23 มี.ค. 2020 เวลา 06:36 • ความคิดเห็น
ความสุขที่หายไป
ท่ามกลางสถานการณ์การระบาดของไวรัสมรณะ
ที่กำลังแพร่ระบาดอยู่ในขณะนี้ ทำให้หลายครอบครัวต้องอยู่อย่างหวาดระแวง อกสั่นขวัญหาย
จมอยู่กับความทุกข์ระทมไม่รู้จบ
กลัวว่าสักวันเชื้อร้ายจะเข้ามาล้างผลาญสมาชิกใน
ครอบครัวของตน จนทำให้คนที่รักต้องเจ็บป่วยหรือพลัดพรากจากไปก่อนเวลาอันควร
ความสุขเมื่อวันวานที่เคยมี มาวันนี้กลายเป็นของหายาก ที่ใครๆ ต่างโหยหาอยากเร่งวันเวลาให้
กลับมาเป็นดังเดิม
สำหรับใครหลายคน ณ เวลานี้ผมเชื่อว่าความสุข
มันกลายเป็นสิ่งที่หายากมากๆ คงยากพอๆกับการหาซื้อข้าวสารอาหารแห้งและสิ่งจำเป็น สำหรับชีวิตประจำวันที่เคยมีวางขายอยู่บนเชลฟ์ในซุปเปอร์มาเก็ต
😣
บทความนี้ผมได้แรงบันดาลใจจากการได้ดู
รายการเจาะใจช่วงคอลัมนิสต์
พี่ดู๋ สัญญา คุณากรได้สัมภาษณ์พี่โหน่ง วงศ์ทนง
ชัยณรงค์สิงห์คอล้มนิสต์ชื่อดังพูดถึง
คุณอัลแบร์ กามู
นักเขียนชาวฝรั่งเศส รางวัลโนเบล
สาขาวรรณกรรม ปี ค.ศ.1957
อัลแบร์ได้พูดถึงองค์ประกอบของความสุข 4 ข้อ
ซึ่งผมคิดว่ามีประโยชน์จึงนำมาเรียบเรียงใหม่เพื่อนำมาฝากพี่น้องผองเพื่อนชาว blockdit ทุกท่าน
ที่กำลังเผชิญกับสถานการณ์ที่ยากลำบากในตอนนี้
1.อยู่ในที่ที่มีอากาสปรอดโปร่ง
ภาพสวยๆจากfacebookเพจ:สุขใดเล่าเท่าได้เที่ยว
ประเทศไทยถือว่าโชคดี มีภูมิประเทศที่ดี สวยงาม
ประชากรส่วนใหญ่อาศัยอยู่ตามชนบท
ซึ่งถือเป็นจุดแข็ง นอกจากจะมีอากาศที่สะอาด
บริสุทธิไว้หายใจแล้ว หลายแห่งยังถูกพัฒนาให้
เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สร้างรายได้ให้ประเทศชาติ
อีกด้วย
อากาสปรอดโปร่งยังเข้ากันกับหลักปฏิบัติตนเพื่อให้รอดพ้นจากไวรัสมรณะด้วย นั่นคือการได้อยู่ในที่
อากาสถ่ายเทสะดวกนั่นเอง ทำให้คนไทยส่วนใหญ่ปลอดภัยจากโรคร้าย
แต่อาจจะเป็นปัญหาของคนที่อยู่ในเมืองใหญ่
อยู่บ้าง เช่น กรุงเทพฯ ทางแก้คงต้องหมั่นหาเวลาไปเดินหรือออกกำลังกายตามสวนสาธารณะใกล้บ้าน หรือเดินทางออกไปต่างจังหวัดบ้าง
หากพอทำได้
ในญี่ปุ่นถึงกับมีคำพูดที่ว่า"อากาสอร่อย"
ขอให้คนไทยทุกคนในเวลานี้มีความสุขกับอากาสที่อร่อย
😊
2.พ้นจากความทะเยอทะยาน
ภาพสวยๆจาก:pixabay
ไม่ได้หมายความว่าจะให้ทุกคนหยุดทำงานโดยไร้เป้าหมายเช้าชามเย็นชามแต่อย่างใด
(แต่ตอนนี้หลายคนจำใจต้องหยุดทำงานตามนโยบายรัฐบาล ต้องเดินทางกลับบ้านเกิด เพราะไม่มีอะไรจะกิน)
เพียงแต่ผมคิดว่าอะไรที่มันมากไปมันอาจนำพาความทุกข์มาให้มากกว่า โดยเฉพาะภาวะเศรษฐกิจ
ขาลงอย่างนี้ เอาแค่พอประคับประคองตนเองและครอบครัวให้รอดพ้นจากวิกฤติครั้งนี้ไปให้ได้ผมก็คิดว่าดีมากพอแล้ว
เพราะอย่างน้อยหากเรายึดทางสายกลางปฏิบัติตน
ตามแนวทางปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง
ยินดีในสิ่งที่ได้ พอใจในสิ่งที่มี อะไรที่มันมากเกินไป เช่น ความทะเยอทะยานอยากได้อะไรที่มันมากเกินไป หนักเกินกำลัง แทนที่เราจะมีความสุขกับสิ่งที่ทำ มันอาจนำความทุกมาให้ก็เป็นได้
