23 มี.ค. 2020 เวลา 10:41 • กีฬา
นี่คือตอนจบของ "261 รหัสเปลี่ยนโลก" เหตุการณ์ประวัติศาสตร์ที่เปลี่ยนโลกของการวิ่งมาราธอนไปตลอดกาล กับความเชื่อฝังหัวคนในอดีตว่า ผู้หญิงไม่มีวันวิ่งทางไกลได้
สำหรับคนที่ยังไม่ได้อ่าน PART แรก ย้อนกลับไปอ่านโพสต์ของเมื่อวานนี้ก่อนนะครับ เลื่อนไปอันเดียวเจอเลยจะได้เข้าใจภาพรวมที่เคลียร์ของเรื่องนะครับ
มีคำกล่าวว่า ผู้พิชิตมาราธอน จิตใจสำคัญยิ่งกว่าร่างกาย
กล่าวคือเรื่องร่างกาย คนที่คิดจะสมัครลงแข่งมาราธอน ส่วนใหญ่พวกเขาเคยซ้อมมาแล้ว รู้ตัวอยู่แล้วว่าวิ่งระยะ 42.195 กิโลเมตรได้ ถ้าคนที่เคยทำระยะได้แค่ 10-20 กิโล รู้สถิติตัวเองอยู่แล้ว ก็คงไม่คิดจะลงแข่งแต่แรก
แต่คำถามคือ สำหรับนักวิ่งบางคนทั้งๆที่ตอนซ้อมทำได้ แต่ทำไมพอแข่งจริง กลับไปไม่ถึงเป้าหมาย
สาเหตุสำคัญคือ ตลอดระยะทาง 42.195 กิโลเมตรของมาราธอน มันอาจจะเจอเรื่องราวต่างๆมากมาย และเมื่อไหร่ก็ตามที่จิตใจไขว้เขว มันจะส่งผลต่อจังหวะของตัวเองทันที และมักจะลงท้ายด้วยความผิดหวัง
สำหรับแคทเธอรีน สวิตเซอร์ ความฝันของเธอคือพิชิตมาราธอนให้ได้ แต่เมื่อลงแข่งบอสตัน มาราธอนจริงๆ เธอจึงได้เข้าใจว่า เกมที่เธอเข้าไปร่วมเล่น มันไม่ได้เดิมพันที่ความฝันของเธอคนเดียว แต่กลายเป็นว่า เธอต้องต่อสู้เพื่อผู้หญิงทั่วโลกไปด้วย โดยที่เธอเองไม่รู้ตัวเลยสักนิด
1
จ๊อค เซมเปิ้ล หัวหน้าฝ่ายจัดการแข่งขันของบอสตัน มาราธอน เขาเกิดที่สกอตแลนด์ ก่อนจะอพยพมาอยู่สหรัฐฯ ตั้งแต่อายุ 18 ปี จากนั้นได้ย้ายมาตั้งถิ่นฐานที่เมืองบอสตัน
คือแม้จะไม่ได้เกิดที่นี่ แต่เมืองนี้ให้โอกาสทุกอย่างในชีวิตของเขา ดังนั้นจ๊อค สามารถพูดได้อย่างเต็มปากเลยว่า เขาพร้อมทำทุกอย่างเพื่อเมืองที่เขารักแห่งนี้
จ๊อค เซมเปิ้ล
ในปี 1950 จ๊อค เซมเปิ้ล ได้รับเกียรติให้เป็นหัวหน้าฝ่ายจัดการแข่งขันบอสตัน มาราธอน รายการมาราธอนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก ดังนั้นด้วยเกียรติยศของอีเวนต์นี้ เขาจึงตั้งใจอยากให้งานแข่งขันถูกจัดขึ้นอย่างสมบูรณ์ที่สุด โดยจ๊อคจะดูแลทุกอย่างแบบละเอียดทุกขั้นตอน ไม่ให้เกิดปัญหาอะไรเด็ดขาด
