15 มี.ค. 2020 เวลา 06:07 • กีฬา
[ รวมข่าว FAKE ในวงการฟุตบอล อันไหนที่หลงเชื่อไปแล้วบ้าง มาเช็กกันได้ที่นี่ ]
ในโลกฟุตบอลมีเรื่อง Fake Story เยอะแยะมากมาย บางเรื่องมีการปั้นแต่งให้ซึ้งจนโอเวอร์ แต่พอไปสืบสาวดูจริงๆแล้ว มันคือข่าวลวงทั้งนั้น
ส่วนหนึ่งก็ต้องยอมรับว่า คนแต่งเรื่อง บางคนทำได้แนบเนียนมาก เอาข้อเท็จจริงผสมกับเรื่องหลอกๆ เอามารวมกัน จนดูกลายเป็นเรื่องหลอกๆ ที่น่าเชื่อถือ มันคือนวัตกรรมใหม่ของการปั้น Fake Story
แน่นอน การปั้นแต่งก็ส่วนหนึ่ง แต่เราในฐานะคนรับสาร ก็ต้องพินิจให้ดีเช่นกัน เพื่อไม่ให้คนพวกนี้ปั่นหัวเราได้
วิเคราะห์บอลจริงจัง ขอรวมเรื่องที่เป็น Myth หรือ เรื่อง Fake ที่เล่าลือกัน 10 เรื่อง ไปดูกันว่าเรื่องไหนที่คุณเคยได้ยินมานาน และเชื่อเสมอว่ามันจริง แต่ความจริงแล้วมันเป็นเรื่องลวง
[ อันดับ 10- ไม่ใช่เทรนต์! ]
เมื่อปีที่แล้ว มีภาพหลุดออกมา โดยอ้างว่าเป็นรูปถ่ายคลาสสิคของสตีเว่น เจอร์ราร์ด กับ เทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ สมัยเด็ก
1
ดูแล้วแบบว่าเจ๋งมากเลย จากเด็กในอดีตที่ถ่ายรูปกับไอดอล ก้าวขึ้นมาเป็นตัวจริงของลิเวอร์พูลได้สำเร็จ แต่ปัญหาอย่างเดียวของรูปนี้คือ คือ นี่ไม่ใช่เทรนต์
1
แม้บุคลิกเผินๆจะเหมือนกัน แต่เด็กคนนี้ ไม่ใช่เทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ เด็กคนนี้ชื่อดิออน ซิมป์สัน
ย้อนกลับไปในปี 2009 ลิเวอร์พูลลงแข่งขันลีกคัพ กับลีดส์ ยูไนเต็ด ตามธรรมเนียม สโมสรเจ้าบ้านก็จะไปหาเด็กมาเป็นมัสคอต ให้นักเตะเดินลงสู่สนาม ซึ่งสโมสรลีดส์ ก็ไปได้ตัวดิออน ซิมป์สัน เด็กหนุ่มวัย 10 ขวบ ที่บ้านอยู่ลีดส์ มาเป็นมัสคอตให้ฝั่งหงส์ในเกมนั้น
ดิออน ซิมป์สัน เดินจับมือกับเจมี่ คาร์ราเกอร์ กัปตันทีมในวันนั้น เดินลงสู่สนามจากนั้นเมื่อมีจังหวะก็ไปถ่ายรูป กับสตีเว่น เจอร์ราร์ด ที่เป็นตัวสำรองในเกมนั้นด้วย
เราจะสังเกตจากชุดได้ครับ ว่ารูปนี้เจอร์ราร์ด ใส่ชุดตัวสำรอง ขณะที่เก้าอี้ เป็นสีน้ำเงินซึ่งก็เป็นของสนามเอลแลนด์ โร้ดนั่นเองครับ
