21 มี.ค. 2020 เวลา 02:00 • กีฬา
[ "โยวิช" #โนโควิด ]
เรื่องของ ลูก้า โยวิช ลุกลามเป็นประเด็นร้อนที่ตกอยู่ในความสนใจตอนนี้อย่างมาก
ไม่ว่าเขาจะรู้เท่าไม่ถึงการณ์หรือจงใจเจตนา แต่ถูกสังคมลงโทษเรียบร้อย ด้วยข้อหาขาดความรับผิดชอบต่อความเจ็บไข้ได้ป่วยและชีวิตผู้อื่น
ก่อนอื่นเราควรย้อนกลับไปดูกันก่อนว่า เกิดอะไรขึ้นบ้างและมีที่มาที่ไปอย่างไร?
นับตั้งแต่เชื้อไวรัสโควิด-19 ลุกลามระบาดอย่างหนักในแถบยุโรป รวมทั้งในสเปนที่มีผู้ป่วยหลายพันราย (ตอนนี้กว่า 2 หมื่นแล้ว) รวมทั้งเสียชีวิตอีก รัฐบาลเลยต้องงัดมาตรการเด็ดขาดล็อกดาวน์ประเทศลงชั่วคราว
ฟุตบอลทุกระดับชั้นงดเตะไปก่อน จนกว่าจะมีคำสั่งเปลี่ยนแปลงอีกครั้ง
หลายสโมสรมีผู้เล่นติดไวรัสตามมา ไม่ว่าจะเป็นบาเลนเซียที่ทั้ง เอเซเกล การาย กับ เอเลียควิม ม็องกาล่า สองกองหลังตรวจพบและในทีมอลาเบสที่มีเกือบ 10 ราย
ทุกทีมต่างตื่นตัวกันหมด จากที่นัดซ้อมรวมพลกันตามปกติ เพราะคิดว่ายังไม่น่ากลัวอะไรนัก กระทั่งสั่งนักเตะให้ไปเก็บตัวอยู่ที่บ้านพัก ไม่จำเป็นจริงๆอย่าออกมาข้างนอกเด็ดขาด
ใครจะฟื้นฟูสภาพร่างกายเรียกความฟิตให้ทำที่บ้านเลย พอสถานการณ์ระบาดคลี่คลายค่อยรอการเปลี่ยนแปลงอีกที
เรอัล มาดริดก็จัดการเรื่องนี้อย่างรวดเร็วเช่นเดียวกัน เพราะเพิ่งได้รับรายงานมาว่ามีนักบาสเก็ตบอลของสโมสรรายหนึ่งตรวจพบเชื่อโควิด-19
แล้วนักบาสคนดังกล่าวได้ไปใช้บริการในคอมเพล็กซ์ภายในสโมสร ซึ่งบริเวณตรงนี้นักกีฬาทุกประเภท สามารถมาพักผ่อนหรือทำกิจกรรมต่างๆได้ทั้งสิ้น
ฉะนั้นมาดริดเลยต้องเข้มมากกว่าเดิม ยึดกฎสากลนั่นคือนักเตะทุกคนจะต้องไปกักตัวเองให้ครบตามกำหนด 14 วันก่อน และไม่มีผ่อนปรนห้ามออกมาเด็ดขาด ต่อให้ทำการเทสต์แล้วไม่พบเชื้อก็ตาม
แต่ โยวิช กลับเพิกเฉยไม่ยอมปฏิบัติตาม เขาออกจากที่พักก่อนจะครบจำนวนวัน แล้วจับเครื่องบินเจ๊ตส่วนตัว จากมาดริดกลับไปยังกรุงเบลเกรด เมืองหลวงของเซอร์เบีย
แม้จะเกิดในเขตบอสเนียฯปัจจุบัน แต่ โยวิช เข้ามาอยู่อะคาเดมี่ของเร้ดสตาร์ เบลเกรดตั้งแต่อายุได้เพียง 8 ขวบและปักหลักอยู่ที่นี่ถึง 11 ปีเต็ม ก่อนจะย้ายไปเล่นที่โปรตุเกสกับเบนฟิก้า
ประกอบกับ โซฟิย่า มิโลเซวิช แฟนสาวซึ่งเป็นนางแบบชื่อดังของประเทศมีบ้านพักที่นั่นด้วย
แน่นอนว่า โยวิช แอบบินมาเงียบๆ เป้าหมายหลักอยู่ที่การมาร่วมงานวันเกิดครบรอบ 29 ปีของโซฟิย่า ซึ่งจะจัดขึ้นในวันที่ 18 มีนาคมที่ผ่านมา
ตอนบินมานี่เงียบก็จริง แต่พอมาถึงเบลเกรดแล้วกลับไม่เป็นอย่างนั้น
เขากลับเดินควงแฟนสาวอยู่กลางเมืองหลวง โดยไม่แคร์สายตาใครทั้งสิ้น
