13 มี.ค. 2020 เวลา 08:56 • กีฬา
พรีเมียร์ลีกจะทำอย่างไร เมื่อไวรัสระบาดเข้ามาสู่ UK แบบเต็มตัวแล้ว และสถานการณ์ของลิเวอร์พูลล่ะ จะได้แชมป์ลีกไหม หรือว่าต้องนับหนึ่งใหม่แต่แรก วิเคราะห์บอลจริงจังอธิบายอ็อปชั่นทั้งหมดในเวลานี้
จากเหตุโคโรน่าไวรัส สิ่งที่เกิดขึ้นแน่ๆ คือพรีเมียร์ลีกไม่ช้าก็เร็วต้องเลื่อนการแข่งขันออกไป เหมือนที่อิตาลี และสเปนทำอยู่ ณ เวลานี้
อังกฤษเองมั่นใจในการป้องกันโรคระบาด ตามสถิติของมหาวิทยาลัยจอห์น ฮอปกินส์ สหราชอาณาจักรคือประเทศที่มีการเตรียมพร้อมดีที่สุดอันดับ 2 ของโลก แต่การระบาดของโควิด-19 มันไม่มีทางจะหยุดยั้งได้หรอก มันมาแน่ อีกไม่นานอังกฤษก็จะมีผู้ติดเชื้อทะลุ 1 พันคนตามประเทศอื่นในยุโรปไป
ในวงการฟุตบอลก็ได้ผลกระทบหนักขึ้นเรื่อยๆ นักเตะเลสเตอร์บางรายอาจติดเชื้อ ส่วนมิเกล อาร์เตต้า ผู้จัดการทีมอาร์เซน่อลติดเชื้อไปแล้ว นั่นทำให้เกมเสาร์นี้กับวัตฟอร์ดถูกเลื่อนไปก่อนแบบไม่มีกำหนด รวมถึง คัลลัม ฮัดสัน-โอดอย ดาวรุ่งของเชลซีก็ติดเชื้อไปอีกหนึ่งคน
คำถามคือสิ่งที่จะตามมาจากโคโรน่าไวรัสครั้งนี้ พรีเมียร์ลีกจะเดินหน้าไปอย่างไรต่อ จะแข่งต่ออย่างไร แล้วมีหนทางไหนบ้างที่ลิเวอร์พูลที่เป็นจ่าฝูงจะพลาดแชมป์ลีกสูงสุด
[ 1- เริ่มแข่งลีกใหม่ตั้งแต่นัดแรก ไม่ใช่เป็นไปไม่ได้ ]
ฟุตบอลลีกอังกฤษ มีชื่อเสียงมาตลอดเรื่องการแข่งขันจนจบซีซั่น คือต่อให้มีปัญหาปัจจัยภายนอกเข้ามาแค่ไหน แต่บอลลีกจะเตะให้จบครบฤดูกาลเสมอ
เพียงครั้งเดียวที่บอลลีกแข่งไม่จบ นั่นคือในฤดูกาล 1939-40 ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 เริ่มต้นขึ้น ตอนนั้นบอลอังกฤษเริ่มฤดูกาลใหม่ไปได้ 3 เกมแล้ว
แต่พออังกฤษ ประกาศสงครามกับเยอรมัน นั่นทำให้เกมฟุตบอลหยุดทันที และ ทางฟุตบอลลีก ประกาศ "ยกเลิก" ผลการแข่งขันทั้งหมดที่แข่งมาแล้วใน 3 แมตช์แรก ถือว่าเป็นโมฆะไป แล้วเมื่อสงครามจบค่อยกลับมาแข่งขันกันใหม่
ทางสมาคมฟุตบอลอังกฤษชี้แจงว่า ก็ลีกมันเพิ่งเริ่มมาแค่ 3 เกมและสงครามจะจบเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ ดังนั้นแทนที่จะนับผลการแข่งขันต่อ ก็สู้ Restart ลีกไปเลยดีกว่า
หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 สิ้นสุดลง ฟุตบอลอังกฤษเต็มรูปแบบ กลับมาเปิดลีกอีกครั้งในฤดูกาล 1946-47 และ 22 ทีมที่แข่งอยู่ในฤดูกาล 1939-40 ก็เอากลับมาแข่งกันใหม่ เริ่มต้นนับหนึ่งกันใหม่ตั้งแต่แรก โดยใช้ Fixture แบบเดิมเป๊ะ
อย่างเช่นแมนฯยูไนเต็ดก่อนสงครามโลก (ซีซั่น 1939-40) แข่งไป 3 นัด
ชนะ กริมสบี้ 4-0
เสมอ เชลซี 1-1
แพ้ ชาร์ลตัน 2-0
พอกลับมาแข่งใหม่ในซีซั่น 1946-47 ก็เริ่มนับหนึ่งใหม่ ซึ่งปรากฏว่าแมนฯยูจากเดิม ชนะ 1 เสมอ 1 แพ้ 1 คราวนี้พวกเขาชนะรวด
ชนะ กริมสบี้ 2-1
ชนะ เชลซี 3-0
ชนะ ชาร์ลตัน 3-1
(ในยุคนั้นชนะได้ 2 คะแนน เสมอได้ 1 แพ้ได้ 0) จากเดิมแมนฯยูได้ 3 แต้มจาก 3 นัด พอลีกนับหนึ่งกันใหม่ พวกเขาได้ 6 แต้ม ถือว่าเพิ่มขึ้นจากเดิม
เหตุผลที่ฟุตบอลอังกฤษกล้าที่จะ Restart ทั้งฤดูกาลนั่นเพราะมันยังไม่มีบทสรุปอะไรออกมา การแข่งขันเพิ่งเปิดฉากมาได้แค่ 3 แมตช์เท่านั้น การนับหนึ่งใหม่ ก็มีเหตุผลที่พอฟังขึ้น แล้วค่อยกลับมาเริ่มต้นในวันที่ทุกอย่างเป็นปกติ
จริงๆถ้าสงครามโลกมันไปเกิดเอาในช่วงปลายฤดูกาล และมีทีมได้แชมป์ไปแล้ว แต้มขาดไปแล้ว แบบนี้ก็อาจมีการมอบโทรฟี่ให้ทีมแชมป์ในซีซั่น 1939-40 แต่ในเมื่อยังไม่มีใครได้แชมป์อะไรเลย ก็เลย Restart และเริ่มต้นกันใหม่หมด
ดังนั้นถ้าอ้างอิงจากที่เคยเกิดขึ้นในเหตุสงครามโลกครั้งที่ 2 การ "ยกเลิกลีก แล้วนับ 1 ใหม่" ยังมีสิทธิเกิดขึ้นได้
และ ถ้าหากลิเวอร์พูลยังทำแต้ม "ไม่ขาด" มองในแง่ร้ายที่สุด พวกเขาก็อาจไม่ได้โทรฟี่ในฤดูกาลนี้ ก่อนจะต้องไป Restart ลีก เอาในอนาคต
[ 2- ตัดจบเลยทำได้ไหม? ]
ที่อังกฤษไม่เคยมี แต่เคยมีประเทศที่ทำแบบนั้น นั่นคือไทยเรานั่นเอง
ในฤดูกาล 2016 การแข่งขันฟุตบอลไทยดำเนินมาถึงนัดที่ 31 ของฤดูกาล อีกเพียงแค่ 3 นัดจะจบซีซั่น