จริงๆเจอร์ราร์ดอาจจะเคยถ่ายกับเทรนต์จริงๆนะ เพราะเทรนต์อยู่อคาเดมี่หงส์ตั้งแต่ปี 2004 ตั้งแต่ลิเวอร์พูลยังไม่ได้แชมป์ยุโรปที่อิสตันบูลด้วยซ้ำ เพียงแต่ไม่ใช่รูปนี้ แค่นั้นเอง
[ อันดับ 9- เป็นเกียรติอย่างยิ่ง ]
อันนี้ไม่ใช่ข่าวใหญ่ แต่เป็นข่าวฮา เมื่อมีเพจฟุตบอลโนเนมเพจหนึ่ง ชื่อ Properfootball โพสต์รูป Fake เป็นรูปรูเบน เนเวส กองกลางของวูล์ฟแฮมป์ตัน แล้วใส่ Quote ที่เนเวสไม่ได้พูุด โดยเขียนว่า "ย้อนกลับไปตอนสมัยผมอยู่ปอร์โต้ ผมได้รับดีวีดีฟอร์มการเล่นของจอห์น โอบี มิเกล ผมเอากลับบ้านไป และศึกษามันทุกวัน โดยที่ปอร์โต้เราเรียกมิเกลว่า ศาสตราจารย์แห่งโลกลูกหนัง"
ใครๆก็รู้ว่าข่าวแบบนี้ มันข่าวปลอมเห็นๆ อารมณ์เหมือนที่เพจไทยทำ เอาอัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ มาใส่ Quote แล้วพิมพ์ว่า "ไอน์สไตน์ไม่ได้กล่าวไว้"
อย่างไรก็ตามมีหนึ่งคนที่หลงเชื่อว่า Quote นี่เป็นความจริง และคนคนนั้นคือ .. มิเกลตัวจริง
จอห์น โอบี มิเกล ก็อปเอารูปปลอม โพสต์ในไอจีของตัวเองแล้วพิมพ์ว่า "ผมรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่ง" ซึ่งมันทำให้คนฮากัน เพราะไม่รู้ว่ามิเกลเชื่อได้ยังไง ว่าเนเวสพูดจริงๆ คำว่า ศาสตราจารย์แห่งโลกลูกหนังเนี่ยนะ เขาไม่เอะใจเลยหรอ ถ้าพูดถึงซีดาน หรือปิร์โล่ แบบนี้ว่าไปอย่าง!
1
[ อันดับ 8- ถามพอล สโคลส์สิ ]
มี Quote หนึ่งประโยคที่หลายคนน่าจะเคยได้ยิน คือมีนักข่าวไปถามซีเนอดีน ซีดาน ว่า "รู้สึกอย่างไรบ้าง กับการที่เป็นกองกลางที่เก่งที่สุดเท่าที่โลกนี้เคยมีมา" ซึ่งซีดานก็เลยตอบกลับไปว่า
"ผมไม่รู้เหมือนกัน ไปถามพอล สโคลส์สิ"
นี่เป็น Quote ที่แพร่หลายมาก แต่ความจริงก็คือ ไม่หรอก ไม่ใช่อย่างนั้น ซีดานไม่เคยพูดประโยคนี้
แต่ถามว่าซีดานชื่นชมสโคลส์ไหม ใช่ อันนี้เป็นเรื่องจริง
ซีดานเคยให้สัมภาษณ์กับเดลี่ มิเรอร์ว่า "ผมไม่เคยเบื่อกับการได้ดู พอล สโคลส์เล่น ในโลกนี้หานักเตะที่สมบูรณ์แบบได้ยากนะ แต่สโคลส์ถือว่าใกล้เคียงที่สุด ที่คุณพอจะนึกได้ หนึ่งในความเสียใจของผม คือไม่ได้เล่นร่วมทีมเดียวกันกับเขาตลอดช่วงชีวิตค้าแข้ง"
[ อันดับ 7- ขอบริจาคอัณฑะ]
