13 มี.ค. 2020 เวลา 02:44 • ความคิดเห็น
เรากำลังอยู่ในช่วง.....
" ประวัติศาสตร์การลงทุนที่ดีที่สุดอีกครั้งหนึ่ง "
ช่วง2-3 วันนี้เป็นช่วงที่จะถูกบันทึกไว้เป็นเหตุการณ์สำคัญทางประวัติศาสตร์อย่างแน่นอน (1)
และสำหรับคนที่อ่านบทความนี้จบ คุณจะเป็น 1 ใน 20% ของคนที่จะทำกำไรได้มากที่สุดจากตลาดรอบนี้อย่างแน่นอนค่ะ
บทความที่แล้ว เคทได้บอกถึงแนวรับสำคัญ ที่เราจะเข้าโฟกัสการลงทุน(ใช้ทฤษฎีmew) นั่นคือ บริเวณ 1,200-1,100 จุด และในกรณีที่เลวร้ายสุดๆ ก็คือ 900
ดังนั้น กรอบการลงทุน จะอยู่ที่ช่วง range นี้เป็นสำคัญ
จำไว้เสมอว่าไม่มีใครรู้ว่า ตลาดจะไปจบที่ตรงไหน และเราไม่สามารถซื้อได้ถูกที่สุดเสมอไป
แต่....สิ่งสำคัญ คือ คุณต้องหา มูลค่าพื้นฐาน (Value)ของหุ้นให้เจอค่ะ !!
อันดับต่อมา คือ คุณต้องบริหารการลงทุนให้ดี
แบ่งกรอบการลงทุน ตามสัดส่วน โดย แปรผันกับระยะเวลา เช่น ลงทุนระยะ สั้น กลาง ยาว
แน่นอนว่าตลอดเวลาประวัติศาสตร์บอกเราเสมอว่า การลงทุนระยะยาวให้ผลตอบแทนที่ดีที่สุด !!
ภาวะตลาดที่เกิดขึ้นรอบนี้ หากนับแต่วันที่เกิดเหตุการณ์ ระบาด Covid-19 จนปิดอู่ฮั่น เมื่อ 23 ม.ค.
Set ปิดลบไปแล้วถึง 30% จาก 1,573 จุด
ซึ่งอย่างที่บอกว่า มันเกินกว่าที่คาดไว้ตอนแรก 20% แต่...เพราะในส่วนของ 30% มีภาวะแทรกซ้อนของสงครามน้ำมันเข้ามาร่วมฉุดตลาดด้วย !!
และหากประเมิณปัจจัยลบขั้นสุด ที่วางไว้ก็ คือ
ดัชนี 900 ที่เราอาจได้เห็น ช่วงก่อนหน้านี่บอกจริงๆว่ายากมากค่ะ เพราะนั่นหมายถึงตลาดหุ้นจะปรับฐานติดลบไปถึง -50% จากไฮที่ 1,800 ซึ่งจะพอๆ กับช่วงเกิดวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ ที่ตอนนั้นตลาดจากไฮ 800กว่าๆ ไหลมาที่ 400 ประมาณ -50%
( ส่วนดาวโจนส์ ณ เวลานี้ก็ ร่วงลงมาราวๆ 27% จากไฮที่ 29,000+ เหลือ 21,200 )
ด้วยสถานการณ์ตอนนี้ตลาดเกิด super panic โดยสมบูรณ์แล้วค่ะ มีความเปราะบางมาก และเข้าสู่ภาวะหมีโดยสมบูรณ์เช่นกัน ดังนั้นเนี่ย กรอบต่ำสุดที่เราวางไว้มีสิทธิ์ที่จะได้เห็น หรือ อาจจะทะลุไปได้อีกเช่นกันค่ะ !!