วันที่ 13 ตุลาคม ในหลวงรัชกาลที่ 9 เสด็จสวรรคต ซึ่งส่งผลให้ทุกอย่างในประเทศไทยเวลานั้น มีการหยุดชะงักทันที รวมถึงฟุตบอลลีกด้วย ที่เกิดคำถามว่าจะแข่งต่อดีหรือเปล่า ในสภาพที่บรรยากาศของทั้งประเทศยังมีการไว้อาลัยกันอยู่
สุดท้ายสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทยจึงประกาศ "ตัดจบ" ทันที แม้ว่าจะยังไม่มีทีมได้แชมป์ 100% ก็ตามที
สถานการณ์ตอนนั้นเมืองทองมี 80 แต้ม ลูกได้เสีย +49 นำจ่าฝูง ส่วนอันดับ 2 คือแบงค็อก ยูไนเต็ด มี 75 แต้ม ลูกได้เสีย +36
ช่องว่างทั้งสองทีมคือ 5 คะแนน กับลูกได้เสียต่างกัน 13 ลูก ซึ่งเมื่อเหลือการแข่งขันอีกแค่ 3 นัด แปลว่าในภาพรวมเมืองทองก็มีโอกาสได้แชมป์มากกว่านั่นแหละ
โปรแกรม 3 นัดที่เหลือของเมืองทองคือ เจอ อันดับ 16 อาร์มี่ (เหย้า), อันดับ 9 เทโร (เยือน) และ อันดับ 15 ซูเปอร์พาวเวอร์สมุทรปราการ (เยือน)
ส่วนโปรแกรม 3 นัดของบียู คือ เจออันดับ 17 ชัยนาท (เหย้า), อันดับ 16 อาร์มี่ (เหย้า) และ อันดับ 7 สุโขทัย (เยือน)
แน่นอนจากโปรแกรมที่เหลือ เมืองทองมีโอกาสได้แชมป์สูงมาก แต่ในทางทฤษฎีอะไรก็เกิดขึ้นได้ แบงค็อกยังพลิกมาเป็นแชมป์ได้เหมือนกัน แต่เมื่อลีกประกาศตัดจบแค่ตรงนั้น ก็ส่งผลให้เมืองทองได้แชมป์ลีกไปเลย
คือเรื่องแชมป์น่ะไม่เท่าไหร่ เพราะแบงค็อกเองก็ยอมรับประมาณหนึ่งแล้วว่า โอกาสไปถึงแชมป์คงยาก แต่ที่เป็นดราม่ามากๆคือทีมตกชั้น ตอนนั้นไทยลีกมี 18 ทีม จะเอาอันดับ 16 17 18 ตกชั้นไปเล่น T2
สถานการณ์ตอนนั้นย้ำว่าเหลืออีก 3 นัด ตารางคะแนนเป็นแบบนี้
อันดับ 12 - พัทยา 34 แต้ม (ลูกได้เสีย -20)
อันดับ 13 - ศรีสะเกษ 33 แต้ม (ลูกได้เสีย -11)
อันดับ 14 - ราชนาวี 31 แต้ม (ลูกได้เสีย -15)
อันดับ 15 - ซูเปอร์พาวเวอร์ 31 แต้ม (ลูกได้เสีย -26)
อันดับ 16 - อาร์มี่ 30 แต้ม (ลูกได้เสีย -12)
อันดับ 17 - ชัยนาท 30 แต้ม (ลูกได้เสีย -15)
อันดับ 18 - บีบีซียู 13 แต้ม (ลูกได้เสีย -37)
คือบีบีซียู น่ะตกชั้นแน่ๆ แต่อาร์มี่ กับชัยนาท พวกเขายังมีโอกาสอยู่รอดได้สบายๆ คือเห็นๆว่าแต้มตามหลังโซนปลอดภัยแค่ 1 คะแนน แถมลูกได้เสียก็ดีกว่าอันดับ 15 ซูเปอร์พาวเวอร์เยอะมากๆด้วย คือ ขอแค่ซูเปอร์พาวเวอร์แพ้แค่ 1 นัด แล้วพวกเขาเสมอได้ แต้มก็แซงแล้ว