เมื่อก่อน รายการบอสตัน มาราธอนยังไม่มี ควอลิฟาย ไทม์ หรือเวลาขั้นต่ำในการยื่นขอ BIB ดังนั้น ใครๆก็มีสิทธิลงแข่งได้ ซึ่งก็มีพวกกวนประสาทไม่น้อยที่กะจะมาวิ่งเอาฮา ทั้งๆที่บอสตัน มาราธอน คือการแข่งที่จริงจังมาก
และหน้าที่ของ เซมเปิ้ล จะเล่นงานนักวิ่งที่ไม่จริงจังกับงานนี้ เพราะเวทีนี้ไม่ใช่จำอวด คือคิดจะลงแข่งแล้ว ต้องให้เกียรติกับรายการมาราธอนที่เก่าแก่ที่สุดในโลกด้วย
ในปี 1957 มีนักวิ่งคนหนึ่งกะเอาฮา ด้วยการแต่งตัวแฟนซี ใส่สน็อคเกิ้ลที่เอาไว้ดำน้ำ ร่วมขบวนวิ่งด้วย ปรากฏว่า โดนจ๊อค เซมเปิ้ล ไล่อัดและบอกให้ไสหัวไปจากการแข่งซะ อย่ามาเล่นตลกที่นี่ นี่คือเวทีของนักวิ่งที่ต้องการสู้กับตัวเองเท่านั้น
ดังนั้นในการแข่งบอสตัน มาราธอน ปี 1967 เมื่อเขาได้ยินว่า มีนักศึกษาหญิงจากมหาวิทยาลัยซีราคิวส์ ใช้ชื่อว่า K.V. Switzer แอบลักลอบลงแข่งขันด้วย ทำให้เขาโมโหมาก เพราะคิดว่าโดนคนมาป่วนอีกแล้ว
เรื่องกฎห้ามผู้หญิงวิ่งในบอสตัน มาราธอนก็เรื่องหนึ่ง แต่จุดสำคัญที่ทำให้ จ๊อค เซมเปิ้ลไม่พอใจ คือพวกแกจะมาเล่นตลกอะไรกันที่นี่ เซมเปิ้ลไม่คิดว่าแคทเธอรีน ต้องการจะมาพิชิตมาราธอนจริงๆ แต่อยากเอาฮา หรือไม่ก็อยากขึ้นหน้า 1 หนังสือพิมพ์มากกว่า ว่ามีผู้หญิงหลอกเจ้าหน้าที่ได้สำเร็จ
เมื่อได้ข่าวว่ามีผู้หญิงวิ่งผ่านถึงกิโลเมตรที่ 8 เขาจึงนั่งรถตามไปและไปดักเอาไว้ได้ในกิโลเมตรที่ 10
1
จ๊อค เซมเปิ้ล เห็นแคทเธอรีน ที่ใส่ BIB หมายเลข 261 เขาจึงวิ่งไปด้านหลังเธอ คว้าไหล่ของแคทเธอรีน แล้วตะคอกว่า "ไสหัวออกไปจากการแข่งของฉันซะ แล้วคืนเลข BIB มาด้วย!"
จ๊อค พยายามจะกระชากเบอร์ BIB ออกจากเสื้อของแคทเธอรีน แต่อาร์นี่ บริกส์ ปัดมือของจ๊อค เซมเปิ้ลเอาไว้ได้ แล้วพูดขึ้นมาว่า "ปล่อยเธอไปเถอะ จ๊อค ฉันเป็นคนฝึกเธอมาเอง เธอวิ่งได้"
จ๊อค ไม่ฟังสิ่งที่อาร์นี่พูดแล้วตะโกนไปว่า "อย่ามายุ่งกับเรื่องนี้ อาร์นี่!"
