12 มี.ค. 2020 เวลา 03:32 • สุขภาพ
เรื่องเล่าจากคนไปทริปเดียวกับปูย่าดอนเมือง
ภาพจากเพื่อนในไลน์
#บำราศนราดูร #ผมจะเล่าให้ฟัง #ระวังกับระแวง #ความคิดคนอันตรายกว่าไวรัส #เรื่องเล่ายาวที่สุด #แต่อ่านกันเถอะ
ผมมีความลังเลมากมายจริงๆที่จะเผยแพร่ เล่าสู่กันฟังเกี่ยวกับเรื่อง #Covid19 ที่ได้สัมผัสมาด้วยตัวเอง เป็นเรื่องวนเวียนอยู่ในหัวอยู่หลายวัน เล่าดี หรือไม่เล่าดี
แต่สุดท้ายผมว่าประสบการณ์ของผมมันจะเป็นประโยชน์กับคนอื่นๆที่ยังรู้สึกสับสนทำอะไรไม่ถูก ถ้าคุณเคยเดินทางไปพื้นที่เสี่ยง คุณมีอาการเข้าข่าย แล้วคุณไม่รู้จะทำยังไงเรื่องนี้จะช่วยคุณได้มาก
ที่ผมเลือกที่จะเล่าให้ฟังในวันนี้เพราะ ครบ14วันพอดีที่พวกเรากลับจาก Hokkaido พื้นที่เสี่ยงตามข่าวนั่นคือพวกเราทุกคนปลอดภัยสำหรับสังคมและส่วนรวมในระดับหนึ่ง
8-15 กพ. คือทริปฮอกไกโดของพวกเรา กลับถึงกรุงเทพ วันเสาร์ที่15 3ทุ่มโดยประมาณทุกคนผ่านการตรวจคัดกรองเรื่อง อุณหภูมิร่างกายทั้งขาออกจาก สนามบินชิโตเซะ จนถึงสนามบินดอนเมือง
เราเดินทางด้วยสายการบิน Nok Scoot ในตอนนั้นยังไม่มีประกาศว่าคนที่เดินทางมาจากพื้นที่เสี่ยงต้องทำอย่างไรนอกจากถ้ามีอาการให้ไปพบแพทย์
19 กพ. มีข่าว คุณป้าเมืองแทกู ที่ทำให้ทางการไทยเริ่มมีการประกาศให้จำกัดบริเวณเฝ้าดูอาการตัวเองเป็นเวลา 14 วัน พวกเราเริ่มมีความสับสนเล็กๆว่าควรทำยังไงดีเพราะ กลับมาพวกเราก็เริ่มทำงาน ไปโรงเรียน มีไปประชุม ไปจัดงาน กลับบ้านต่างจังหวัด
24กพ. ความสับสนเริ่มเพิ่มมากขึ้นหลังจากมีข่าว คุณปู่คุณย่าในเช้าวันนั้น คนหลายคนที่มาพบเจอกับเราจะเดือดร้อนแน่นอน 12 ชีวิตที่ไปด้วยกันในทริปประจำปีของบริษัท ในฐานะเจ้านายภาพในหัวผมเริ่มโยงใย ว่าพวกเราไปที่ไหนมาบ้างแต่ละคนไปเจอใครมาบ้าง
โอ้วงมันช่างกว้างใหญ่เหลือเกิน ปกติผมจะไม่ใช่คนที่หวั่นไหวกับข่าวสารมากนักแต่ครั้งนี้ถ้าเกิดอะไรขึ้นจริงผลกระทบมันยิ่งใหญ่ พวกเรา12ชีวิตจะกลายเป็น Super Spreader เป็นหลุมดำกลืนกินประเทศนี้เลยทีเดียว
ความรู้สึกผมเหมือนแบกประเทศไว้ ความโกลาหลคงเกิดแน่นอนถ้าเราเป็นอะไร สิ่งที่พวกเราทำได้ในตอนนั้นคือ สังเกตตัวเองในทุกๆวัน ถ้าใครป่วยรึมีไข้ต้องรีบบอกเพื่อที่จะได้ทำในสิ่งที่ถูกต้องที่สุด
