที 103 "ตราหมี" เปลี่ยนตัวเพิ่ม อัลบาโร่ โมราต้า ลงไปแทน เฟลิกซ์ และกลายเป็นมีส่วนร่วมในประตูปิดปากกองเชียร์ใน แอนฟิลด์ ในช่วงทดเจ็บของช่วงต่อเวลาพิเศษ ครึ่งแรก หลังผ่านบอลในจังหวะสวนกลับเร็วให้ ยอเรนเต้ ได้สับไกหน้าเขตโทษตรงหัวกะโหลกพุ่งผ่านมือของ อาเดรียน ให้สกอร์ในเกมเปลี่ยนเป็น 2-2 และแซงนำ 3-2 ในผลรวม 2 นัด
กลับมาต่อครึ่งหลังของช่วงต่อเวลาพิเศษ ลิเวอร์พูล เปลี่ยนอีก 2 คน ฟาบินโญ่ กับ ดิว็อค โอริกี้ ลงไปแทน เฮนเดอร์สัน กับ ไวนัลดุม ขณะที่ แอต. มาดริด ส่ง โฮเซ่ มาเรีย คิเมเนเซ ลงไปเพิ่มในแดนหลังแทน กอร์เรอา
"หงส์แดง" พยายามบุกจากทุกทิศทางแต่ก็เจาะตาข่ายเพิ่มไม่ได้จนต้องเปลี่ยนตัวคนสุดท้ายใน นาที 113 ทาคุมิ มินามิโนะ ลงไปแทน ฟีร์มิโน่
เวลาผ่านไปเรื่อยๆ กองเชียร์ "หงส์แดง" ก็ยิ่งหดหู่ลงไปเรื่อยๆ เพราะต้องยิงอีก 2 ลูกเพื่อแซงชนะในเรื่องผลรวม 2 นัด แต่ไม่มีวี่แววว่าจะทำได้เลย
ช่วงทดเจ็บของครึ่งหลัง ช่วงต่อเวลาพิเศษ ทีมเยือนได้ประตูตอกฝาโลง โมราต้า ทำชิ่งกับ ยอเรนเต้ จนหลุดเข้าเขตโทษฝั่งซ้ายไปแปด้วยซ้ายผ่านการป้องกันของ อาเดรียน สบายๆ เป็นประตูแซงชนะ 3-2 พร้อมย้ำหมุดในฐานะผู้ได้เข้ารอบก่อนรองชนะเลิศด้วยประตูรวม 2 นัด 4-2
"หงส์แดง" ทำได้ดีแล้วจริงๆ ในช่วง 90 นาที พวกเขาเดินหน้าบุกเป็นระลอกคลื่น เพียงแต่ขาดความเฉียบคมในจังหวะสุดท้าย ทำให้ชนะได้แค่เพียงในช่วง 90 นาที
แต่ที่มันน่าเจ็บปวดกว่านั้นสำหรับ ลิเวอร์พูล คือการที่เกมรุกดร็อปลงไป แต่ก็ยังมาเจอเกมรับที่ก่อความผิดพลาดอีกต่างหาก
อาเดรียน ได้โอกาสเซฟบ้างในช่วง 90 นาทีแรก ดูเหมือนไม่มีอะไรผิดปกติก่อนมาออกลายในช่วงต่อเวลาพิเศษนี่แหละ จังหวะเสียประตู 2-1 ก็เป็นคนเตะขึ้นหน้าพลาดแถมตอนจะพุ่งเซฟก็ดูมะงุมมะงาหราจนพุ่งไปไม่ทันทั้งที่ลูกยิงของ ยอเรนเต้ ก็ไม่ได้แรงและเสียบมุมขนาดนั้น
ส่วนลูก 2 กับ 3 แม้บอกว่า อาเดรียน ผิดได้ไม่เต็มปาก แต่ปฏิเสธไม่ได้จริงๆ ว่าเขาควรทำได้ดีกว่านั้น
ยิ่งไปเทียบกับ โอบลัค ยิ่งเห็นได้ชัดถึงความแตกต่างเลยว่าการมีนายประตูที่ทำให้อุ่นใจนั้นเป็นยังไง มันน่าเสียดายตรงที่ อลีสซง เบ็คเกอร์ ดันมาเจ็บสะโพกในช่วงเวลานี้เนี่ยแหละ
ลิเวอร์พูล เลยต้องยุติเส้นทางป้องกันแชมป์ยุโรปของตัวเองไว้แค่เพียงรอบ 16 ทีมสุดท้าย พลาดโอกาสเดินทางสู่รอบชิงชนะเลิศเป็นปีที่ 3 ติดต่อกัน
จากความหวังลุ้นคว้าแชมป์ทุกใบที่เข้าร่วมค่อยๆ ลดลงมาเหลือเพียงถ้วยเมเจอร์ใบเดียวแล้ว นั่นคือ พรีเมียร์ลีก ซึ่งเอาจริงๆ แล้ว ก็คงไม่หลุดมือหรอก และน่าจะได้ฉลองในเร็ววันนี้แล้วด้วย
ดูๆ ไปแล้ว ลิเวอร์พูล ทำผลงานตกลงไปจากฤดูกาลที่แล้วพอสมควร หรือมันอาจเป็นจุดอิ่มตัวของใครหลายๆ คนแล้ว? หรือมันถึงเวลาสำหรับการปรับขุมกำลังในช่วงซัมเมอร์นี้?
กระนั้น จะยังไงก็แล้วแต่ ท้ายที่สุดแล้ว ลิเวอร์พูล จะเป็นแชมป์ พรีเมียร์ลีก แน่นอน และมันคือเป้าหมายสูงสุดของพวกเขามาตั้งแต่ก่อนเปิดฤดูกาลแล้ว ดังนั้น มันถือว่าพวกเขาบรรลุเป้าหมายแล้ว แค่ไม่ได้โบนัสเป็นแชมป์อื่นๆ ที่หวังไว้ แค่นั้นเอง
.
ทุกท่านสามารถติดตามอ่านบทความย้อนหลังได้ที่ ..
.
และเพิ่มเพื่อนไลน์แอด "เพื่อเด้งเตือน" ให้คุณได้อ่านก่อนใคร กดที่ลิงค์นี้ครับ
ขอบคุณครับ
โฆษณา