บรรยากาศยื้อยุดเกิดขึ้นอยู่หลายวินาที ช่างภาพที่อยู่ใกล้เหตุการณ์รัวเก็บภาพอย่างเมามันส์ เพราะนี่เป็นเรื่องที่ไม่น่าจะเกิดขึ้นง่ายๆ ผู้หญิงมาลงแข่งวิ่งก็แปลกแล้ว และผู้จัดลงมากระชากเบอร์เสื้อด้วยตัวเอง ยิ่งเป็นอะไรที่ไม่เคยเห็นเข้าไปใหญ่
ท่ามกลางการพัวพัน ปรากฏว่า "ตูม!" ทอม มิลเลอร์ แฟนหนุ่มของแคทเธอรีน ที่เป็นนักขว้างค้อนดีกรีทีมชาติ แท็กเกิ้ลใส่จ๊อค เซมเปิ้ล เข้าเต็มแรง จนจ๊อคเสียหลัก ล้มลงไปกองกับพื้น
"ตอนนั้นเราคิดว่า เราฆ่าเขาไปแล้วหรือเปล่า เพราะเขาร่วงลงไปกองกับข้างถนน" แคทเธอรีนเล่า "พระเจ้า เราจะติดคุกกันหมดหรือเปล่า"
ในระหว่างที่ทั้งทีมกำลังสับสนว่าจะหยุดวิ่งดีไหม อาร์นี่ ได้ตะโกนขึ้นมาว่า "วิ่งหน้าตั้งเลย!" อาร์นี่สั่งให้ทุกคนวิ่งหนีไปให้พ้นจากจุดนั้นก่อน แล้วเดี๋ยวเขาจะอธิบายให้ฟังเอง ว่าทำไม
ทั้ง 4 คน จึงสปรินท์ออกจากจุดปะทะ วิ่งหนีรถสื่อมวลชน พุ่งตรงไปไปที่กิโลเมตรต่อไปของการแข่งมาราธอน
นักข่าวตะโกนว่า "ตามเธอไป ตามเธอไป!" ตอนนี้แคทเธอรีนเป็นจุดสนใจแล้ว เรื่องนี้ไม่จบง่ายๆแน่
ตอนนี้สถานการณ์วุ่นวายไปหมด แต่พอแคทเธอรีน,อาร์นี่, ทอม และ จอห์น วิ่งออกจากจุดเกิดเหตุมาได้สัก 1 กิโลเมตร อาร์นี่ได้อธิบายว่า จ๊อค เซมเปิ้ลที่โดนทอม มิลเลอร์อัดใส่ เขาโอเค เขาไม่เป็นไรหรอก
อาร์นี่ เล่าต่อว่า แม้จ๊อค เซมเปิ้ลจะโดนอัด แต่เขาจะไม่ทำเป็นเรื่องใหญ่แน่นอน นั่นเพราะเขาทำงานเป็นหัวหน้าฝ่ายจัดการแข่งขันของบอสตัน มาราธอนมาเกือบ 20 ปี ดังนั้นเขารู้ดีว่า รายการนี้มีความสำคัญกับนักวิ่งทุกคนที่มาร่วมแข่งขัน
แปลว่าเขาจะเอาเรื่องผู้หญิงแอบลงทะเบียน มาเป็นเรื่องใหญ่ถึงขั้นเป็นวาระแห่งชาติไม่ได้
ถ้าหากเขาขับรถตามไล่บี้ และลากตัวเธอมาให้จบการแข่ง เขาก็อาจจะทำได้ แต่มันก็เป็นการทำให้นักแข่งคนอื่นเสียสมาธิ บางคนที่วิ่งอยู่ในรอบๆบริเวณอาจเสียจังหวะ จนทำให้พวกเขาวิ่งไม่จบเลยก็ได้
ซึ่งถ้าเขาทำให้มันเป็นเรื่องใหญ่แบบนั้น จะกลายเป็นว่า ตัวเขาเองนั่นล่ะ ที่ไม่ให้เกียรติบอสตัน มาราธอนเลย คือนักวิ่งคนอื่น ทำไมต้องมามีส่วนในความวุ่นวายที่เกิดขึ้นด้วย
1
ดังนั้นแม้จ๊อค จะโดนทอม มิลเลอร์อัดร่วง แต่เขาไม่ได้เอาเรื่องนี้ ไปแจ้งความใหญ่โต และเขาก็ไม่ไปวิ่งไล่ตามแคทเธอรีนอีกแล้ว โดยสิ่งที่เขาทำคือ "รอดู" ว่าคนที่ อาร์นี่ บริกส์ ยืนยันว่าฝึกมาอย่างดี จะสามารถวิ่งจบมาราธอนได้อย่างที่พูดหรือเปล่า หรือจริงๆ แค่อยากเป็นตัวโจ๊กเอาฮาเท่านั้น
หลังจากผ่านกิโลเมตรที่ 10 รถนักข่าวแล่นมาขนาบข้างกลุ่มนักวิ่งทั้ง 4 คน จากนั้นพวกเขายิงคำถามรัวๆใส่แคทเธอรีน
- "ที่มาวิ่งนี่คือต้องการเรียกร้องสิทธิให้สตรีหรือเปล่า?"