25 กพ. ผลกระทบจากข่าวปู่ย่า ทางโรงเรียนของไตเติ้ลโทรมาว่ายังไม่ให้ไปสอบทางกระทรวงให้หยุดอยู่บ้านและจะทำการสอบทีหลัง
26กพ. นี่คือประสบการณ์ที่มีคุณค่าของพวกเรา ไตเติ้ลที่ต้องหยุดอยู่บ้าน ตกกลางคืนประมาณ สี่ทุ่ม มีอาการตัวร้อนวัดไข้ได้ 38
ภรรยาผมตะโกนลั่นบ้านเลย หนุ่ยยยยยยลูกไข้38 เค้าไม่รีรอที่จะเก็บกระเป๋าเพื่อที่จะไปโรงพยาบาลทันที ผมยังนิ่งและคิดๆๆว่าต้องพาลูกไปที่ไหน
ในเวลานั้นสารพัดวิธีที่เราอ่านมา ดูมา มันไร้ประโยชน์มากๆ เพราะมันเยอะจนเราไม่รู้ว่าเรื่องไหนถูกต้องเรื่องไหนมั่ว ไม่นานผมก็คิดได้ว่าที่เดียวที่จะให้ข้อมูลเราได้ดีที่สุดเรื่องนี้คือ Website ของ กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข
ในนั้นบอกถึงข้อบ่งชี้อย่างชัดเจนว่า
1.กลับมาจากพื้นที่เสี่ยง
2.มีอาการไอถี่มาก ระบบทางเดินหายใจมีปัญหา หายใจหอบ (ปอดอักเสบ) มีน้ำมูก
3.นี่สำคัญมาก มีไข้เกิน37.5 องศาเซลเซียส
ต้องไปพบแพทย์ด่วน แล้วจะไปที่ไหนดี คิดเร็วๆต้องโรงพยาบาลเอกชนใหญ่
แต่หยุดก่อนคิดดีๆอ่านๆ FAQ สถานที่ที่ตรวจเรื่องนี้และรักษาได้มีไม่กี่ที่นะ ตัวเลือกของผมในตอนนั้น รพ.ศิริราช รามา และ บำราศนราดูร
ผมไม่ลังเลที่จะโทรไปที่ บำราศนราดูรในทันทีเพราะเราได้ยินชื่อนี้ทุกวันโทรอยู่สักพัก ที่นั่นรับสายผมเล่าเรื่องและอาการให้ฟัง ปลายสายตอบว่ามาได้เลยคะครบข้อบ่งชี้ ที่นี่จะตรวจรับเฉพาะคนที่มีข้อบ่งชี้ที่ว่ามาและมีไข้ย้ำเลยว่าต้องมีไข้ ถ้าไม่ใช่ให้เฝ้าสังเกตอาการตัวเองก่อนอาจเป็นแต่ไข้หวัดธรรมดาถเพราะสภาพอากาศ
เรา3คน แม่ เตี่ย ลูกมุ่งหน้า สถาบันบำราศนราดูร ที่อยู่ในกระทรวงสาธารณสุข ทันทีไม่ไกลห่างบ้านเราไปแค่ 15 นาทีเท่านั้น พอถึงเข้าไปแจ้งเราทางนั้นให้ทำประวัตินั่งรอ ผลการตอบกลับจากคณะทำงาน
ตอนนั้นประมาณ 23.00น. แล้ว เรื่องนี้ต้องวิ่งไปหลายต่อจนถึงผู้ที่สั่งการลงมาได้ ต้องหาห้องแยกผู้ป่วยเฉพาะต้องระดม แพทย์ และพยาบาลเฉพาะ ผมเลยพาไตเติ้ล มานั่งรถในรถเพราะไม่อยากให้อยู่รวมกับคนอื่นๆตรงนั้น
ผมพูดกับเค้าว่าไม่ต้องกลัวนะลูกเราเจอกันมาเยอะแล้วนี่ก็เป็นอีกประสบการณ์ใหม่ของเราไตเติ้ลหันมายิ้มผมรู้เลยว่าเค้าไม่ได้วิตกอะไรมาก สิ่งที่ลูกบอกผมคือเตี่ยถ้าเติ้ลต้องนอนที่นี่หาอะไรมาไห้เติ้ลกินหน่อยนะเติ้ลเริ่มหิวแล้ว
