23 มี.ค. 2020 เวลา 02:00 • ประวัติศาสตร์
กาลครั้งหนึ่ง ดนตรีเคยเป็นสาห์นจากซาตาน !
เสียงเพลง หรือเสียงเพลงดนตรี อาจเป็นความไพเราะที่จรรโลงใจมนุษย์มาอย่างช้านาน แต่ใครจะรู้ ว่าหลายต่อหลายครั้งที่มันจะถูกโยงให้เข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องกับอำนาจลึกลับอย่าง “ปีศาจ” หรือ “ซาตาน”
หากจะเล่าถึงความเชื่อมโยงระหว่างแวดวงดนตรีกับซาตานนั้น ก็คงจะต้องถึงความเชื่อเกี่ยวกับซาตานก่อนเป็นอันดับแรก โดยซาตานนั้นถูกมองว่าเป็นสัญลักษณ์ของความชั่วร้ายทั้งปวงจากในหลายศาสนา และในหลายคัมภีร์ เช่น ในกลุ่มศาสนาอับราฮัม(ซึ่งเป็นกลุ่มของ 3 ศาสนาที่เชื่อว่าพระเจ้ามีพระองค์เดียว ได้แก่ ศาสนาคริสต์ , อิสลาม และศาสนายูดาห์) มีความเชื่อว่าซาตานคือผู้ที่นำพาความชั่วร้ายและชักนำมนุษย์ไปในทางที่ผิด
ในคัมภีร์ฮีบรูก็ระบุว่าซาตาน หรือเรียกอีกอย่างว่าปีศาจนั้นคือศัตรูตัวฉกาจ เป็นตัวแทนของความชั่วร้ายอย่างแท้จริง อีกทั้งยังเป็นสัญลักษณ์แห่งความชิงชังอีกด้วย ทั้งหมดนี้ ก็ทำให้ภาพลักษณ์ของซาตานถูกมองในแง่ลบมาตั้งแต่อดีต และมักจะเชื่อมโยงเข้าหาสิ่งต่างๆ ในทางที่ไม่สู้ดีเท่าใดนัก
แต่แวดวงที่มักถูกโยงเข้าหาซาตานมากที่สุด ก็คงจะเป็นแวดวงดนตรีนั่นเอง ไม่ว่าจะเป็นนักดนตรีที่มีพรสวรรค์มักจะมีข่าวลือออกมาว่าขายวิญญาณให้ซาตาน มีแม้กระทั่งเรื่องฉาวๆ ของวงการเพลงที่ถูกโยงไปถึงปีศาจ
ในส่วนของนักดนตรีนั้น ในอดีตก็มีนักดนตรีชื่อดังหลายรายที่ถูกข่าวลือในทางลึกลับในทำนองนี้ เช่น นักไวโอลีนอย่าง จูเซปเป้ ตาร์ตินี่ และ นิโคโล่ ปากานินี่ ทั้งคู่ต่างถูกร่ำลือว่าได้รับพรสวรรค์จากการขายวิญญาณให้ซาตาน
ในส่วนของตาร์ตินี่นั้น เขาเป็นนักดนตรียุคบาโรคชาวอิตาลี่ซึ่งก็มีตำนานว่าเขาฝันว่ามีซาตานมาสีไวโอลีนให้เขาฟัง ซึ่งเพลงที่เขาได้ยินในฝันนั้นไพเราะมาก จนเมื่อตื่นขึ้นมา เขาก็เริ่มต้นเขียนโน๊ตเพลงนั้นทันที โดยเพลงนั้นต่อมาก็มีชื่อเรียกว่า devil's trill sonata
1
ส่วนปากานินี่นั้นก็เป็นนักดนตรีที่มีชื่อเสียงหลังจากความโด่งดังของตาร์ตินี่ถึงหนึ่งศตวรรษ เขาเป็นนักไวโอลีนที่มีชื่อเสียงมาตั้งแต่เด็กจากการถูกเคี่ยวกรำอย่างหนักโดยพ่อของเขาเอง