- "เมื่อไหร่คุณถึงจะหยุดวิ่งแล้วปล่อยให้มืออาชีพเขาแข่งกันเสียทีล่ะ?"
สารพัดคำถามที่ทำให้เธอเจ็บปวดใจ เพราะไม่มีใครมองเลย ว่าเธอมารายการนี้เพื่ออยากจะแข่งมาราธอนแค่นั้นจริงๆ
1
แคทเธอรีนรู้ว่าตอบอะไรก็คงไม่มีใครเชื่อ เพราะนักข่าวมองว่า นี่เป็น Prank เป็นมุกที่พวกนักศึกษามหาวิทยาลัย เอาไปเล่นโจ๊กกับเพื่อนอะไรทำนองนั้น เธอได้แต่เงียบและวิ่งต่อไป
2
สถานการณ์กดดันเข้าไปอีก เมื่อจ๊อค เซมเปิ้ล ที่ตอนนี้ขึ้นมาบนรถของผู้จัด วิ่งแล่นผ่านแคทเธอรีน จ๊อคแม้จะโดนอัดร่วงไปเมื่อไม่กี่นาทีก่อน เขาตอนนี้ดูแข็งแรงดีมาก
จ๊อคชี้หน้าแล้วตะโกนใส่ทั้งกลุ่มว่า "พวกแก เจอปัญหาใหญ่แน่!" จากนั้นรถก็แล่นผ่านไป โดยจ๊อคไม่ได้เข้ามาแทรกแซงการวิ่ง แต่จะไปรอดูว่า การเล่นตลกของผู้หญิงคนนี้จะสิ้นสุดที่กิโลเมตรไหน
2
มาถึงตรงนี้ แคทเธอรีน จึงเข้าใจทุกอย่างขึ้นมาอย่างชัดเจนทีเดียว สาเหตุที่มีกฎห้ามผู้หญิงลงแข่งมาราธอน นั่นเพราะที่ผ่านมา ไม่เคยมีผู้หญิงคนไหนที่พิสูจน์ได้จริงๆ ว่าสามารถวิ่งจบมาราธอนได้ ทางผู้จัดเลยออกกฎเข้มงวดขนาดนี้ เพราะกลัวว่าผู้หญิงที่มาลงสมัครจะไม่จริงจังกับการแข่ง และทำลายความศักดิ์สิทธิ์ของรายการด้วยการวิ่งแบบเล่นๆ
และอีกหนึ่งเรื่องที่สำคัญที่สุดที่แคทเธอรีนตระหนักก็คือ การวิ่งของเธอครั้งนี้ ไม่ใช่การวิ่งแบบเอาสนุก เหมือนที่เธอตั้งใจไว้ตอนแรกอีกต่อไปแล้ว แต่มันเป็นเกมเดิมพันที่เธอต้องพิสูจน์แทนผู้หญิงทั้งโลก ว่าเพศหญิงสามารถแข่งจบมาราธอนได้เหมือนกัน
2
ลองคิดดูว่า ถ้าเธอหยุดแข่ง วิ่งไม่จบ แน่นอนว่า จ๊อค เซมเปิ้ล และนักข่าว ก็คงประโคมเต็มที่ว่า "ว่าแล้ว สุดท้ายก็เป็นเรื่องเอาฮา" และไม่ใช่แค่เธอที่พ่ายแพ้ แต่ความฝันของผู้หญิงที่อยากลงแข่งบอสตัน มาราธอนในอนาคตก็คงพินาศลงเช่นกัน