หลังจบเกมบาร์เซโลน่าชนะลิเวอร์พูล 3-0 ในรอบรองชนะเลิศแชมเปี้ยนส์ลีก เลกแรก ในซีซั่น 2018-19 มีนักข่าวไปถามอาร์ตูโร่ วิดัลว่า มั่นใจไหมว่าจะผ่านเข้ารอบต่อไป วิดัลตอบนักข่าวกลับไปว่า "ผมจะบริจาคอัณฑะข้างซ้ายให้เลยถ้าลิเวอร์พูลพลิกกลับมาชนะได้"
ปรากฏว่าในเลกสองลิเวอร์พูลชนะ 4-0 ลิเวอร์พูลจึงคัมแบ็กกลับมาชนะบาร์ซ่าด้วยสกอร์ 4-3 ทำให้มีคนไปแซวหน้า IG ของวิดัลเลยว่า ไงล่ะ บริจาคซะสิ ไอ้ขันที เย้ยหยันแบบสนุกสนาน
แต่ประเด็นคือ วิดัล "ไม่เคย" สัมภาษณ์เรื่องอัณฑะแม้แต่ครั้งเดียว คนจุดประเด็นเรื่องนี้ชื่อ ด็อกเตอร์พาวน์ เป็นนักข่าวชาวกาน่าที่จงใจทวีตขำๆ แต่ไปๆมาๆ ทวีตขำๆนั้นมีคนเชื่อจริงๆ คืออ่าน Joke ไม่ออก และแชร์ต่อๆกันมา จนกลายเป็นว่าวิดัลพูดอย่างก้าวร้าวแบบนั้นจริงๆ
ไปๆมาๆ กลายเป็นว่าวิดัลโดนแฟนบอลเข้ามาด่าเฉยเลย ทั้งๆที่เขาไม่รู้เรื่องอะไรเลย กลายเป็น Hoax ที่เกิดขึ้น และเป็นความซวยอย่างแท้จริงของวิดัล บอลก็แพ้ แถมโดนคนด่าฟรีอีกต่างหาก
[ อันดับ 6- เพื่อนซี้วัยเด็ก ติอาโก้ ซิลวา - ดาวิด ลุยซ์ ]
มีภาพน่ารักหลุดออกมาเป็นเด็กน้อย 2 คน ที่หน้าเหมือนติอาโก้ ซิลวา กับ ดาวิด ลุยซ์ หลายคนเชื่อว่า นี่คือรูปในวัยเด็กของทั้งคู่ ก่อนที่จะเติบโตขึ้นมาติดทีมชาติบราซิลอย่างยิ่งใหญ่ หลายคนประทับใจว่า เพื่อนกันในวันนั้น ต่างคนต่างเดินทางตามความฝันจนประสบความสำเร็จได้
แต่ประเด็นคือ นั่นไม่ใช่ ดาวิด ลุยซ์ และติอาโก้ ซิลวาตอนเด็ก แต่เป็นเด็กน้อยชื่อลีอัน กับ มูริโล่ และรูปนี้ถูกถ่ายใหม่ในปี 2013 ไม่ใช่รูปของลุยซ์ กับ ซิลวาตัวจริง
มีคนบอกว่าเฮ้ย ต่อให้ไม่ใช่รูปจริง แต่ทั้งสองคนก็เป็นเพื่อนสนิทกันจริง แต่ความจริงคือทั้งสองคนเพิ่งมาสนิทกันตอนติดทีมชาติบราซิล และตอนลุยซ์ย้ายมาอยู่เปแอสเชเอง ก่อนหน้านี้ ทั้ง 2 คน ไม่ได้เล่นร่วมกันเลย อยู่คนละเมืองด้วยซ้ำ
2
ลุยซ์ เกิดที่รัฐเซาเปาโลทางตอนใต้ของบราซิล เล่นกับทีมเยาวชนเซาเปาโล และวิตอเรีย ก่อนย้ายมายุโรปในปี 2007 มาอยู่กับเบนฟิก้า ส่วนติอาโก้ ซิลวา เกิดที่ริโอ เด จาเนโร คนละเมืองกันเลย เป็นเด็กฝึกของฟลูมิเนนเซ่ ย้ายมายุโรป มาเล่นให้ปอร์โต้ในปี 2004 คือไม่ได้เชื่อมโยงใดๆกับลุยซ์ จนมาติดทีมชาติชุดใหญ่ด้วยกัน ดังนั้นเรื่องเพื่อนซี้แต่วัยเด็ก จึงเป็นแค่ข่าวลวงเท่านั้น
