17 มี.ค. 2020 เวลา 07:37 • กีฬา
นักเตะที่โดนแซวตลอดอาชีพว่าเป็นเกย์ ทั้งๆที่เป็นชายแท้ นี่คือเรื่องราววิบากของแกรม เลอ โซ อดีตกองหลังทีมชาติอังกฤษ ตำนานของสโมสรเชลซี ที่เคยมีเรื่องกับร็อบบี้ ฟาวเลอร์ กันแบบดุเดือดมาแล้ว
ในโลกยุคปัจจุบัน การดูถูกเหยียดหยามเพศสภาพของผู้อื่นเป็นเรื่องที่ไม่มีใครรับได้แล้ว
ตุ๊ด เกย์ ทอม เลส จะมีรสนิยมอย่างไรก็แล้วแต่ การเอาเรื่องเหล่านี้มาล้อกันคือ Out มาก เชยมาก ไม่มีใครเล่นมุกลักษณะนี้อีกแล้ว และถ้าหากมีใครหยิบเรื่องนี้มาพูดเชิงล้อเลียน เราจะเรียกว่า Sexism หรือพวกเหยียดเพศ
ที่น่าสนใจคือ สมมุติเขาเหยียดเพศ ด่าเราว่าไอ้เกย์ ถ้าเราเป็นเกย์จริง ก็คงลุกขึ้นมาสวนกลับ "เป็นเกย์แล้วไงวะ"
แต่ถ้าเรื่องมันเป็นว่า เราไม่ใช่เกย์ แต่มีคนมายัดเยียดให้เราเป็นเกย์ให้ได้ เราจะตอบโต้กลับไปอย่างไรล่ะ?
พอไม่ตอบโต้อะไร คนก็จะบอกว่าเพราะเป็นเกย์ไงเลยไม่เถียง แต่พอตอบโต้ด่าคืนกลับไป คนก็จะบอกอีก ว่าถ้าไม่ใช่เกย์แล้วจะเดือดร้อนอะไร
กลายเป็นว่า คนที่อยู่ในสถานการณ์นี้ ไม่รู้จะต้องทำอย่างไร ซึ่งนั่นล่ะ เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นตลอดชีวิตค้าแข้งของนักเตะที่แกรม เลอ โซ
แกรม เลอ โซ เกิดที่เกาะเจอร์ซี่ ที่ตั้งอยู่บริเวณช่องแคบอังกฤษ คือเกาะแห่งนี้เป็นของ UK ก็จริง แต่ระยะทางนั้นใกล้กับฝรั่งเศสมากกว่าเสียอีก ทำให้ประชาชนที่เกาะเจอร์ซี่ จึงได้รับอิทธิพลจากฝรั่งเศสมาไม่น้อย
ดูจากชื่อของ เลอ โซ ยังมีความเป็นฝรั่งเศสผสมอยู่นิดๆ (Le Saux) อารมณ์เหมือนแมทธิว เลอ ทิสสิเยร์ (Le Tissier) ที่เกิดในเกาะบริเวณช่องแคบอังกฤษเช่นกัน ดูชื่อแล้วก็มีความเป็นฝรั่งเศสปนอยู่
นอกจากชื่อแล้ว บุคลิก ความอ่อนโยน และความสุภาพ ของแกรม เลอ โซก็ได้รับอิทธิพลจากฝรั่งเศสมาพอสมควร
เลอ โซ เริ่มต้นอาชีพกับทีมท้องถิ่น ก่อนที่แมวมองของเชลซีจะเห็นแวว และดึงตัวมาเข้าอคาเดมี่ของเชลซีในปี 1987 ตอนอายุ 19 ปี และเริ่มต้นเล่นอาชีพกับสโมสรเชลซีตั้งแต่นั้น