ถ้าเธออยากให้ผู้ชาย มองนักวิ่งหญิงด้วยสายตาเป็นธรรม ว่าผู้หญิงก็วิ่งจบมาราธอนได้จริงๆ เธอจำเป็นต้องวิ่งเข้าเส้นชัยให้ได้
"อาร์นี่ ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นฉันต้องเข้าเส้นชัยให้ได้" แคทเธอรีนหันไปบอกระหว่างวิ่ง "ไม่ว่าจะต้องคลานเข้าเส้นชัย ฉันก็จะต้องทำให้ได้ ถ้าฉันแพ้ ผู้คนจะบอกว่าผู้หญิงก็ทำได้แค่นี้แหละ!"
1
การเปลี่ยนแปลงอะไรสักอย่าง ที่มีมาอย่างยาวนาน จุดสำคัญคือ "คนแรก" ที่ลุกขึ้นมาสร้างความเปลี่ยนแปลง จะสามารถทำให้คนที่อยู่กับความเชื่อเก่าๆ รู้สึกประทับใจได้แค่ไหน
ถ้าคนแรกทำได้ดี โอกาสที่สังคมจะยอมรับก็เป็นไปได้ แต่ถ้าคนแรกทำได้น่าผิดหวัง สังคมก็จะบอกว่า เห็นไหมล่ะ กฎที่มีมาแต่เดิม มันก็ดีอยู่แล้ว
2
ปัญหาของแคทเธอรีนตอนนี้คือใจเธอคิดเรื่องอื่นเยอะเกินไป แต่เธอลืมไปหมดแล้วว่าเธอกำลังสู้กับอะไรอยู่
นี่คือบอสตัน มาราธอน หนึ่งในรายการวิ่งที่ยากที่สุดในโลกนะ
"แคทเธอรีน อย่างแรกที่เธอต้องทำคือหยุดพูด และวิ่งช้าลงกว่านี้ซะ!" อาร์นี่ตะคอกใส่ เพื่อเรียกสติแคทเธอรีนกลับคืนมา
แคทเธอรีน กับ อาร์นี่ บริกส์ (490)
ช่วงที่ต้องใช้พลังมากที่สุดของบอสตัน มาราธอน คือช่วงระหว่าง Wellesley Hill หรือกิโลเมตรที่ 21 ไปจนถึง Heartbreak Hill กิโลเมตรที่ 33 ซึ่งเป็นเนิน ต้องใช้พลังวิ่งขึ้นลงตลอด นักวิ่งหลายคนพลาด เพราะไม่ยอมเก็บพลังเอาไว้ใช้ในช่วงนี้ จึงแรงหมด และวิ่งต่อไม่ไหว
ดังนั้นเคล็ดลับของนักวิ่งทั่วไป คือต้องใจเย็นๆ ใน 21 กิโลเมตรแรก เก็บแรงเอาไว้ก่อน แล้วพอผ่าน Wellesley Hill ค่อยเร่งจังหวะ เพื่อก้าวข้าม กิโลเมตรที่ 33 Heartbreak Hill ไปให้ได้
1
ตอนนี้วิ่งได้แค่ 10 กิโลเมตรเอง ยังไม่ถึง Wellesley Hill ด้วยซ้ำ แต่แคทเธอรีนใช้พลังไปเยอะมาก เรื่องที่เกิดขึ้นกับจ๊อค เซมเปิ้ล ทำให้เธอเสียสมาธิจนวิ่งผิดจังหวะไปหมด ถ้าเป็นแบบนี้โอกาสวิ่งไม่จบ เป็นไปได้สูงมาก