[ อันดับ 5- แกรม เลอ โซ เป็นเกย์ ]
หนึ่งในเรื่อง Fake News ที่มีอิทธิพลกับสังคมมากที่สุดคือประเด็นของแกรม เลอ โซ กองหลังของเชลซี ที่โดนกล่าวหาว่าเป็นเกย์
เลอ โซ มีบุคลิกเรียบร้อย ใส่เสื้อในกางเกง เขาไม่ใช่แบดบอย แถมบุคลิกก็ดูสุภาพมากๆ นั่นทำให้มีหลายคนเล่าลือว่าจริงๆเขาเป็นเกย์ แฟนบอลพูดกันทั้งๆที่ไม่มีมูลความจริง แม้แต่นักเตะลิเวอร์พูลร็อบบี้ ฟาวเลอร์ ก็เคยล้อเลอ โซว่าเป็นเกย์ มีการทำท่าโก่งตูดเพื่อล้อเลียนการเข้าประตูหลังแบบเกย์
เรื่องเล่าลือกันไปจนคนเชื่อว่ามันเป็นจริง ทั้งๆที่เลอ โซ ก็มีภรรยา มีลูก 2 คน โดยตอนแรกเขาก็อดทนเวลาโดนเหยียดหยามว่าเป็นเกย์ แต่ถึงจุดหนึ่งเขาไม่รู้ว่าจะทนทำไม คือเขาไม่ได้เป็น และถึงแม้เขาจะเป็น เลอ โซ ก็ไม่เข้าใจว่ามันเสียหายตรงไหน นั่นทำให้เวลาต่อมา เลอ โซ กลายเป็นกระบอกเสียงเรื่องการ Respect ความเท่าเทียมทางเพศ แม้เขาจะไม่ใช่เกย์ก็ตาม
1
จุดเริ่มต้นของเรื่องนี้ เกิดขึ้นในช่วงปรีซีซั่นปี 1991 เลอ โซที่อายุเพิ่ง 22 ไปเที่ยวช่วงซัมเมอร์กับเคน มองกู ลุยทริปยาวๆไปฝรั่งเศส เบลเยี่ยม ฮอลแลนด์ จากนั้นพอกลับมาที่เชลซี นักเตะคนอื่นก็ถามว่าไปไหนมา เลอ โซ ก็บอกว่าไปออกทริปกับเคน มองกู ซึ่งกลายเป็นว่า เขาโดนนักเตะเชลซีด้วยกันเองล้อว่าเป็นเกย์ คือตอนแรกก็ล้อกันขำๆนั่นแหละ ไม่มีใครคิดจริงหรอก แต่อะไรที่มันโดนตอกย้ำบ่อยๆ คนรอบข้างจะเชื่อว่ามันจริงโดยปริยาย
แฟนบอลก็จะตั้งคำถามว่าเลอ โซ เป็นเกย์จริงหรือเปล่า ถ้าไม่จริง แล้วทำไมเพื่อนๆล้อกันแบบนั้น สุดท้ายในเกมที่เชลซีเจอเวสต์แฮม เขาโดนแฟนคู่แข่งตะโกนแซวว่า "เลอ โซ เอาบอลไปยัดตูดแกสิ" และจากนั้นแฟนทั่วประเทศก็ล้อเขาด้วยมุกเกย์ตลอด
ยิ่งเลอ โซ ดังขึ้น และติดทีมชาติอังกฤษ ก็ยิ่งทำให้เขาโดนแซวหนักขึ้นทั้งๆที่เรื่องทั้งหมด ไม่ได้มีมูลความจริงเลย
เพื่อนแซวแล้วก็แซวไป แต่เป็นเลอ โซ ต้องอยู่กับ Hoax ลวงๆไปอีกนานหลายปีจนแขวนสตั๊ด