และด้วยความเก่งกาจ บวกกับบุคลิกที่ดูแปลกพิกลจากสุขภาพที่ไม่ค่อยสู้ดีนัก จึงทำให้ผู้คนมักมองว่าเขามีความสามารถถึงเพียงก็เพราะขายวิญญาณให้ซาตาน และในบางรายงานก็มีระบุว่าผู้เข้าชมการแสดงของเขาถึงกับต้องทำสัญลักษณ์ ไม้กางเขนเพื่อป้องกันปีศาจเลยทีเดียว
นอกจากข่าวลือการขายวิญญาณของเหล่านักดนตรีแล้ว ก็ยังมีเรื่องอื้อฉาวในวงการเพลงที่เกี่ยวข้องกับซาตานอยู่เหมือนกัน โดยเหตุการณ์สุดโต่งนี้เกิดขึ้นกับวงการเพลงร็อคในประเทศนอร์เวย์ช่วงยุค 90s
1
ซึ่งเพลงร็อคที่ได้รับความนิยมในยุคนั้นเป็นแนว death metal ที่มีดนตรีและเนื้อหาที่ค่อนข้างหนัก แต่แล้ว มันก็ถูกพัฒนาจนดนตรีและเนื้อหาหนักขึ้นเรื่อยๆ และกลายเป็น Black metal ที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับการบูชาซาตาน
และแล้วมันก็กลายเป็นเรื่องใหญ่โตมากขึ้น เมื่อ Euronymous มือกีตาร์วง Mayhem ได้เปิดร้านเทปที่ชื่อว่า “helvet” (แปลว่านรก) ซึ่งเป็นสถานที่ที่คนรัก Black metal มารวมตัวกัน สุดท้ายกิจกรรมของคนกลุ่มนี้กลับเลยเถิดจนกลายมาเป็นการก่ออาชญากรรม เช่น การวางเพลิงโบสถ์หลายแห่งเพื่อแสดงจุดยืนการต่อต้านศาสนา หรือแม้แต่การก่อเหตุฆาตรกรรมอีกหลายคดี
สุดท้ายตำรวจก็เพ่งเล็งที่ร้าน Helvet มากขึ้น และ Euronymous ก็ต้องปิดร้านดังกล่าวนี้ในที่สุด และในปัจจุบัน เพลง Black metal ก็ยังคงมีอยู่ แต่มีดนตรีและเนื้อที่ลดความรุนแรงลง และไม่พูดถึงการบูชาซาตานอีกต่อไป
แต่ในปัจจุบันนี้ ในทางที่เกี่ยวกับดนตรีก็แทบจะไม่ถูกเชื่อมโยงกับซาตานอีกแล้ว ประกอบกับกลุ่มลัทธิบูชาซาตานในปัจจุบันก็เริ่มหันมาทำกิจกรรมเพื่อสังคม มีความคำนึงถึงความเป็นไปของสังคมมากขึ้น เรียกว่านี่คือการเปลี่ยนแปลงทางความเชื่อและศาสนาที่เป็นไปตามกาลเวลาเลยก็ว่าได้
ทั้งหมดนี้แสดงให้เห็นได้ถึงความเชื่อ ความศรัทธาที่ฝังแน่นของผู้คน ซึ่งจะเห็นได้ว่าศาสนาก็อาจมีอิทธิพลต่อวงการอื่นได้เช่นกัน แต่ทั้งนี้ ความเชื่อที่สุดโต่งจนเกินไป ก็อาจก่อความเดือดร้อนให้ผู้อื่นได้ นอกจากนี้ สังคมก็มีการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ ดังนั้น วิถีความเชื่อของผู้คนก็เปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลานั่นเอง
อยากรู้เรื่องอะไร อยากอ่านบทความเเบบไหน ส่งคำถามมาให้ "สมองไหล" ได้ง่ายๆ เพียง “กดลิ้ง” ข้างล่างนี้ได้เลย
โฆษณา