ในช่วงแรกเลอ โซ ก็เล่นฟุตบอลตามปกติ ด้วยความเร็ว และเซนส์บอลที่ดีในตำแหน่งแบ็กซ้าย ทำให้เขาติดทีมชาติอังกฤษชุด u-21 คือดูๆแล้วก็น่าจะมีอนาคตสดใสรออยู่ และไม่น่าจะโดนบุลลี่อะไรเรื่องการเป็นเกย์ได้เลย
แต่จุดสำคัญอยู่ที่่ช่วงซัมเมอร์ ก่อนออกสตาร์ตฤดูกาล 1991-92 ระหว่างช่วงปิดฤดูกาล นักเตะคนอื่นๆ ก็จะไปเที่ยวกับแฟนสาว หรือไปทริปกับครอบครัว แต่เลอ โซ ไปตะลุยยุโรปกับผู้เล่นเชลซีอีกคน ที่ชื่อเคน มองกู ทั้งสองคนแบกเป้ไปลุยฝรั่งเศส เบลเยี่ยม และฮอลแลนด์ อารมณ์เหมือนเพื่อนผู้ชาย 2 คนไปตะลุยด้วยกัน
ในยุคนั้น คนที่ไม่คิดอะไรก็มี แต่คนที่คิดว่ามันแปลกก็มีเหมือนกัน ผู้ชายที่ไหนจะไปเที่ยวต่างประเทศกับผู้ชายอีกคนแบบสองต่อสอง ดังนั้นตอนกลับมาเริ่มต้นเก็บตัวปรีซีซั่น เพื่อนร่วมทีมคนหนึ่งของเชลซี ก็ถามขึ้นมาว่า "โอ้ ได้ยินว่านายไปเที่ยวค้างคืนกับเคน จริงหรือเปล่า?"
เคน มองกู
เลอ โซ ยอมรับภายหลังว่าจังหวะนั้นเขาควรจะหัวเราะเอาฮาไปเลย แต่ในสถานการณ์นั้นเขาสวนกลับไปด้วยความโมโห ว่า ถ้าไปเที่ยวกับเคน แล้วมันมีปัญหาตรงไหนล่ะ ซึ่งนั่นทำให้นักเตะเชลซีที่เหลือ ต่างเอาเรื่องนี้มารุมแซวเขาทันที เพราะเห็นว่าเป็นจุดที่ยั่วเลอ โซได้ โดยแซวว่า เลอ โซกับ เคน มองกู เป็นคู่ขากัน
แน่นอน ในห้องแต่งตัวทุกคนรู้ดีว่ามันเป็นเรื่องขำๆ ไม่มีใครคิดจริงหรอกว่าเลอ โซ กับ มองกูจะเป็นเกย์ แต่เมื่อเป็นอะไรที่ยั่วเลอ โซ ให้น็อตหลุดได้ เพื่อนร่วมทีมเลยเอาเรื่องนี้มาแซวซ้ำแล้วซ้ำอีก ในสถานการณ์ที่เลอ โซเองก็ไม่รู้จะทำอย่างไรเหมือนกัน
จะซีเรียสดีไหม ไปฟ้องผู้จัดการทีมเลย เดี๋ยวเขาก็โดนคนอื่นเขม่นอีกว่า แค่แซวเอาฮานิดหน่อยจะโอเวอร์ไปถึงไหน แต่ถ้าไม่ทำอะไรเลยก็จะโดนเพื่อนแซวในเรื่องแบบนี้ไปแบบไม่หยุด
1
จากนั้นไม่นานนัก เคน มองกู ย้ายไปเซาธ์แฮมป์ตัน เท่ากับว่าที่เชลซีจึงเหลือแค่เลอ โซคนเดียวที่เป็นเป้าให้เพื่อนแซว และการแซวก็ดำเนินต่อไปไม่หยุด
การแซวที่เริ่มจากกลุ่มนักเตะเชลซีในห้องแต่งตัว กลายเป็นว่า มีคนนอกรับรู้จนได้ ว่าเลอ โซ โดนแซวแบบนี้ เรื่องไปไว ปากต่อปาก และแฟนบอลทีมอื่นก็คิดว่า ถ้ามันไม่มีมูลความจริง แล้วเพื่อนร่วมทีมเชลซีจะเอาเรื่องนี้มาแซวจากไหน