ดังนั้นใครจะบอกว่า Fake News , Fake Story มันเป็นเรื่องตลก มันไม่จริงเสมอไปหรอก มีคนจำนวนมากที่ต้องทุกข์ทรมานเพราะข่าวไม่จริง และเลอ โซก็คือหนึ่งในนั้น
[ อันดับ 4-โมราต้ารักแรกพบกับแฟนคลับ ]
ข่าวลือความรักแสนคลาสสิคคือเรื่องอัลบาโร่ โมราต้า กองหน้าทีมชาติสเปนตอนย้ายไปยูเวนตุสใหม่
เขาเจอกับแฟนบอลสาวคนหนึ่งมาขอลายเซ็น จากนั้นทั้งคู่มองตากัน ปิ๊งกัน จากนั้นก็เริ่มสานต่อความสัมพันธ์ ก่อนจะคบและแต่งงานกันในที่สุด
เรื่องโรแมนติกกุ๊บกิ๊บน่ารักเป็นบ้า
แต่เรื่องนี้มีการสืบค้นกันแล้ว ว่าสาวน้อยในรูป เธอเป็นแค่แฟนคลับธรรมดาเท่านั้นเอง
โมราต้า มีแฟนตอนอยู่สเปนก่อนมาอิตาลี ชื่อมาเรีย ปอมโบ้ จากนั้นก็เลิกกัน และ มาคบกับคนใหม่ชื่อ อลิเซ่ คัมเปโญ่ แต่งงานกันแล้วเรียบร้อย
แฟนคลับคนนี้ ไม่ใช่อลิเซ่ และความรักของโมราต้ากับอลิเซ่ ก็ไม่ได้มาจากการขอลายเซ็น แต่เป็นเพราะโมราต้าส่ง DM ไปในทางอินสตาแกรมของฝ่ายหญิงต่างหาก
ตอนแรกผู้หญิงไม่กล้าคุย เพราะคุณพ่อบอกว่า นักฟุตบอลมันไว้ใจไม่ได้ แต่หลังจากโมราต้าพยายามอยู่นาน ฝ่ายหญิงก็ใจอ่อน ยอมออกไปนัดเจอกัน แล้วก็รักกันในที่สุด
รูปที่เป็นข่าวมันจังหวะได้พอดี โมราต้ากับแฟนบอลน่ารักสบตากันพอดี แต่จริงๆไม่มีอะไรหรอกนะ Fake Story เช่นกัน
[ อันดับ 3- โรนัลโด้กับพี่ชายผู้ติดเหล้า ]
ในยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีกนัดชิงชนะเลิศปี 2014 หลังเรอัล มาดริด ชนะแอตเลติโก้ 4-1 หลังจบเกม โรนัลโด้เดินเข้าไปหาชายคนหนึ่งบนสแตนด์และสวมกอด
ข่าวมีอยู่ว่าคนที่โรนัลโด้กอด คือฮิวโก้ อเวโร่ พี่ชายของโรนัลโด้นั่นเอง โดยรายงานเผยว่า โรนัลโด้บอกกับพี่ชายว่า "ฉันทำในส่วนของฉันแล้ว จากนี้นายทำในส่วนของนายบ้าง คือหยุดดื่มเหล้าซะ"
คุณพ่อของโรนัลโด้เสียชีวิตจากการติดเหล้าอย่างรุนแรง ซึ่งพี่ชายของโรนัลโด้ก็ติดเหล้าเหมือนพ่อ ซึ่งเป็นสิ่งที่โรนัลโด้ขอร้องให้พี่ชายเลิกดื่มเสียที เขาได้แชมป์ La Decima กับเรอัล มาดริดแล้ว เขาทำภารกิจที่ยากลำบากได้สำเร็จแล้ว ขอให้พี่ทำเพื่อเขาบ้าง แม้จะรู้ว่ามันยากมากก็ตามที
แน่นอน เรื่องนี้ก็ Fake เช่นกัน