โปรแกรมของซูเปอร์พาวเวอร์ มีเจอเมืองทอง ว่าที่แชมป์ , เจอราชนาวี อันดับ 14 ซึ่งเป็นแมตช์ตัดแต้มกันเอง และเจอนครราชสีมาในนัดเยือนซึ่งก็น่าจะแพ้เหมือนกัน
แต่ก็นั่นล่ะ พอประกาศตัดจบปั๊บ อาร์มี่กับชัยนาท ซึ่งยังมีโอกาสเต็มตัวที่จะอยู่รอด จึงโดนสั่งให้ตกชั้นไปเลย ต้องไปนับหนึ่งใหม่จาก T2
ซึ่งเคสแบบนี้ ที่ไทยเคยมี แต่เราไม่รู้ว่าอังกฤษจะยึดโมเดลนี้หรือไม่ อย่างเวสต์แฮม (อันดับ 16) , วัตฟอร์ด (อันดับ 17) และ บอร์นมัธ (อันดับ 18) ทั้ง 3 ทีมมีแต้มเท่ากันเป๊ะคือ 27 แต้ม แต่ห่างกันแค่ลูกได้เสีย 1-2 ลูกเท่านั้น ซึ่งถ้ายึดโมเดลไทย บอร์นมัธจะตกชั้นทันที ซึ่งแน่นอนมีโอกาสเกิดจลาจลในเมืองบอร์นมัธได้เลย เพราะพวกเขาไม่ยอมแน่
และถ้าบอร์นมัธไม่ยอมตกชั้น ทีมอื่นก็อาจไม่ยอมให้ลิเวอร์พูลได้แชมป์เหมือนกัน ตราบใดที่แต้มยังไม่ขาด
[ 3- ถ้าไม่ Restart ลีก ไม่ตัดจบ จะทำอย่างไร ]
ในตอนนี้ลีกยุโรป เบรกกันหมดราวๆ 1-2 เดือน เพื่อคุมสถานการณ์ไม่ให้เลวร้ายลงไปกว่านี้ ถ้าหากมองโลกในแง่ดี คือชาติยุโรปสามารถ "คอนโทรล" ทุกอย่างให้จบลงใน 1-2 เดือนได้จริงๆ ก็มีโอกาสที่ฟุตบอลลีกแต่ละประเทศ จะกลับมาเตะกันอีกครั้ง
แต่คำถามคือแล้ว "เวลา" ที่หายไปล่ะ 1-2 เดือนในช่วงที่เบรกๆกันมา จะไปเอาเวลาที่ไหนมาแข่ง เพราะอีกแป้บเดียว ฤดูกาลใหม่ 2020-21 ก็จะเริ่มแล้ว คือถ้าแข่งไม่จบในเดือนกรกฎาคม ก็จะไปชนกับฤดูกาลใหม่อีก
ทฤษฎีที่พอจะเป็นไปได้คือ เลื่อนศึกยูโร 2020 ออกไปซะ จับโยกไปแข่งในช่วงกลางปีหน้า ซึ่งถ้าเป็นแบบนั้น ฟุตบอลลีกยุโรปจะได้เวลาในช่วงมิถุนายน ถึง กรกฎาคมกลับคืนมา และสามารถแข่งโปรแกรมที่คั่งค้าง ให้จบลีกได้ในช่วงเวลานั้น
เป็นโชคดีของศึกยูโรในปีนี้ ที่ไม่มีเจ้าภาพแบบเดี่ยวๆ ไม่อย่างนั้นประเทศนั้นจะต้องเจ็บตัวหนักมาก จากการเลื่อนของโปรแกรมครั้งนี้ แต่ยูโร 2020 มีชาติเจ้าภาพถึง 12 ชาติ กระจายการแข่งทั่วยุโรป ดังนั้นการเลื่อนออกไป ก็ไม่ได้ทำให้มีชาติใดชาติหนึ่งเจ็บตัวหนักมาก กระจายๆความเสียหายกันไป