อะไรก็ตามแม้ไม่ใช่เรื่องจริง แต่เมื่อโดนบอกซ้ำแล้วซ้ำอีก มันก็มีสิทธิที่คนจะเชื่อได้ว่า สิ่งนั้นเป็นเรื่องจริงได้เหมือนกัน
นั่นทำให้แฟนบอลทีมอื่น และนักเตะทีมอื่นเอาเรื่องเลอ โซ เป็นเกย์ เป็นตุ๊ด มาแซวกันในสนามอย่างสนุกสนาน จุดสำคัญคือต้องการยั่วเลอ โซ ให้น็อตหลุด และจะได้มีฟอร์มแย่ๆในสนามแข่งขัน
เวลาผ่านไป ฝีเท้าของเลอ โซพัฒนาขึ้น เขาก้าวมาติดทีมชาติอังกฤษชุดบี และเตรียมโดนดันไปเล่นชุดใหญ่ในระยะเวลาอันใกล้ แต่ยิ่งเขาดังขึ้นมากเท่าไหร่ การแซวว่าเป็นเกย์ เป็นตุ๊ดก็ยิ่งหนักขึ้นเรื่อยๆ
นั่นทำให้เลอ โซอยู่ในภาวะลำบากใจที่สุด ไม่รู้ว่าจะทำยังไงดี
"มันคงจะง่ายมากเลยถ้าผมเป็นเกย์จริงๆ ซึ่งถ้าผมโดนแซวแบบนั้น ผมก็จะสวนกลับไปเลยว่า 'ใช่ ผมเป็นเกย์ แล้วทำไมล่ะ คุณมีปัญหาอะไร?' แต่นี่เป็นเรื่องที่พิลึกมาก เพราะผมไม่ได้เป็นเกย์ ผมก็ตอบกลับไปว่าไม่ได้เป็น แต่ก็โดนบอกว่า อย่ามาแก้ตัวเลย คือผมจะทำอะไรได้ในสถานการณ์นั้น"
7 กันยายน 1991 เป็นวันที่เลอ โซจำได้ไม่ลืม เชลซีไปเยือนโบลีนกราวน์ ของเวสต์แฮม ยูไนเต็ด เลอ โซ ลงเป็นตัวจริงในตำแหน่งแบ็กซ้าย เขารับบอลจากเพื่อน และวางบอลยาวไปให้เพื่อนข้างหน้า แต่ทันใดนั้นเขาโดนแฟนบอลของเวสต์แฮม ตะโกนขึ้นมาว่า "เลอ โซ มึงหาอะไรยัดตูดตัวเองสิวะ"
ซึ่งมันทำให้เขารู้ได้ทันทีว่า สิ่งที่แซวกันขำๆในห้องแต่งตัว มันหลุดรอดออกมาแล้ว และมันไม่ใช่เรื่องที่ขำขันอีกต่อไป
ยิ่งเลอ โซ เก่งขึ้น และติดทีมชาติอังกฤษชุดใหญ่ การล้อการแซวก็หนักขึ้น แต่เขาก็พยายามอดทนเอาไว้ ไม่ไปโต้ตอบ คือโต้กับแฟนบอลมันจะมีประโยชน์อะไร มันจะไปเหมือนกรณีของเอริค คันโตน่าที่กระโดดถีบแฟนบอลแล้วโดนแบนยาว เขาหักลบแล้ว ไม่คุ้มกันเลย ก็เลือกจะอดทนดีกว่า
ไม่ว่าจะไปสนามไหน เขาอดทนเสมอ คือนักเตะทุกคนโดนแซวกันทั้งนั้น เขาจะพยายามไม่แคร์ในสิ่งที่มันไม่เป็นความจริงอยู่แล้ว
เลอ โซมองว่าชีวิตตอนนี้เขาก็ดีอยู่แล้ว เป็นนักเตะอาชีพในพรีเมียร์ลีก ได้รับค่าจ้างมหาศาล แถมติดทีมชาติอังกฤษอีก ดังนั้นเขาควรจะมีความสุขกับสิ่งที่เป็นอยู่ ที่โดนด่าๆ โดนแซวๆ เขาจะพยายามมองข้ามมันไป