อาร์นี่สั่งให้แคทเธอรีนวิ่งตามความเร็วของเขา เดี๋ยวเขาจะเป็นคุมจังหวะให้เอง เพื่อไม่ให้วิ่งเร็วเกินไป ไม่งั้นจะหมดแรงกันไปก่อน
แคทเธอรีน สงบขึ้น ใจเย็นขึ้น เธอกลับมามีจังหวะที่ดี เหมือนกับช่วงออกสตาร์ตอีกครั้ง
อย่างไรก็ตาม แคทเธอรีน มีสมาธิได้ไม่กี่นาที ก็มีปัญหาใหม่เข้ามาอีก นั่นคือแฟนหนุ่มของเธอ ทอม มิลเลอร์ อยู่ๆก็หันมาตำหนิว่า "เธอรู้ไหม เธอกำลังทำให้ฉันเจอปัญหาลำบากนะ" ซึ่งแคทเธอรีนงงมากว่านี่มันเรื่องอะไรกันอีก "เธอพูดเรื่องอะไรหรอ ทอม?"
การโต้เถียงกันของแคทเธอรีน และ ทอม มิลเลอร์
"ฉันไปโจมตีใส่ผู้จัดการแข่งขันแบบนั้น ฉันคงต้องถูกตัดชื่อออกจากนักกีฬาโอลิมปิกแน่" ทอม มิลเลอร์ เป็นนักกีฬาประเภทขว้างค้อน และมีลุ้นไปแข่งโอลิมปิก ที่เม็กซิโก ในช่วงปลายปีอีกด้วย "ฉันไม่ควรมาบอสตันกับเธอเลย"
"ฉันไม่ได้บังคับเธอให้มาบอสตันนะ!" แคทเธอรีนตอบโต้กลับไป ท่ามกลางสายตาของอาร์นี่ เขาเพิ่งบอกให้แคทเธอรีนมีสมาธิกับการวิ่ง แต่แค่แป้บเดียวเธอก็ใจลอยไปเรื่องอื่นอีกแล้ว
พอทะเลาะกันดังนั้น ทอม มิลเลอร์ จึงโมโหจัด ฉีกกระดาษ BIB ของตัวเอง แล้วขยำก่อนขว้างมันไปที่ข้างทาง "ถ้าฉันไม่ได้ไปโอลิมปิกมันคือความผิดของเธอนั่นแหละ รู้ไว้เลย!" จากนั้นด้วยความที่ทอมคุมอารมณ์ไม่ได้ เขาจึงวิ่งฉีกหนีออกจากกลุ่ม และเร่งความเร็วทิ้งทั้ง 3 คนไว้ทันที
2
แคทเธอรีน วิ่งไปร้องไห้ไป เธอท้อแท้ถึงขีดสุด เธอต้องแบกรับความหวังของผู้หญิงที่อยากวิ่งทั่วโลก ทั้งๆที่ตัวเธอไม่ได้คิดอะไรขนาดนั้นเลย เธอแค่อยากวิ่งเฉยๆ ไม่เพียงแค่นั้น การที่เธออยากพิชิตมาราธอน ส่งผลให้ความฝันไปโอลิมปิกของแฟนหนุ่มอาจพลังทลายเพราะเธอ หัวเธอคิด คิด คิด คิดเยอะไปหมด
3
"ตั้งสติหน่อย!" อาร์นี่ เตือนแคทเธอรีนก่อนจะใจลอยไปถึงไหน "ปล่อยเขาไป แค่ปล่อยเขาไป ลืมมันซะ!"