วิธีการนี้ ถือเป็นไอเดียที่ไม่เลวทีเดียว ถ้าทางยูฟ่าโอเค แต่มันจะใช้ได้ผลก็ต่อเมื่อโคโรน่าไวรัสสามารถควบคุมได้ในระยะเวลาแค่ 1-2 เดือนต่อจากนี้ แต่ถ้ามันระบาด 4-5 เดือนยังไม่จบ การเลื่อนยูโร 2020 ก็คงไม่มีความหมายอะไร
[ สรุปสถานการณ์ ]
อธิบายสิ่งที่จะเกิดขึ้นนับจากวันนี้อย่างเรียบง่ายที่สุดคือ
การประชุมในวันนี้ หลังจากอาร์เตต้ากับฮัดสัน-โอดอย ติดเชื้อไปแล้ว มีแนวโน้มสูงมากที่จะ "ปิดลีก" ชั่วคราว หรือถ้าจะเปิดแข่งก็จะมีแค่บางคู่เท่านั้น ในเมืองที่มีผู้ติดเชื้อน้อย ซึ่งอ็อปชั่นที่มีอยู่ จะเป็นแบบนี้
1) ถ้าปิดลีกชั่วคราว แค่ 1-2 วีก ก็จะกลับมาแข่งต่อให้จบไม่เกินเดือนมิถุนายน ทุกอย่างจะเป็นปกติ และเมื่อถึงเดือนสิงหาคมก็เริ่มฤดูกาลใหม่
2) ถ้าพิจารณาแล้วว่า 1-2 วีกไม่พอ ต้องหยุดลีกกัน 1-2 เดือน โปรแกรมยูโร 2020 อาจต้องยอมเสียสละเพื่อให้แข่งลีกกันให้จบก่อนสิ้นสุดเดือนสิงหาคม
3) แต่ถ้ามากกว่า 1-2 เดือน ก็จะมีอ็อปชั่น 3 อย่างคือ
3.1 - Restart ลีกไปเลย นับหนึ่งใหม่แต่แรกสุด เหมือนช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2
3.2 - ตัดจบ แต้มเท่าไหร่ หยุดตรงนั้น ทีมแต้มมากสุดได้แชมป์ไป แต้มต่ำสุดสามอันดับตกชั้นทันที
3.3 - รอสถานการณ์พร้อม แล้วกลับมาแข่งต่อในอีกไม่ถึง 10 นัดที่เหลือ เมื่อไหร่ก็เมื่อนั้น แต่แน่นอนมันก็อาจสับสนกับฤดูกาลใหม่ได้ ลองคิดดูว่า ถ้าลีกมาพร้อมแข่งวันที่ 1 กันยายน แล้วแบบนี้จะทำอย่างไร แข่งจบของเก่า แล้วต่อของใหม่เลยไหม พอตกชั้นปั๊บก็ย้ายไปเล่นแชมเปี้ยนชิพทันทีเลยหรือเปล่า
[ ลิเวอร์พูลต้องการอะไรตอนนี้ ]
ปิดท้ายที่เรื่องของลิเวอร์พูล พวกเขามี 82 แต้ม ขออีกแค่ 5 คะแนนเท่านั้น ก็จะคอนเฟิร์มได้ว่าซีซั่นนี้ไม่มีใครทำแต้มไล่ทันอีกต่อไป
อีก 2 นัดจากนี้เป็นเกมที่ลิเวอร์พูลหวังจริงๆว่าจะได้เล่น และคว้าชัยชนะทั้ง 2 นัด เพื่อให้แต้ม "ขาด" อันดับ 2 แมนฯซิตี้ จะไล่ไม่ทันอีกต่อไป
ทำไมการทำแต้มให้ขาดถึงสำคัญนัก?