โดยในเส้นทางอาชีพของเลอ โซ เขาเล่นอยู่กับเชลซี ในช่วงออกสตาร์ตอาชีพ ปี 1989-1993 จากนั้นย้ายไปแบล็คเบิร์น โรเวอร์ส ในปี 1993-1997 ซึ่งช่วงอยู่แบล็คเบิร์นนี่เองที่เขาได้แชมป์พรีเมียร์ลีกเป็นครั้งแรก ก่อนจะกลับมาเชลซีอีกครั้งในปี 1997
สิ่งที่สนับสนุนให้แฟนบอลบางส่วนเชื่อจริงๆ ว่าเลอ โซ เป็นเกย์ เพราะไลฟ์สไตล์ของเขาที่ดูเรียบหรูเกินกว่านักฟุตบอลทั่วๆไป
กล่าวคือ ฟุตบอลอังกฤษในยุค 90 เป็นกีฬาของชนชั้นแรงงาน นักเตะในยุคนั้นจะมีความใกล้ชิดกับชาวบ้านมากๆ คือซ้อมบอลเสร็จแล้ว ก็ไปดื่มเบียร์ในผับ เป็นสไตล์ชนชั้นกรรมาชีพ
คือในมุมของแฟนบอลอังกฤษ คือถ้าเป็นแข้งต่างชาติอาจมีไลฟ์สไตล์หรูๆก็ไม่แปลกอะไร
แต่เลอ โซ นั้นเป็นนักเตะอังกฤษแท้ๆ แต่กลับมีบุคลิกที่ต่างจากนักเตะทั่วๆไป เขาไม่ชอบไปดื่มเบียร์ในผับ หรือเที่ยวกลางคืนนแบบผู้เล่นคนอื่นๆ งานอดิเรกของเขาคือสะสมของเก่า ชอบเดินพิพิธภัณฑ์ เข้าร้านหนังสือ และอ่านหนังสือพิมพ์เดอะ การ์เดี้ยน
ในอังกฤษ เดอะ การ์เดี้ยน เป็นหนังสือพิมพ์ของกลุ่มชนชั้นกลางค่อนไปทางสูง อารมณ์ที่ไทยก็ฐานเศรษฐกิจ เป็นต้น ซึ่งส่วนใหญ่ นักบอลทั่วไปเวลาอ่านหนังสือพิมพ์ก็จะหยิบพวก เดลี่ มิเรอร์ หรือเดอะ ซัน ซึ่งที่ไทยก็คล้ายๆ ไทยรัฐ, เดลินิวส์ แบบนั้น
แถมเลอ โซ ยังต้องการเรียนมหาวิทยาลัยด้วย โดยก่อนจะเซ็นสัญญากับเชลซี เขากำลังเรียนปริญญาตรีที่มหาวิทยาลัยคิงสตัน สาขาวิชาสิ่งแวดล้อม แต่ตัดสินใจดร็อปไปก่อน เพื่อเอาดีทางด้านฟุตบอล
ไลฟ์สไตล์ที่ไฮโซกว่านักบอลอังกฤษคนอื่นๆ สะสมของเก่า เดินพิพิธภัณฑ์ แถมอยากจะเรียนสูงๆให้จบมหาวิทยาลัย ทำให้ เลอ โซ จึงโดนหมั่นไส้ และแซวไม่มีหยุดแม้จะผ่านมาแล้วเกือบ 10 ปีก็ตาม เขาก็โดนเรื่อยๆ
คนมองว่าเขา "ไม่แมน" เหมือนนักฟุตบอลทั่วไป ซึ่งความไม่แมนตรงนี้เอง กลายเป็นถูุกเชื่อมโยงว่าเป็นตุ๊ด เป็นเกย์ไป
ไฮไลท์สำคัญของเรื่องเลอ โซ มาพีกเอาตอนที่เขากลับมาเชลซีรอบสอง