ด้วยความที่ทั้งคู่มีชื่อเสียงอยู่ในขั้นเซเลบของประเทศ ใครต่อใครจึงรู้จักทั้งสิ้น
ถ้าในสถานการณ์ปกติคงมีคนมาขอถ่ายรูปหรือลายเซ็น เจอคนดังอย่างนี้ไม่มีพลาดแน่นอน
ตอนนี้ไม่ใช่แล้ว ต่อให้ยอดผู้ป่วยและเสียชีวิตที่เซอร์เบียยังไม่ได้มากมายเหมือนประเทศอื่น แต่แทบทุกคนต่างแพนิคกันถ้วนหน้า ใครบ้างไม่รักตัวกลัวตาย
ไม่ได้มีใครห้ามเขากลับมาบ้านเกิด แต่สิ่งที่ต้องมีสำนึกรับผิดชอบคือ โยวิช เดินทางมาจากสเปน ซึ่งถูกขีดเส้นใต้ไว้เลยว่ามีอัตราเสี่ยงสูงสุดต่อการติดเชื้อ
ไม่ใช่แค่ชาวเซิร์บที่เห็นเท่านั้นจะตั้งข้อรังเกียจกับการกระทำนี้ รุ่งขึ้นสื่อบางสำนักยังโยนเชื้อใส่กองเพลิงให้ลุกโชนหนักกว่าเดิมอีก
"ตอนที่คนส่วนใหญ่ต่างหวาดผวาและรับผิดชอบด้วยการเก็บตัวในบ้าน แต่กองหน้าคนนี้กลับไม่รู้สึกอะไร เดินเล่นทั่วเบลเกรด"
เรื่องนี้หนักข้อมากขึ้นเรื่อยๆ ไฟโหมลามรุนแรง เพราะบรรดาผู้นำประเทศต่างออกมาประณาม โยวิช ทั้งสิ้น
เริ่มจาก อเล็กซานดาร์ วูซิช ประธานาธิบดีวัย 50 ปีที่ครองอำนาจมากว่า 2 ปี ทุบโต๊ะเปรี้ยงด้วยความไม่พอใจ ยืนยันว่าหาก โยวิช ยังละเมิดกฏอีกจะไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหมจับเข้าห้องขังทันที
"ผมอยากจะบอกว่าชีวิตคนของเรา มีค่ามากกว่าเงินจำนวนมหาศาลของเขา"
พอผู้นำออกมาเทคแอ็กชั่นอย่างนี้ กระแสต่อต้าน โยวิช จึงรุนแรงเชี่ยวกราดกว่าเดิมอีก
จากนั้น เนบอจซา สเตฟฟาโนวิช รัฐมนตรีมหาดไทย ให้สัมภาษณ์กับเอพี สื่อดังระดับโลกว่า
"เขาอาจจะมีชื่อเสียง เป็นนักฟุตบอล แต่สิ่งเหล่านี้ไม่อาจช่วยเหลือให้ทำผิดกฏหมายได้ เขาต้องเลือกว่าจะเคารพต่อกฎหรือจะยอมโดนจับเข้าคุก"
ส่วน อนา เบอร์นาบิช นายกรัฐมนตรีหญิงเซอร์เบีย เป็นอีกคนที่ออกมาจวกยับด้วย
"นี่คือตัวอย่างที่แย่มากจากนักฟุตบอลที่มีรายได้นับล้าน และเฉยเมยต่อความรับผิดชอบในการกักตัวเองตอนที่กลับมาบ้านเกิด"
โดนอ่วมขนาดนี้ โยวิช ย่อมทำเป็นทองไม่รู้ร้อนไม่ได้แล้ว จึงอัพข้อความลงในอินสตราแกรม เพื่อปกป้องตัวเองบ้าง
"ผมเข้าใจทั้งจากสถานการณ์ของประเทศเราและโลกเวลานี้ มันเป็นช่วงที่ยากลำบาก ผมขอเป็นกำลังใจให้กับทุกๆคน"
"เช่นเดียวกันอยากจะขอแสดงความเสียใจที่ตกเป็นประเด็นถูกกล่าวหา แต่เอาเข้าจริงสื่อน่าจะชื่นชมการทำงานของแพทย์มากกว่าจะมาจ้องโจมตีผมเกินจำเป็น"
"ผมได้มีการทำสอบหาเชื่อไวรัสโควิด-19 ที่มาดริดแล้ว ปรากฏว่าเป็นเนกาตีฟ ผมเลยตัดสินใจกลับบ้านเกิด เพื่อมาช่วยเหลือและอยู่กับครอบครัว ทั้งหมดได้รับการอนุญาตจากสโมสรแล้ว"
"พอมาถึงก็ได้รับการตรวจอีกครั้ง ซึ่งทุกอย่างเรียบร้อยดี แต่ผมกลับไม่ได้รับคำแนะนำที่จำเป็นว่าต้องปฏิบัติตัวอย่างไร"