อย่างไรก็ตาม ช่วงเวลานี้คือช่วงที่เราต้องโฟกัสค่ะ โดยไม่ต้องกังวลอะไรมาก ทำใจให้สบายๆค่ะ
เคทอยากจะบอกว่า อย่างช่วง วิกฤตเบอร์เกอร์ เป็นวิกฤตที่หนักมากนะคะ มูลค่าความเสียหายหนักกว่านี้เยอะค่ะ ณ ตอนนั้น มูลค่าเสียหายมากกว่า ล้านล้านดอลล่าห์อ่ะ คนตกงานอีกกว่า 2 ล้านคนในสหรัฐและส่งผลต่อทั้งโลกจนเกิดการชะลอตัวอย่างหนัก ต้องใช้เวลาหลายปีกว่าจะฟื้นนะคะ เทียบสเกลกับตอนนี้ไม่ได้เลยค่ะ
ขนาดตอนนั้นหนักๆ สุดท้ายตลาดหุ้นเราก็กลับมาได้ไวมาก โดยใช้เวลาไม่ถึงปีเลยค่ะ และจะบอกให้เลยว่ากำไรผลตอบแทนเฉลี่ยขั้นต่ำอยู่ที่ 70-100% นะคะ
คิดด้วยสมการง่ายๆเลยค่ะ ราคาสมมุติลดลงมา 50%
เดิมหุ้นราคา 100 บาท ลดลง 50% เหลือ 50บาท
แต่ถ้าเราซื้อ ที่ราคา 50 บาทได้ เวลาราคากลับไปยืนที่เดิม 100บาท มูลค่ามันไม่ได้เพิ่ม 50% เหมือนตอนที่มันลดลงนะคะ นั่นหมายถึง มันเพิ่มขึ้น 100%ค่ะ เพราะจาก 50 ไป100 = 100% ค่ะ
ตอนลด ลดแค่ 50% แต่ตอนซื้อขาขึ้นเป็น 100% นะคะ 😅 (2)
ทีนี้เมื่อพิจารณาดีๆโดยใช้เหตุผล ปราศจากอารมณ์ ปัญหา Covid-19 ถือว่ามีผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกน้อยกว่ามาก แต่ตลาดไหลไปไกลมากค่ะ มีความหวาดกลัว วิตกกังวลสูงจนเกินไป
เพราะหากพิจารณาดีๆแล้ว หุ้นหลายตัวพื้นฐานไม่เปลี่ยนนะคะ แทบไม่กระทบเลย หรือกระทบน้อยมากค่ะ
ดังนั้นนี่จึงเป็นโอกาสค่ะ !!
โอกาสครั้งประวัติศาสตร์ที่คุณจะผลิกฐานะเป็นเศรษฐีย่อมๆได้เลย เป็นโอกาสที่คุณจะโม้ได้อีกเป็นสิบยี่สิบปี ว่าคุณซื้อหุ้นช่วง วิกฤตโคโรน่า เหมือนที่เซียนในตำนานทั้งหลายที่คุณได้ปลื้มตอนที่เขาซื้อหุ้นช่วงวิกฤตเบอร์เกอร์อ่ะ
อ่ะ....ทีนี้มาดูกันว่าถ้าถึงเวลาที่เราเข้าลงทุน มีหุ้นอะไรน่าซื้อบ้าง บอกเลยเยอะแยะมากค่ะ
เคทอยากให้คุณลองจินตนาการ แล้วนึกภาพตามนะคะ คุณคิดว่าต่อจากนี้ หลังสถานการณ์คลี่คลาย
การใช้ไฟฟ้าจะลดลงไปเยอะไหม ?
 
แล้วคนจะเข้าเซเว่นลดลงเท่าไหร่ ?
 
คนจะนั่งรถไฟฟ้าน้อยลงขนาดไหน ?
และ คนจะเลิกใช้อินเตอร์เนตเท่าไหร่ ?
ขอยกตัวอย่าง เริ่มที่ Cpall 7-11 เลยละกัน
เรามาลองหามูลค่าหุ้นตัวนี้ดูค่ะ
ถ้าคิดเฉพาะรายได้ของ 7-11 แบบหยาบๆนะคะ
เฉลี่ย ที่สาขาละ 80,000 บาท/วัน มี 12,000 สาขา
= 80,000×12,000 = 960,000,000 บาท
960,000,000 บาท/วัน × 365 วัน = 3.5 แสนล้าน
3.5 แสนล้าน คิดกำไรที่ 3% = 1.05 หมื่นล้าน
รายได้จาก all cafe , แมคโคร, cp ram อาหารกล่องและขนมปัง , การเงิน ,โลจิส ฯลฯ
รวมอีก ราวๆ 2 แสนล้าน คิดกำไรที่ 5% = 1 หมื่นล้าน
รวมแบบหยาบๆ กำไร 2 หมื่นล้าน
มูลค่า Cpall ตอนนี้เหลือ 5 แสนล้าน !!