วันที่ 27 กุมภาพันธ์ 1999 เกมพรีเมียร์ลีกที่สแตมฟอร์ด บริดจ์ เชลซีเจอกับลิเวอร์พูล เรื่องผลการแข่งก็ไม่มีดราม่าอะไรมาก เชลซีเอาชนะไปได้ 2-1 คนยิงให้เชลซีคือ ฟรองค์ เลอเบิฟ และบียาร์นี่ โกลด์เบ็ค ส่วนของฝั่งลิเวอร์พูลคนตีไข่แตกคือ ไมเคิล โอเว่น
แต่ดราม่าไม่ได้อยู่ที่ผลแพ้ชนะ แต่อยู่ที่การกระทำของฟาวเลอร์ ที่มีต่อเลอ โซ ในสนาม
ฟาวเลอร์นั้นเป็นเด็กที่เติบโตมาจากชนชั้นแรงงาน เขามีความหมั่นไส้ส่วนตัวกับเลอ โซ ที่ดูเป็นไฮโซเสียเหลือเกิน จึงทำการ Abuse ใส่เลอ โซ ในสนามแข่งขัน
ฟาวเลอร์ใช้คำว่าเป็น Wind-up mechanism หรือกลวิธีการยั่วยุคู่แข่ง ซึ่งเขารู้ว่าจุดอ่อนของเลอ โซคืออะไร และเล่นงานตรงนั้นหนักๆ เพื่อให้คู่แข่งตบะแตก
คือปกติเลอ โซ โดนคนด่าว่าตุ๊ด ว่าเกย์ มาตลอด แต่นั่นเป็นแฟนบอล แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เขาโดนเพื่อนนักเตะด้วยกันล้อเลียนแบบนี้
สิ่งที่ฟาวเลอร์ทำคือ จังหวะที่เชลซีได้ฟรีคิก เลอ โซ กำลังจะเป็นคนเตะ ปรากฏว่าฟาวเลอร์ไปยืนป้วนเปี้ยนใกล้ๆ แล้วเอียงตัว โก่งตูด และชี้มาที่ก้นตัวเอง พร้อมตะโกนหาเลอ โซว่า "มาสิวะ มาสิ เอาบอลมายัดตูดกูเลย ชอบไม่ใช่หรอ"
ซึ่งนั่นทำให้เลอ โซ โมโหทันที และเอาเรื่องนี้ไปฟ้องไลน์แมน และกรรมการ ซึ่งกรรมการในสนามวันนั้นคือพอล เดอร์กิ้น ก็เห็นเหตุการณ์แน่นอน แต่ก็ไม่ได้ว่าอะไร ในยุคนั้นการเหยียดเพศยังไม่เป็นประเด็นอะไรเลยด้วยซ้ำ ดังนั้นจึงบอกให้เลอ โซรีบๆเล่นซะที จะลีลาทำไม ก่อนเดินมาแจกใบเหลืองให้เลอ โซอีกข้อหาถ่วงเวลา
เลอ โซ แค้นมากที่ไม่มีใครอยู่ข้างเขาเลย แม้แต่กรรมการที่ควรให้ความเป็นธรรมกับเขา แต่กลับเพิกเฉยในเรื่องนี้
สิ่งที่ทำให้เลอ โซ เจ็บใจ คือในวันนั้นภรรยาจอร์เจียน่า และ ลูกสาวของเขามาเรียน่าอายุ 2 เดือน เข้ามาชมเกมในสนามด้วย สิ่งที่ฟาวเลอร์ทำไม่ใช่แค่ดูถูกเขา แต่ดูถูกครอบครัวเขาด้วย ดังนั้นเลอ โซ จึงเดินมาด่าฟาวเลอร์ว่า "สิ่งที่แกทำมันน่าอับอาย แกดูหมิ่นครอบครัวของฉัน" ซึ่งฟาวเลอร์สวนกลับมาว่า "ช่างหัวครอบครัวมึงสิ"