"ที่นี่การออกมาข้างนอกมีเงื่อนไขต่างจากสเปนซึ่งต้องมีการขออนุญาตไม่ว่าจะเพื่อซื้ออาหารหรือยาที่จำเป็น"
"อย่างไรก็ตามผมพร้อมจะสนับสนุนเซอร์เบียอย่างเต็มที่ เราต้องผ่านไปให้ได้"
เซอร์เบีย มีมาตรการเข้มงวดเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อ ด้วยการให้ประชาชนที่เดินทางมาจากประเทศกลุ่มเสี่ยงต้องกักตัวเองในบ้านเป็นเวลา 28 วัน หากละเมิดจะใช้ยาแรงเล่นงานคือติดคุกเลย
อย่างที่บอกไว้ตอนต้นแล้วว่า คำถามอยู่ที่ไม่รู้หรือจงใจกันแน่
แต่หากทบทวนไตร่ตรองให้ดี โยวิช ไม่น่าจะรู้รายละเอียดต่างๆมากพอและมองว่าประเทศตัวเองอยู่ในความปลอดภัยมากกว่าเยอะ
กระนั้นที่เราลืมไม่ได้คือ เขาได้ทำผิดกฎจริง แถมเป็นเรื่องละเอียดอ่อนอีกต่างหาก อาจกระทบถึงความเป็นความตายได้เลย
เช่นเดียวกับที่ลืมไม่ได้เป็นอันขาดว่า "ต้นทุน" ที่ โยวิช ถืออยู่ในมือนั้นมันสูงมากเลยทีเดียว
ความเป็นแข้งซูเปอร์สตาร์ สังกัดสโมสรใหญ่ระดับโลกและมีรายได้มหาศาล ไม่ใช่เรื่องแปลกที่คนทั่วไปจะคิดว่าเขาได้รับอภิสิทธิ์ชน
ในขณะที่คนอื่นช่วยเหลือและพยายามทำตามกฎอย่างเคร่งครัด แม้จะมีข้อจำกัดหลายอย่างก็ยังไม่ละเมิด
แต่นี่ โยวิช ผู้ซึ่งมีพร้อมทุกอย่าง กลับนึกถึงแต่เรื่องของตัวเอง ห่วงแต่งานวันเกิดแฟนสาว ไม่คำนึงถึงผู้คนตามดำๆอีกมากมายที่สถานะด้อยกว่า
สิ่งที่น่าสนใจไม่น้อยไปกว่ากันคือ ไม่มีผู้บริหารประเทศคนไหนอยู่ข้าง โยวิช แม้จะมีข้ออ้างว่าไม่รู้รายละเอียดก็ตาม
หลายประเทศต้องเผชิญกับสถานการณ์เช่นนี้ นั่นคือต่อสู้กับโควิด-19 ท่ามกลางความแตกต่างระหว่างชนชั้นที่เห็นได้ชัดเจน
ในวันที่เศรษฐกิจแทบจะพังพินาศทั้งโลก แล้วเงื่อนไขต่างๆล้วนแต่ต้องมีเรื่องเงินเข้ามาเกี่ยวข้อง เลยยิ่งทรุดหนักลงกว่าเดิมเข้าไปอีก
คนอย่าง โยวิช ซึ่งมีความพร้อมจะรับมือกับสถานการณ์ที่เลวร้ายเช่นนี้ จึงมีความผิดแรงมาก ทั้งที่ยังไม่ได้สร้างความเสียหายให้เลยและตัวเขาก็ยืนยันได้ว่าปลอดเชื้อจริง
หากว่าเขาไม่ตั้งใจจริงๆและต้องการแสดงความจริงใจ ก็ไม่ควรออกมาพูดอะไร ต่อความยาวสาวความยืดอีก
หากให้ดีกว่านั้นการบริจาคเงินสักก้อนเพื่อช่วยเหลือผู้คนที่ขาดแคลนอีกมากมายหรือหยิบยื่นให้วงการสาธารณสุข คงจะช่วยกู้ภาพลักษณ์คืนมาบ้าง
การขอโทษ การยอมรับผิดและการแบ่งปัน
น่าจะสำคัญที่สุดแล้วในสถานการณ์อันตึงเครียดอย่างนี้
.
ทุกท่านสามารถติดตามอ่านบทความย้อนหลังได้ที่ ..
.
และเพิ่มเพื่อนไลน์แอด "เพื่อเด้งเตือน" ให้คุณได้อ่านก่อนใคร กดที่ลิงค์นี้ครับ
ขอบคุณครับ
โฆษณา