ประมาณ 40 นาที คุณป้าพยาบาลผู้ใจดีพาเราไปที่ห้องเจ้าหน้าที่ เข็นเตียงมาแล้วให้เรารออยู่ตรงนี้ เด่วจะมีทีมมาพาพวกเราไปอีกที 0:15 น. ทีมมาถึงพาพวกเราไปที่หอผู้ป่วยแยกโรค
ผมได้แค่ไปส่งด้านหน้าเพราะอนุญาตให้อยู่เฝ้าได้แค่คนเดียว เราจะรู้ผลอีกทีประมาณเทีัยงพรุ่งนี้ ยุ้ยและไตเติ้ลจะออกห้องแยกโรคไปไหนไม่ได้จนกว่าผลจะออกมา ผมก็ทำหน้าที่ไปหาอาหารไปฝากส่งที่คุณพยาบาล แล้วกลับมาตั้งสติที่บ้านต่อ ยุ้ยทยอย เล่าและส่งภาพการตรวจมาทางไลน์
เริ่มจากซักประวัติ เอกซเรย์ปอดเพื่อดูอาการปอดบวมกับระบบทางเดินหายใจ ขูดกระพุ้งแก้ม เก็บสารคัดหลั่งทางจมูกสองอย่างนี้เพื่อบ่งชี้ว่าของเหลวในร่างกายมีเชื้อไวรัสเป็นพาหะของโรคหรือไม่ และ เจอเลือดอีก2หลอดใหญ่ไปเพื่อเพาะเชื้อหาไวรัส ไตเติ้ลให้ควรร่วมมือเป็นอย่างดี
ประมาณ 2:00 น. การตรวจเบื้องต้นก็มา ต่อทอลซินโต ปอดอักเสบเล็กน้อย มีเสมหะ ส่วนผลของของเหลว และ เลือด คัดกรองไวรัสจะรู้ตอนเที่ยง
ระหว่างนั้นผมก็แจ้งทุกคนที่ไปทริปด้วยกัน คนใกล้ชิดในครอบครัว บอกเลยมันเป็นช่วงเวลาแห่งการรอคอย ส่วนไตเติ้ลก็กินอิ่มแล้ว VDO Call มาหามาเล่าให้ฟังว่าตรวจอะไรบ้างแล้วก็หลับด้วยความง่วง
ยุ้ยไม่นอนเลยทั้งคืนวัดไข้ลูกเองทุกชั่วโมง พอเช้าทุกคนเห็นเรื่องนี้ในกลุ่มไลน์พร้อมๆกันผมเชื่อว่าทุกคนที่ออฟฟิศ ที่บ้าน หลานๆที่เล่นกับไตเติ้ลทั้งวัน คงอยากให้ถึงตอนเที่ยงเร็วๆ ยิ่งกว่าลุ้นหวยรางวัลที่1
27 กพ. เวลา 11:36 น. ยุ้ยโทรกลับมาผมตั้งสติหายใจลึกๆ แล้วรับสาย “เธอโอเคนะไตเติ้ลไม่มีเชื้อ” เป็นแค่ทอนซิลโตและคออักเสบ อาการไข้ตัวร้อนก็ไม่มีแล้ว แพทย์จ่ายยาให้กลับมากิน และนัดมาเจอในวันพรุ่งนี้
ณ ตอนนี้โล่งจริงๆ ผมรีบไปที่ บำราศนราดูร เพื่อรับยุ้ยและไตเติ้ลกลับทันที พร้อมทั้งแจ้งให้ทุกคนได้รับผลนี้ ทุกคนตอนนี้น่าจะรู้สึกโล่งและยินดีเหมือนผม
ไปถึงสถาบันพอรับขึ้นรถผมถามยุ้ยเรื่องค่าใช้จ่ายคำตอบที่ได้คือ ทางสถาบันแจ้งว่าทุกอย่างเป็นไปตามเกณฑ์ที่ทางการประกาศดังนั้นจึงไม่มีค่าใช้จ่าย สำหรับการมาคัดกรองครั้งนี้ จะมีแค่ครั้งต่อไปที่นัดมาตรวจที่ กุมารเวชของที่นี่เพียง 70 บาท