ธุรกิจที่มีเงินสดระดับ 5 แสนล้าน / ปี ตอนนี้หุ้นร่วงลงมาเหลือแค่ 5 แสนล้านเองค่ะ ถ้าไม่ทยอยเก็บตอนนี่จะไปเก็บตอนไหน 😂😂😂
ต่อให้สภาวะชะลอตัวแต่ธุรกิจพวกนี้จะกระทบไม่เกิน20% หรอกค่ะ และใช้เวลาไม่นานก็กลับมาได้
หรืออย่าง รถไฟฟ้า Bts
เอาเฉพาะแค่ธุรกิจรถไฟฟ้านะคะ
ดัชนีตัวเลขคนใช้บริการ ปกติอยู่ที่ 8 แสนคน/วัน
คิดเฉลี่ยที่ 50บาท =40 ล้าน/วัน
และ 1.46 หมื่นล้าน/ปี
ตอนนี้มูลค่า Bts เหลืออยู่ แค่ 1.2 แสนล้าน กับสัมปทานอีก 30 ปีอ่ะค่ะ คุณคิดว่าไงหล่ะ 😌
แต่ส่วนตัวธุรกิจที่เคทจะโฟกัสเป็นหลักในรอบนี้นะคะ
แน่นอน กลุ่มแรก คือ การท่องเที่ยวค่ะ เพราะราคาลงแรงมาก ถ้าสถานการณ์ต่างๆรวมถึงธุรกิจฟื้นตัว ด้วยความที่เราเป็นประเทศท่องเที่ยว กลุ่มนี้จะเทรินแรงมากค่ะบอกเลย เคทเติบโตมากับธุรกิจท่องเที่ยว ผ่านประสพการณ์อย่างสึนามิมาแล้ว มองว่ารอบนี้ ชิลๆค่ะ
ส่วนหุ้น ไม่ว่าจะ Centel หรือ Mint ล้วนแกร่งทั้งคู่ค่ะ ( รวมถึงพวกการบินด้วยนะ )
กลุ่มที่ 2 โลจิสติกค่ะ ไม่ว่ายังไงคนก็ต้องเดินทางค่ะ ขึ้นทางด่วน ขึ้นเครื่องบิน ขึ้นรถไฟฟ้า ขนส่งทางเรือ พวกนี้จะเทรินแรง
กลุ่มที่ 3 ก่อสร้างโครงการรัฐค่ะ กลุ่มนี้จะได้เปรียบตรงโครงการที่ชัดเจนของรัฐ ซึ่งเรามีเมกกะโปรเจคจะกระตุ้นฉีดยาเข้าเส้นเศรษฐกิจขนานใหญ พวกนี้จะมั่นคงมาก เคทโฟกัสไปที่ Ck และ Stec รวมถึง Tasco หุ้น 2 ตัวแรกมี บมจ.ลูก ที่แกร่งมาก เท่ากับคุณจะได้ของราคาถูกเลย
กลุ่มที่ 4 กลุ่มพลังงาน พลังงานเปรียบเป็นเส้นเลือดเศรษฐกิจ ยังไงก็ต้องมีค่ะ โฟกัสไปที่ กลุ่มไฟฟ้าเป็นหลัก
1
กลุ่มที่ 5 สุดท้าย อุปโภคบริโภค Cpall Bjc ฯลฯ
วันนี้แค่นี้ก่อนนะคะ ไว้คราวหน้าจะมาอัพเดตกันใหม่
อย่าลืมแชร์เก็บไว้หล่ะ ถึงปีหน้าตอนที่มันแจ้งเตือน เรามาดูกันอีกครั้งว่าจะเป็นจริงอย่างที่เคทบอกไหม
มิ้วๆ 🤗🤗
(1) Cercuit Breaker
ดัชนี -125.05จุด หรือ 10% และปิดที่ -134.98จุด
Set เหลือ 1,114.91= -10.80%
(2) (2) อย่าลืมว่านอกจากคุณจะได้เปรียบในเรื่องราคาแล้ว สิ่งที่สำคัญคือ คุณจะได้เปรียบเรื่อง จำนวนหุ้นด้วยค่ะ !! ตัวอย่างเช่น ถ้าคุณเคยซื้อหุ้น centell ที่ราคา 22 บาท คุณจะได้หุ้น เพียง 45,000 หุ้น ในวงเงิน 1ล้าน
แต่ถ้าคุณซื้อ ที่ราคา 17 บาท ในวงเงินเดียวกัน คุณจะได้ หุ้นถึง 58,800 หุ้นเลยค่ะ !!!
แล้วลองนึกดูสิว่า ปันผลต่อหุ้นจะต่างกันขนาดไหน 😌
สนใจอ่านบทความวิเคราะห์ต่างๆ แตะที่แฮทแท๋กได้เลยนะคะ
#เรื่องเล่าจังหวะชีวิต #วิเคราะห์เศรษฐกิจ
โฆษณา