นั่นทำให้เหตุการณ์ต่อจากนั้น ในจังหวะปะทะกันเลอ โซ อัดศอกใส่หน้าฟาวเลอร์ จนล้มกลิ้งไปกับพื้น ซึ่งยุคนั้นยังไม่มี VAR กรรมการซึ่งไม่เห็นเหตุการณ์ จึงไม่ได้ไล่เลอ โซออกจากสนาม
เรื่องราวชุลมุนวุ่นวายไปหมด และสุดท้ายเกมก็จบลง ด้วยเลอ โซ กับ ฟาวเลอร์ไม่จับมือกัน ต่างคนต่างเดินออกจากสนามไปเลย
เรื่องนี้ทำให้เกิดคำถามขึ้นในฟุตบอลอังกฤษ ว่าในขณะที่ทั้งโลกพยายามรณรงค์เรื่องการเหยียดผิว แต่การเหยียดเพศก็ไม่ใช่สิ่งที่ควรกระทำเหมือนกันหรือเปล่า
เลอ โซ กับ ฟาวเลอร์ จำเป็นต้องลงเล่นเกมทีมชาติ ในยูโร 2000 รอบคัดเลือก ดังนั้นทางเอฟเอ จึงอยากให้ทั้งคู่เคลียร์ใจกันให้ได้ก่อนที่เกมทีมชาติจะมาถึง ซึ่งสุดท้าย คนที่ออกมาขอโทษก่อนคือ เลอ โซ
"ผมตระหนักว่าการใช้ศอกมันอาจเกิดอันตราย และผมไม่ควรตอบโต้ไปอย่างที่ผมทำในเกมนั้นเลย คนเราในชีวิตประจำวันต้องมีเหตุการณ์ให้โดนยั่วยุได้อยู่แล้ว ซึ่งผมก็ต้องพยายามรับมือกับมันด้วยสติให้มากกว่านี้"
"ผมควรจะรับมือกับมันด้วยความเป็นผู้ใหญ่มากกว่านี้ ดังนั้นผมขอรับความผิดที่กระทำจากสมาคมฟุตบอลอังกฤษ ซึ่งผมมาดูย้อนหลังแล้วก็คิดว่าตัวเองโชคดี ที่ไม่โดนไล่ออกในสนาม"
เลอ โซ ขอโทษเรื่องฟันศอก แต่ฟาวเลอร์ไม่ได้ขอโทษเรื่องเหยียดเพศ ในมุมของเขาไม่คิดว่ามันเป็นเรื่องคอขาดบาดตายขนาดนั้น ฟาวเลอร์กล่าวว่า
"แกรม อาจตีความผิดในการกระทำของผม สิ่งที่ผมทำไม่ได้คิดจะโจมตีอะไรอย่างที่ใครๆก็เข้าใจ"
ในมุมของฟาวเลอร์ เชื่อว่าเขาก็ไม่คิดว่าเลอ โซเป็นเกย์อยู่แล้ว แต่ต้องการยั่วยุให้คู่แข่งหัวเสียแค่นั้น ซึ่งในเกมนั้นพอเลอ โซหัวเสียก็มีไปฟันศอกใส่ฟาวเลอร์ ถ้ากรรมการเห็นก็โดนไล่ออกแน่ๆ และถ้าเป็นแบบนั้นลิเวอร์พูลอาจคัมแบ็กกลับมาตีเสมอได้เป็นอย่างน้อย
เหตุการณ์นี้ก็จบไป เลอ โซ ก็เก็บความเจ็บใจเอาไว้จนถึงวันแขวนสตั๊ด
สิ่งใดที่เคยเกิดขึ้น และคนทำกันตามมาแบบนั้น ไม่ได้แปลว่ามันเป็นเรื่องดีเสมอไป เพียงแต่ ณ วินาทีนั้น ไม่มีใครนึกออกว่า สิ่งที่ตัวเองทำมันเลวร้ายอย่างไรแค่นั้นเอง
การเหยียดเพศนั้น ในอดีต มองว่าเป็นเรื่องปกติ ทำไมตุ๊ด เกย์ จะโดนแซวไม่ได้ล่ะ เมื่อก่อนตลกคาเฟ่ก็หยิบเอามุกเหยียดเพศไปใช้เป็นประจำ