เรื่องที่ผมไปสัมผัสมานี้ทำให้ผมรู้สึกมั่นใจมากๆในระบบการทำงานของระบบสาธารณสุขไทย ผมเชื่อว่าไม่มีการปิดข่าว ดีใจที่พวกเราไม่ต้องเป็นข่าว
ข้อมูลที่เชื่อถือได้มากที่สุดคือ จากทางกระทรวงสาธารณสุข เพราะถ้าผมไม่หาข้อมูลแล้วไปตามที่มีส่งๆกันมาว่าตรวจที่ รพ.เอกชนใหญ่ๆได้คงไม่รวดเร็วและน่าจะยืดเยื้อกว่านี้แน่นอน ในหลายที่ตามตารางที่ส่งๆกันมาไม่รับตรวจด้วยในขณะนี้ สุดท้ายถ้าผลเป็นบวกก็จะเกิดความโกลาหลขึ้นที่ รพ.นั้นๆ
หลังกลับจากการตรวจพวกเราก็พยายามไม่ออกไปไหนจนกว่าจะครบ 14 วันในวันนี้ ผมคิดว่าผมโชคดี โชคดีที่ตั้งแต่กลับมาไม่มีใครเลยที่พูดเสียดสี Bully หรือแสดงความรังเกียจผมและครอบครัว ต่างจากหลายๆคนที่ส่งข้อความและโทรมาปรับทุกข์
สิ่งที่เราควรตระหนักอย่างยิ่ง ณ เวลานี้
>ใช้ข้อมูลจริงตัดสินใจอย่าใช้ความกลัว
>เชื่อในข้อมูลเป็นวิทยาศาสตร์มีแหล่งที่มาชัดเจน อย่าให้น้ำหนักกับข่าวลือ
>เชื่อมั่นในกันและกันไม่กล่าวโทษให้ร้ายเสียดสีใคร (ข้อนี้สำคัญมาก)
ผมอยากจะขอความร่วมมือทุกคนที่ผมรู้จักว่าเราควรปฎิบัติต่อ บุคคลกลุ่มเสี่ยงด้วยจิตใจเอื้ออาทร เอาใจเค้ามาใส่ใจเรา ไม่พูดเสียดสี
หลายคนอ่อนไหวมากจิตตกมาก อย่าซ้ำเติมกันเลย การให้กำลังใจเป็นสิ่งสำคัญมากๆ ถ้าสังคมมีแต่ความเข้าใจแบบที่ว่ามาผมเชื่อว่าจะไม่มีใครปกปิดข้อมูลการเดินทาง และ ปฎิบัติตามที่ทางการประกาศแน่นอน
ในทางตรงกันข้าม การด่าทอ เสียดสี รังเกียจกันผมว่าจะมีคนจำนวนหนึ่งที่ปกปิดข้อมูล แบบปู่ย่าคู่นั้นแน่นอน จากนั้นสถานการณ์มันอาจจะเกินกว่าที่จะควบคุมได้
ประเทศเราอาจเข้าสู่เฟส 3 คือการติดต่อเกิดขึ้นจากคนในประเทศกันเองและควบคุมไม่ได้ พวกเราทุกคนก็จะตกอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่ต่างกันดังนั้น ช่วยกันนะครับ
ข้อมูลคร่าวๆที่ผมพอสรุปได้ ทำไมต้องกักตัว 14 วัน เพราะระยะฟักตัวของ โรคโดยทั่วไปคือภายใน 14 วัน ผู้ป่วยทั่วไปมีระยะฟักตัว 3 วัน ร้อยละ 50 ของผู้ป่วยหนักจะมีระยะฟักตัวเท่ากับ 2 วันเท่านั้น
มีเพียงร้อยละ 1.27 เท่านั้นที่มีระยะฟักตัว ระหว่าง 15-24 วัน และมีรายเดียวที่มีระยะฟักตัว 24 วัน ดังนั้น ผู้ป่วยร้อยละ 98 ขึ้นไป จะมีอาการภายใน 14 วันและส่วนมากมีอาการระหว่าง 3 ถึง 7 วัน (ข้อมูลจากแพทยสภา)