คนที่โรนัลโด้กอดคือพี่ชายฮิวโก้จริง แต่ฮิวโก้ปัจจุบันทำงานเป็นผู้บริหารพิพิธภัณฑ์โรนัลโด้ที่มาเดยร่า และไม่ได้มีอาการติดเหล้าอะไรเลยและเตรียมจะฟ้องสื่อมวลชนที่กล่าวหาว่าเขาติดเหล้าด้วย
เรื่อง Fake นี้ สร้างความสมจริงไปอีกสเต็ป ด้วยการยกประเด็นที่พ่อโรนัลโด้ติดเหล้ามา (ซึ่งอันนี้จริง) เอามาผสานกับเรื่องพี่ชาย ว่าพี่ชายติดเหล้าอีก จนกลายเป็นเรื่องใหม่ แต่สุดท้ายนี่ก็เรื่อง Fake อยู่ดี
[ อันดับ 2 - โรนัลโด้กับเพื่อนรักผู้ใจกว้าง ]
มีเรื่องเล่าว่า แมวมองของสปอร์ติ้ง ลิสบอน มาดูเกมเยาวชนนัดหนึ่ง ซึ่งสเกาต์เล็งเด็กไว้สองคนคือ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ กับอัลเบิร์ต ฟานเทรา ซึ่งเป็นเพื่อนสนิทกัน โดยสปอร์ติ้ง ลิสบอนบอกว่า จะเลือกเซ็นสัญญากับนักเตะแค่คนเดียว ที่ยิงประตูได้มากกว่าในเกมนี้
ปรากฏว่า ทั้ง 2 คน ยิงได้คนละ 2 ประตู แล้วในนาทีสุดท้าย ฟานเทราหลุดเดี่ยวไปล็อกหลบโกล์มาแล้ว แต่แทนที่จะยิงเอง เขากลับจ่ายบอลให้โรนัลโด้ยิงเข้าโล่งๆ ซึ่งโรนัลโด้ก็เลยถามว่า "ทำไม นายต้องทำแบบนี้" ซึ่งฟานเทราก็เลยบอกว่า "เพราะคนที่สมควรได้ไปต่อ จริงๆคือนายต่างหาก" และจากนั้นทั้งคู่ก็สวมกอดกันด้วยพลังแห่งมิตรภาพ
1
ซึ่งพอโรนัลโด้ยิงได้มากกว่า สปอร์ติ้งจึงเซ็นสัญญากับโรนัลโด้ แล้วปั้นจนกลายเป็นสตาร์ในที่สุด ซึ่งทำให้สุดท้ายโรนัลโด้ จึงรู้สึกขอบคุณสิ่งที่ฟานเทราทำให้เสมอมา
เรื่องนี้ถูกพิสูจน์นานแล้วว่า เป็น Fake Story การย้ายตัวของโรนัลโด้ไปสู่สปอร์ติ้ง ลิสบอนเกิดขึ้นเพราะสโมสรนาซิออนนาลต้นสังกัดเดิมของโรนัลโด้ติดหนี้สปอร์ติ้งอยู่ 22,500 ยูโร ดังนั้นประธานสโมสรจึงเสนอดาวรุ่งวัย 12 ชื่อโรนัลโด้ให้ไปอยู่อคาเดมี่ของสปอร์ติ้งแทนเพื่อเป็นการโละหนี้
จริงๆในเนื้อเรื่องก็พอเดาได้ว่าโกหกอยู่แล้ว ในการคัดตัวไม่มีแมวมองคนไหนหรอก ที่จะตัดสินการเลือกคนจากจำนวนประตูที่ยิงได้ แล้วลองคิดดูถ้าฟานเทราโชว์สกิลล็อกหลบโกล์ขนาดนั้น ก่อนจ่ายมาให้โรนัลโด้ยิงโล่งๆ คนที่ได้เครดิตควรเป็นโรนัลโด้ที่จิ้มหน้าโกล์โล่งๆงั้นหรือ ไม่หรอก แมวมองไม่คิดแบบนั้นแน่