สาเหตุเพราะ ถ้าพรีเมียร์ลีกเลือกใช้วิธีเลื่อน หรือตัดจบ ยังไงหงส์แดงจะได้แชมป์ลีกแน่ๆ แต่ปัญหาคือ ถ้าฟุตบอลอังกฤษเลือกใช้วิธี Restart ล่ะ
ลองยกตัวอย่าง Worst case scenario คือฟุตบอลอังกฤษต้องพักไป 1 ปี สามารถกลับมาแข่งขันใหม่ได้ในฤดูกาล 2021-22 โน่นเลย
ซึ่งในฤดูกาล 2021-22 ที่จะกลับมาแข่ง ก็จะต้องใช้ 20 ทีมเดิม ที่อยู่ในลีกตอนนี้ Restart Fixture ตั้งแต่นัดแรก แล้วไปล่าหาแชมป์กันว่าใครจะได้แชมป์ในซีซั่น 2021-22
แต่ถ้าลิเวอร์พูลทำแต้มขาดแล้ว แม้พวกเขาต้อง Restart ลีก แต่ก็ยังอ้างได้ว่า พวกเขาต้องได้โทรฟี่แชมป์ในซีซั่น 2019-20 เพราะแต้มมันขาดไปเรียบร้อยแล้ว
ดังนั้นสิ่งที่แฟนลิเวอร์พูลหวังคือ ขอให้พรีเมียร์ลีกยื้อไปก่อนสัก 2 นัดได้ไหม ขอให้ชนะเอฟเวอร์ตัน ตามด้วยชนะคริสตัล พาเลซในสัปดาห์หน้า เก็บ 6 แต้ม เพื่อการันตีคว้าแชมป์ไปก่อน แล้วจากนั้นจะหยุด จะ Restart อะไรก็ว่ากันไป
เพราะถ้าคุณทำแต้มขาดแล้ว ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น โลกฟุตบอลก็จะยอมรับว่า คุณได้เป็นแชมป์แล้ว และโทรฟี่พรีเมียร์ลีก 2019-20 ก็จะเป็นของคุณแน่นอน แต่ถ้าหงส์ยังทำแต้มไม่ขาด แล้วมีการ Restart ลีก มันเป็นไปไม่ได้ ที่เขาจะมอบถ้วยแชมป์ให้ เพราะแม้โอกาสทางปฏิบัติจะไม่มีวันเกิดขึ้น แต่ในทางทฤษฎียังมีอยู่ คือลิเวอร์พูลแพ้เกมที่เหลือทั้งหมด แล้วแมนฯซิตี้ ชนะเกมที่เหลือทั้งหมด ลิเวอร์พูลก็ไม่ได้แชมป์นะ
ดังนั้นก่อนที่จะมีการเลื่อนแข่งขันแบบไม่มีกำหนด ซึ่งอาจจะนำมาสู่การยกเลิกลีก ถ้าหงส์แดงอยากจารึกชื่อไว้ในฐานะแชมเปี้ยนอย่างไม่มีข้อกังขา ก็จำเป็นต้องเก็บชัยชนะให้ได้ในอีก 2 นัดที่เหลือ (ถ้าได้แข่ง)
ซึ่งสถานการณ์ที่อังกฤษ มันรุนแรงขึ้นชนิดที่ต้องเช็กสถานการณ์วันต่อวัน ลิเวอร์พูลมีโปรแกรมแข่งมันเดย์ไนท์ วันที่ 17 มีนาคม และ กับคริสตัล พาเลซ วันเสาร์ที่ 21 มีนาคม อีกแค่ "8 วัน" เท่านั้น ที่พวกเขาหวังว่าสถานการณ์จะไม่เลวร้ายไปกว่านี้ ขอให้ยื้อได้ถึง 8 วัน เก็บได้ 6 แต้ม แค่นี้พวกเขาพอใจแล้ว
แต่ว่ากันตรงๆ ด้วยสถานการณ์แบบนี้ ที่ไวรัสเพิ่มผู้ติดเชื้อแบบคูณสองทุกวัน ผ่านสุดสัปดาห์นี้ไปได้ก็เก่งแล้ว
#Coronavirus
โฆษณา