การติดเชื้อไม่ได้ง่ายถึงขนาดเดินผ่านก็ติด ผลการตรวจคนร่วมไฟท์กับปู่ย่าน่าจะบอกเราได้ดี ง่ายๆเราไม่หายใจลดต้นคอกัน ไม่พูดใกล้กันชนิดหน้าแทบชนกัน ไม่แตะเนื้อต้องตัวกัน ล้างมือบ่อยๆ ใช้หลังมือเปิดประตู หรือกดลิฟต์ ล้างมือบ่อยๆ เจลแอลกอฮอลแพง เราใช้แอลกอฮอล์ใส่ขวดพ่นเล็กๆแทนได้ หรือล้างมือด้วยสบู่แทนก็ดี ใครสามารถใส่หน้ากากและพอหาได้ได้ก็ควรสวม (โดยส่วนตัวผมใช้เฉพาะเวลาต้องไปโรงพยาบาลหรือคนเยอะหนาแน่นจริงๆจึงใส่)
สุดท้าย ผมต้องขอบพระคุณ แพทย์ พยาบาล เจ้าหน้าที่ทุกคนที่ให้ความกรุณาดูแล เรื่องนี้อย่างเต็มที่
การทำงานอย่างเหน็ดเหนื่อยของทุกๆคนทำให้ผมกล้าบอกทุกๆในสังคมว่าระบบสาธารณสุขและการป้องกันโรคระบาดของประเทศไทยดีและมีประสิทธิภาพมาก
ล่าสุดติดท้อปเท็นเป็นอันดับที่ 6 จากทั้งหมด 195 ประเทศ และเป็นประเทศกำลังพัฒนาประเทศเดียวที่ถูกจัดให้อยู่ในอันดับท็อปเท็นของโลกอันดับที่ 1 ในเอเชีย สำหรับประเทศที่มีความพร้อมในการเตรียมตัวรับมือโรคระบาดดีที่สุดในโลก และมีระบบการป้องกันการติดเชื้อที่ดีที่สุดอย่างรอบคอบ
สะท้อนถึงความสามารถของไทยในการรับมือโรคระบาด ทำให้ไทยในขณะนี้ยังไม่เข้าสู่การแพร่ระบาดระดับ 3 ในขณะที่ญี่ปุ่นอยู่ในอันดับที่ 21
ผมหวังว่าการแบ่งปันข้อมูลของผมในครั้งนี้จะทำให้ทุกหลายๆคน มีความเข้าใจที่ถูกต้อง ระวังแบบไม่ระแวง ตระหนักแต่ไม่ตระหนก
พวกเราผ่านโรคระบาดกันมาเยอะแล้วครับ รุ่นบรรพบุรุษเรา มีกาฬโรค ฝีดาษ อหิวาตกโรค วัณโรค ไข้หวัดใหญ่ ในรุ่นพวกเราก็เผชิญกับ แอนแทรค ไข้หวัดนก H1N1 H5N1 SARS Mers และ น้องใหม่ โคโรน่า2019 เชื้อโรคเหล่านี้อุบัติขึ้นและจะไม่ตายไปจากโรคนี้ เราต้องอยู่กับมันให้ได้ เดี๋ยวมันก็จะผ่านไปครับ #เดี๋ยวมันจะผ่านไป
ประเทศไทยมีโรงพยาบาลสำหรับรับมือโรคระบาด ที่สร้างมาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 เพื่อรับมือกับการระบาดของอหิวาตกโรค ชื่อว่า“โรงพยาบาลโรคติดต่อ” ที่พัฒนาเป็น “สถาบันบำราศนราดูร” ในปัจจุบัน
โปรดช่วยกันแชร์เรื่องนี้ถ้าคุณคิดว่ามีประโยชน์ต่อส่วนรวมนะครับ อย่างที่ผมตั้งใจ
#ผมขอกราบขอขอบคุณพี่ผู้เขียนที่ไม่ประสงค์จะเปิดเผยตัวเองครับ ____/\____ สามล้อ^^_^^
โฆษณา