ถ้าย้อนกลับไปไกลกว่านั้น ที่อังกฤษ การเป็นเกย์ถือเป็นเรื่องผิดกฎหมายด้วยซ้ำ หากใครดูภาพยนตร์เรื่อง Imitation Game ที่สร้างจากเรื่องจริง จะเห็นว่าตัวเอกของเรื่องเป็นศาสตราจารย์ ชื่ออลัน ทัวริ่ง เป็นคนถอดโค้ดรหัสลับของนาซีได้ จนมีส่วนทำให้ฝ่ายสัมพันธมิตรชนะสงครามโลกในท้ายที่สุดด้วย
ด้วยสิ่งที่เขาทำ อลัน ทัวริ่ง ควรเป็นวีรบุรุษของชาติ แต่ด้วยเพราะเขามีรสนิยมชายรักชาย และกฎหมายที่อังกฤษตอนนั้น การรักร่วมเพศเป็นสิ่งผิดกฎหมาย
นั่นแปลว่า จากวีรบุรุษ เขากลายเป็นอาชญากรที่มีคดีติดตัวเฉยเลย
ซึ่งในปัจจุบัน ความเข้าใจเรื่องเพศของมนุษย์นั้นมีมากขึ้น ผู้คนรู้ว่าการเป็นเพศอะไรก็ไม่สำคัญ มันก็แค่รสนิยมทางเพศเท่านั้น ทำให้รัฐบาลอังกฤษขอพระราชทานอภัยโทษให้อลัน ทัวริ่งที่เสียชีวิตไปแล้ว
Sexism คือวาระสำคัญของโลก ที่เน้นย้ำให้ทุกคนได้รู้ว่า การเหยียดเพศ เป็นสิ่งห้ามทำ คุณจะตัดสินคนอื่นจากเพศสภาพที่เขาเป็นได้อย่างไร ในเมื่อมันก็เป็นแค่รสนิยมของเขาเท่านั้น
เมื่อเทรนด์ของโลกเป็นแบบนั้น มันก็กลายเป็นเทรนด์ของวงการฟุตบอลด้วยเช่นกัน เรื่อง Sexism เป็นวาระของยูฟ่า และฟีฟ่า ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา คือคุณไม่สามารถหยิบเรื่องเพศมาแขวะ มาแซวกันได้ไม่ว่าจะในมุมมองใดๆ
สำหรับร็อบบี้ ฟาวเลอร์ คนที่เคยล้ำเส้นโจมตีแกรม เลอ โซ ก็มาเข้าใจในตอนหลังเช่นกันว่าสิ่งที่เขาเคยเข้าใจว่าทำได้ ณ เวลานั้น จริงๆมันไม่ใช่เรื่องดีเลย การหยิบเรื่องเพศมาล้อเลียนกันเป็นเรื่องไม่ควรกระทำอย่างยิ่ง
สุดท้ายเขาก็ออกมาขอโทษแกรม เลอ โซ ในปี 2014 หลังเหตุการณ์ผ่านไปแล้ว 15 ปี
"ผมเสียใจจริงๆ ผมเคยใช้มันเป็นกลยุทธ์ในการยั่วยุคู่แข่ง แต่ผมมองย้อนกลับไป มันเป็นอะไรที่น่าอายจริงๆ ผมติดต่อไปหาแกรมเพื่อขอโทษเขาในเรื่องนั้น ซึ่งผมไม่สามารถทำอะไรได้มากกว่านี้แล้ว ณ เวลานี้ แต่ผมก็อยากบอกว่าผมขอโทษจริงๆ"
สำหรับเลอ โซ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมันเป็นสถานการณ์ที่ไม่รู้จะทำอย่างไร เมื่อโดนคนยัดเยียดในสิ่งที่ตัวเองไม่ได้เป็นตลอดการค้าแข้ง