ใช่ เธอกำลังอยู่ในการวิ่งมาราธอน เรื่องอื่นๆช่างมัน ตอนนี้ปล่อยหัวให้โล่ง คิดถึงแค่จังหวะของเสียงฝีเท้าแค่นั้นพอ
แคทเธอรีน โฟกัสที่การวิ่งอีกรอบ คราวนี้เธอวิ่งมาถึง Wellesley Hill ได้สำเร็จ เธอผ่านครึ่งทางที่ 21 กิโลเมตรแล้ว
และจากนี้ไปคือช่วงที่ยากที่สุดของบอสตัน มาราธอน นั่นคือเส้นทาง 12 กิโลเมตร จาก Wellesley Hill ถึง Heartbreak Hill
ชื่อ Heartbreak Hill (เนินหัวใจสลาย) แน่นอนว่าไม่ได้มาเพราะบังเอิญ แต่มีนักวิ่งคนแล้วคนเล่าที่ใจสลาย ต้องยุติการวิ่งในบริเวณนี้ ซึ่งแคทเธอรีน ก็บอกกับตัวเองว่า เธอจะไม่ยอมเป็นแบบนั้นเด็ดขาด
หลังผ่าน 21 กิโลเมตร เป็นช่วงที่แคทเธอรีน มีสมาธิกับการวิ่งมากที่สุด
เธออยู่กับตัวเอง สนใจเพียงแค่ฝีเท้าของตัวเอง สัมผัสบรรยากาศของสองข้างทางที่เปลี่ยนไปเรื่อยๆ ความเมื่อยล้าที่ขาค่อยๆหายไปช้าๆ เธอวิ่งด้วยความเร็วสม่ำเสมอ ไม่เร็ว แต่มั่นคง เป้าหมายของเธอไม่ใช่แข่งขันกับใคร แต่เป็นการเข้าถึงเส้นชัยให้ได้เท่านั้น
จะมีตำรวจรอจับเธอหลังวิ่งเสร็จหรือไม่ เธอไม่สน
จ๊อค เซมเปิ้ล จะรอเธอที่เส้นชัยหรือไม่ เธอไม่สน
ทอม มิลเลอร์ แฟนหนุ่มจะขอเลิกกับเธอหรือไม่ เธอไม่สน
นี่คือความสุขของมาราธอน มันคือการปลดปล่อยจิตวิญญาณอย่างแท้จริง มันเป็นช่วงเวลาที่เธอได้อยู่กับตัวเองมากที่สุด
2
"อาร์นี่ อีกนานไหมเราจะวิ่งถึง Heartbreak Hill" แคทเธอรีนถาม ซึ่งอาร์นี่งงว่าเธอพูดอะไรออกมา "อะไรของเธอ นี่เราวิ่งผ่าน Heartbreak Hill มานานแล้วนะ!"
2
ในบอสตัน มาราธอนยุคปัจจุบัน เมื่อถึง Heartbreak Hill จะมีคนถือโทรโข่งส่งเสียงให้กำลังใจว่า "คุณทำได้ คุณพิชิต Heartbreak Hill ได้แล้ว!" แต่ในปี 1967 ยังไม่มีอะไรแบบนั้น และ Heartbreak Hill ก็เหมือนเนินทั่วๆไป ดังนั้นแคทเธอรีนที่ไม่เคยแข่งบอสตัน มาราธอนมาก่อน จึงไม่รู้เลยว่าเธอวิ่งผ่านมันได้สำเร็จแล้ว
ปัจจุบันถ้าผ่านฮาร์ทเบรก ฮิลล์ จะมีป้ายแสดงความยินดี แต่ยุคก่อนยังไม่มี
และอย่างที่อาร์นี่เคยบอกเอาไว้ เมื่อคุณพิชิต Heartbreak Hill ได้แล้ว ก็ไม่มีอะไรมาหยุดคุณได้อีกต่อไป
