21 มี.ค. 2020 เวลา 06:36 • ปรัชญา
ไวรัสตัวหนึ่ง ออกเดินทางผจญภัย
แม่ของมันบอกว่า
มันเป็นสายพันธุ์ใหม่
แม้โตเต็มวัย ก็จะเล็กจิ๋วยิ่งกว่าแม่ในตอนนี้
มันพยักหน้ารับ
รู้สึกถึงชะตากรรมที่ยิ่งใหญ่เบื้องหน้า
ก่อนตาย แม่ยังบอกไว้ว่า
ไม่ว่ายังไง ลูกต้องมีชีวิตรอดให้ได้
มันจำคำแม่ แล้วออกเดินทาง...
มันหลบร้อน ลุยหนาว ลอยละล่องไป
จนกระทั่งเข้าไปถ้ำมืด ที่เรียกว่าโพรงจมูกมนุษย์
ในนั้นไม่ร้อนไม่หนาว
มีเซลล์สวยงามให้มันยึดเกาะ
จากนั้นมันก็เริ่มแพร่ตัวเอง
มันไม่รู้ว่าจากโพรงจมูก ลูกหลานของมันจะลงไปที่คอและปอด มันไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามันอยู่ในร่างกายของสิ่งมีชีวิตอื่น
มันรู้แค่ว่า มันต้องมีชีวิตรอด
ใช่ มันไม่รู้จักมนุษย์ด้วยซ้ำ...
และมันไม่รู้จักการฆ่าใดๆ
แต่แล้ว ด้วยการดำรงอยู่ของมัน
มนุษย์ผู้ติดเชื้อจากหนึ่งก็กลายเป็นสิบ
จากสิบก็กลายเป็นเเสน
ไวรัสกระจายตัว เพื่อดำรงความอยู่รอดของตนเท่านั้นเอง
แต่มนุษย์ก็ได้รับผลกระทบ
ต้องปรับเปลี่ยนพฤติกรรมขนานใหญ่
ไวรัสเล็กจิ๋วจึงสะเทือนทั่วทั้งจักรวาลได้เพราะเหตุนี้
เราจะโทษไวรัสผู้มีเจตนาเพียงเพราะต้องการมีชีวิตรอดได้หรือ?
สถานการณ์ที่เกิดขึ้นนี้เป็นการปรับสมดุลของธรรมชาติหรือไม่?
แท้จริงมนุษย์เราอาจเป็นเพียงไวรัสอีกสายพันธุ์หนึ่งของดาวเคราะห์ที่มีชื่อว่าโลก...
สิ่งเล็กๆ น้อยๆ ที่เราเลือกที่จะละเลย
อาจวนกลับมาทำให้เราบาดเจ็บล้มตายได้
เช่นเดียวกับกิเลสที่นอนเนื่องในจิต
หลงเล็กน้อย โลภเล็กน้อย โกรธเล็กน้อย
นานวันก็ขยายใหญ่เป็นวงกว้าง
จนผลาญจิตใจของบุคคลนั้นให้ทุรนทุราย
แต่ทั้งกิเลส หรือทั้งไวรัสเอง
ก็ไม่ได้มีจิตอาฆาตจองเวรเรา
มันเป็นเพียงสิ่งที่มีในโลกดุจเดียวกับเรา
ไม่มีใครดี ใครร้าย เสมอไป
ถ้าเราทำใจให้ปลอดจากกิเลสได้
ใจเราก็พ้นความฉิบหาย
ถ้าเราระวังตัวให้ปลอดจากไวรัสนี้ได้
ร่างกายก็พ้นจากความฉิบหายด้วย
แต่ถ้าเราเลี่ยงแล้วก็เจอ
ทั้งกิเลสและไวรัส
ก็ขอให้รู้และมีสติไว้
ไม่ว่าจะไวรัสหรือกิเลส
ก็ล้วนสูญสิ้นจากลาไปได้
ตั้งจิตให้บริสุทธิ์ มีหวัง
และพร้อมพัฒนาเพื่อพ้นจากไวรัสและกิเลส
ที่เผ่าพันธุ์มนุษย์ดำรงอยู่มาได้
ก็เพราะการไม่หยุดพัฒนา
และเราจะพ้นทุกข์ได้แท้จริง
ก็เพราะเราไม่หยุดพัฒนาจิตของเราเอง
และการพัฒนาจิตนี้
ใครก็ทำแทนใครไม่ได้
แต่ละคนพึงปฏิบัติถึงความดับทุกข์ด้วยตนเอง
โฆษณา