เขาจึงตั้งคำถามมาตลอด ว่าตัวเองทำผิดอะไร และอีกอย่างที่เขาก็คิดเช่นกันคือ สมมติเขาเป็นเกย์จริงๆ แล้วมันผิดตรงไหนล่ะ
สุดท้าย เลอ โซ จึงกลายเป็นสัญลักษณ์ของนักฟุตบอลที่รณรงค์เรื่องสิทธิของเกย์ในโลกกีฬาไปโดยปริยาย ทั้งๆที่เขาไม่ได้เป็นเกย์ด้วยซ้ำ ถือว่าเป็นเหตุการณ์ที่พิลึกพิลั่นเลยทีเดียว
เลอ โซ และครอบครัว
บทสรุปของเรื่องนี้ มีอยู่ 3 เรื่องซ้อนกันครับ
เรื่องแรกคือ คนเราก็มีความรู้สึก การไปล้อเลียนคนอื่นอย่างสนุกปากมันมีประโยชน์ใดๆกับอีกฝ่ายหรือไม่ และที่เขาไม่ตอบโต้ ไม่ใช่เป็นคนง่ายๆสบายๆ แต่เป็นไปได้ไหมว่าเขาพยายามอดทนอยู่ ก่อนที่จะเริ่มล้อใคร คิดดีๆก่อนว่าตัวเองสนุกคนเดียวหรือเปล่า
เรื่องที่ 2 คือ คนเรามักตัดสินอะไรจากความเข้าใจของตัวเอง อย่างเช่นนักฟุตบอลในมโนคติของแฟนบอลทั่วไป ต้องเป็นผู้ชายจอมลุย ถึงไหนถึงกัน เป็นฮาร์ดแมน แต่พอมาเจอเลอ โซ ที่รักศิลปะ สะสมของเก่า อ่านหนังสือ ชอบนั่งดื่มกาแฟที่คาเฟ่ ก็เลยมองว่าเป็นเรื่องแปลกประหลาด ทั้งๆที่จริงๆ มันก็แค่ลักษณะนิสัยของคนเราแค่นั้นเอง
ในชีวิตของเรา เราจะเจอคนแบบนี้มากมายครับ คนทำอาชีพนี้ เรียนสายนี้ ก็น่าจะมีนิสัยอย่างนี้ แต่นั่นเป็นความคาดเดาของเราไปเอง คนเราจะประกอบอาชีพอะไร ก็มีไลฟ์สไตล์ที่แตกต่างกันได้นะ
และเรื่องที่ 3 คือไม่มีใครไม่เคยทำผิดในโลกนี้ ในบางสถานการณ์เราอาจคิดว่าตัวเองไม่ได้ทำผิดสักนิด แต่เมื่อเวลาผ่านไป เราได้เห็นความจริงมากขึ้น และรู้ว่าสิ่งที่ตัวเองทำมันผิด
ไม่ใช่เรื่องเสียศักดิ์ศรีเลยที่จะเอ่ยปากขอโทษไป แม้ว่าเหตุการณ์จะผ่านมาแล้วก็ตาม
อย่างร็อบบี้ ฟาวเลอร์ ในตอนแรกที่เขาแซวเลอ โซ ก็มองว่าเป็นการยั่วยุขำๆ ไม่เห็นเป็นประเด็นต้องมาดราม่าขนาดนั้น แต่เมื่อเวลาผ่านไป ฟาวเลอร์ก็รู้ว่า มันไม่ใช่อะไรขำๆ มันเป็นการเหยียดเพศ และยัดเยียดให้อีกฝ่ายเป็น ในสิ่งที่เขาไม่ได้เป็นต่างหาก
คนเราไม่มีใครทำถูกตลอดเวลา เมื่อรู้ว่าผิด ก็ยอมรับ และขอโทษอย่างจริงใจซะ แค่นั้นเอง
#LeSaux #Fowler
โฆษณา