ถ้าฟานเทรามีความหมายกับโรนัลโด้จริงๆตามเรื่อง ป่านนี้เราคงได้รู้จักเขามากกว่านี้แล้ว แต่จนถึงวันนี้ ก็ไม่เคยมีใครพบเห็นว่า ฟานเทราหน้าตาเป็นอย่างไร อยู่ไหน ทำอะไร สาเหตุเดียวคือ เพราะเขาเป็นเรื่องที่แต่งขึ้นมาน่ะสิ
[ อันดับ 1- ถ้าไม่สนับสนุนวันที่แพ้ อย่าสนับสนุนเราวันที่ชนะ]
ประโยคสุดคลาสสิคตลอดกาลของบิล แชงคลีย์ "หากคุณไม่สนับสนุนเราในวันที่แพ้ หรือเสมอ ก็อย่ามาสนับสนุนเราในวันชนะ"
ฟังดูฮึกเหิมดีนะครับ ฟังแล้วช่วยกระตุ้นสปิริตของกองเชียร์หงส์แดงแบบสุดๆเลย แบบว่าแฟนบอลต้องหนุนหลังทีมในวันที่ยากลำบาก
แต่ทั้งหมดทั้งสิ้น เป็นการมโนของใครสักคนแล้วอ้างว่าแชงคลีย์พูด ทั้งๆที่จริงๆ มันไม่เคยเกิดขึ้น
ที่ประเทศอังกฤษ เขามีการสืบค้น Quote หรือคำพูดทั้งหมดของแชงคลีย์แล้วครับ ซึ่งปรากฎว่า แชงคลีย์ ไม่ได้พูด หาหลักฐานไม่ได้เลย และไม่รู้ว่ามันมาได้ไง
จริงๆ คำพูดเจ๋งๆที่แชงคลีย์พูด มีเยอะครับ อย่างเช่น
"บางคนบอกไว้ว่า ฟุตบอลเป็นเรื่องของความเป็นความตาย ซึ่งผมผิดหวังกับความคิดแบบนั้นมาก เพราะผมบอกคุณได้เลย ว่ามันสำคัญยิ่งกว่านั้นเยอะ"
"ถ้าคุณได้ที่หนึ่ง นั่นคือคุณได้ที่หนึ่ง แต่ถ้าคุณได้ที่สอง นั่นคือคุณไม่ได้อะไรเลย"
"ทีมฟุตบอลเป็นเหมือนการเล่นคอนเสิร์ต คุณต้องมีสามคนในทีมที่เล่นเปียโนได้ แต่ที่สำคัญคุณต้องมี 8 คนที่จะคอยช่วยยกเปียโนบ้านั่นขึ้นเวที"
1
เหล่านี้คือประโยคที่มีหลักฐานจริงๆว่าเขาเคยพูด แต่ "หากไม่สนับสนุนเราวันที่แพ้ ก็อย่ามาสนับสนุนวันชนะ" อันนี้ เรื่อ่งลวงครับ
โอเคล่ะ คือมันเป็นประโยคที่สวยงาม นั่นใช่ ผมไม่เถียง แต่ถ้าบอกว่า มาจากปากของบิล แชงคลีย์ อันนี้โกหกครับ มันมีใครไม่รู้มาอ้างชื่อ แล้วก็ประดิษฐ์ประโยคขึ้นมาเองต่างหาก
แล้วทำไมคนถึงเชื่อว่าแชงคลีย์พูดจริง เพราะแม้อะไรที่จะเป็นเรื่องลวง แต่ถ้าโดนพูดย้ำบ่อยๆ มันก็จะเกิดความสับสนว่าจริงหรือลวง จนเวลาผ่านไปคนจะเชื่อว่ามันจริงไปโดยปริยาย
นี่คือเรื่องคลาสสิคของสุดยอด Fake story ตลอดกาลครับ มีคนพยายามหาหลักฐานกันเยอะแล้วล่ะ ว่าแชงคลีย์พูดกันตอนไหน แต่สรุปคือไม่เคยเจอครับ
และนี่คือเรื่องราว Fake ท็อปฮิตในวงการฟุตบอลครับ อนาคตถ้าผมเจอเรื่องอะไรอีกจะเอามาเล่าอีกเด้อออ
โฆษณา