😊
3.ทำงานสร้างสรรค์
ภาพสวยๆจาก:pixabay
การได้ทำงานที่เรารักและเป็นงานสร้างสรรค์สังคมให้น่าอยู่ แม้ค่าตอบแทนจะน้อยนิดแต่ชีวิตโคตะระ
มีความสุขผมคิดว่ามันน่าจะเป็นสิ่งที่ดีมาก
สำหรับชีวิตที่แสนสั้นนี้ เช่น อาชีพหมอ พยาบาล และบุคลากรทางการแพทย์ที่ทำงานหนัก
เพื่อพวกเราทุกคนอยู่ในเวลานี้
มองผิวเผินอาจจะดูเหมือนว่าท่านทำงานหนักมากและเหนื่อยยากกับปัญหาที่รุมเร้า
แต่ขอให้ท่านได้รับรู้ไว้เถิดครับว่าประเทศนี้ขาดท่านไม่ได้จริงๆ หากขาดท่านไปหายนะมาเยือนคนไทยแน่
หากเจอปัญหาอุปสรรคในการทำงานอย่าท้อนะครับ
เพราะคนไข้หลายคนรอท่านอยู่
เพราะพวกท่านเป็นบุคคลที่สำคัญสำหรับสถานการณ์เช่นนี้จริงๆ ดังภาษิตจีนที่ว่าสถานการณ์สร้างวีระบุรุษ
หากประเทศไทยรอดพ้นจากวิกฤติครั้งนี้ไปได้
ประชาชนคนไทยต้องยกย่องสรรเสริญท่าน
ดุจดั่งวีรบุรุษในชีวิตจริง ชื่อเสียงของท่านจะต้อง
ถูกจารึกไว้ในใจคนไทยทุกคน
ผมเชื่อว่ากุศลผลบุญที่ท่านได้ทำจะนำพาชีวิตท่านและครอบครัวให้อยู่เย็นเป็นสุขอย่างแน่นอน
ผมก็เป็นคนหนึ่งที่คอยเป็นกำลังใจให้ทุกท่าน
เช่นกัน สู้ๆนะครับ
สุขใดไหนจะเท่าการที่เราได้เป็นผู้ให้ความสุข
แก่ผู้อื่นโดยไม่หวังผลตอบแทน
มีคำพูดหนึ่งที่พี่โหน่งได้พูดไว้น่าคิดครับว่า
"ชีวิตที่ดี ต้องถูกท้าทายด้วยงานที่น่าทำ"
😊
4.รักใครสักคน
ภาพสวยๆจากละครเรื่องปดิวรัดา:kapook
พี่ดู๋พูดว่าการได้รักใครสักคนน่าจะทำให้เราละทิ้งตัวตน อันนี้ผมเห็นด้วย เพราะเวลาที่เรามุ่งมั่นจะทำอะไรเพื่อใครสักคน จนไม่มีเวลาคิดถึงตัวเองจะเป็นช่วงเวลาที่มีความสุขมาก บางครั้งเพลิดเพลินจนลืมวันเวลาไปเลย
ผมว่ามันเป็นความสุขที่หาได้ง่ายดายมากไม่ต้องใช้เงินซื้อเพียงแต่ต้องใช้ใจแลกมา
ไม่มีข้อจำกัดนะครับว่าจะเป็นรักแบบไหนได้ทั้งนั้น
รักพ่อแม่พี่น้อง เพื่อนสนิท แฟน สามีภรรยา บุตร
รักเพื่อนมนุษย์ สัตว์เลี้ยง สัตว์โลก เชิญเลยครับได้ทั้งนั้นดีหมด เพราะรักกันย่อมดีกว่าเกลียดชัง
กันใช่ไหมครับ
พี่โหน่งยังบอกอีกว่าเคยมีการทำแบบสำรวจ
กับคำถามที่ว่า
"หากวันนี้คุณจะตายคุณอยากทำอะไรมากที่สุด"
เชื่อไหมครับคำตอบที่ได้กว่า 90 % คืออยากอยู่กับคนที่เรารักมากที่สุดเลย
ยิ่งโลกเรากำลังเผชิญกับความเป็นเป็นความตาย
ทุกวินาทีเช่นนี้เราคงต้องรักกันให้มากเพื่อบ้านเมือง
ของเราจะได้รอดพ้นจากโรคภัยในเร็ววัน
เพราะผมเชื่อเหลือเกินครับว่าหากพวกเราร่วมมือกัน ช่วยเหลือกัน คนละไม้คนละมือ ไม่นิ่งดูดาย ไม่ใส่ร้ายป้ายสีกัน
มีความรับผิดชอบต่อสังคมส่วนรวม ลดอัตตาลงบ้าง ไม่เห็นแก่ตัวมากจนเกินงาม
หลังจากที่ประเทศไทยพ้นวิกฤติครั้งนี้ไปได้
คนไทยจะรักกันมากขึ้น ความสุขก็จะมีมากขึ้น
กว่าเดิมผมเชื่ออย่างนั้น
ขอปิดบทความด้วยคำคมของพี่โหน่ง วงศ์ทนงที่ว่า
"ความสุขอาจเป็นสิ่งที่เรียบง่าย และอยู่ใกล้กว่าที่
คุณคิดก็ได้ ขอเพียงแค่ให้คุณมีสายตามองเห็นมัน"
อ้างอิง
"เพราะอยากเห็นคนในสังคมนี้
มีแต่รอยยิ้มและความสุข"
เกษตรเอส'Society
โฆษณา