แคทเธอรีน วิ่งผ่านคอมมอนเวลธ์ อเวนิว มาถึงเบคอน สตรีต และเลี้ยวโค้งมาที่บอยล์สตัน ก่อนถึงทางสโลปสุดท้าย ที่หน้าอาคารเดอะ พรูเดนเชียล มีป้ายทาสีขนาดใหญ่บนพื้นถนนเขียนว่า FINISH หรือเส้นชัย ให้เห็นอย่างชัดเจน
ไม่มีปัญหาอะไรอีกแล้ว แคทเธอรีนวิ่งด้วยพลังของเธอทั้งหมดพุ่งเข้าเส้นชัยได้สำเร็จ โดยเวลา 4 ชั่วโมง 20 นาที
ไม่มีใครปรบมือให้เธอ คนส่วนใหญ่มองว่าเธอเป็นตัวปัญหาที่ไม่ยอมเคารพกฎ แต่นาทีนั้นเธอไม่สนแล้ว เพราะเธอได้ทำในสิ่งที่ใครๆก็สบประมาทเอาไว้ ว่าผู้หญิงไม่มีทางพิชิตมาราธอนได้ นี่ไง เธอทำให้ดูแล้ว
2
การที่เธอมี BIB ทำให้สถิติของเธอ จึงถูกบันทึกเอาไว้ในหน้าประวัติศาสตร์ของบอสตัน มาราธอน ว่าเป็นผู้หญิงคนแรกที่ลงแข่งขัน และพิชิต 42.195 กิโลเมตรได้สำเร็จ
ขณะที่ จ๊อค เซมเปิ้ล ผู้จัดการแข่งขันที่ตั้งใจจะกระชาก BIB จากแคทเธอรีน ตอนแรกเขาคิดว่าเธอจะแค่มาป่วน แต่สุดท้ายเขาเองก็ต้องยอมรับจริงๆ ว่าผู้หญิงคนนี้เธอไม่ได้หวังผลอะไรทั้งนั้น เธอแค่มาวิ่งจริงๆ
การที่ผู้หญิงคนหนึ่งวิ่งจบบอสตัน มาราธอนได้อย่างสมบูรณ์แบบ ทำให้เกิดกระแสสังคมที่สหรัฐอเมริกา ว่ากฎบ้าบอ ที่ผู้หญิงจะวิ่งได้แค่ 2.4 กิโลเมตร มันล้าหลังเกินไปหรือไม่ ก็เห็นกันอยู่ว่า มีผู้หญิงธรรมดา วิ่งจบ 42.195 กิโลเมตรได้เลยนะ
เมื่อผู้หญิงก็วิ่งได้แบบนี้ แล้วทำไมพวกเธอถึงไม่มีสิทธิลงแข่งเหมือนกับผู้ชายล่ะ?
3
ยิ่งบวกกับ หลังปี 1968 มีงานวิจัยเพิ่มเติมว่า ไม่มีหลักฐานทางการแพทย์ใดๆ ที่จะบ่งบอกว่า การวิ่งระยะไกลส่งผลเสียต่อสภาพร่างกายของเพศหญิง กลายเป็นเครื่องกระตุ้นชิ้นสำคัญที่ทำให้สมาคมกรีฑาของสหรัฐฯ ยกเลิกกฎห้ามผู้หญิงวิ่งในปี 1971 คราวนี้ งานแข่งวิ่งระยะไกลของอเมริกา ผู้หญิงจะมีสิทธิมีเสียงเท่าผู้ชาย
ในปี 1972 ห้าปีหลังแคทเธอรีน สวิตเซอร์ ลักลอบมาแข่งแบบลับๆ ในที่สุด บอสตัน มาราธอน ก็ยินยอมให้ผู้หญิงมาร่วมแข่งขันได้ และจากนั้นทุกการแข่งของอเมริกา ผู้หญิงก็สามารถลงทะเบียนเข้าแข่งขันได้ทั้งหมด ก่อนที่เวลาต่อมาคณะกรรมการโอลิมปิกสากลจะตัดสินใจบรรจุมาราธอนหญิง เป็นการชิงชัยเหรียญทองโอลิมปิกปี 1984 ที่ลอสแองเลจิส
1
จุดเริ่มต้นจากการวิ่งมาราธอนของแคทเธอรีน กลายเป็นอิมแพ็กต์ลูกโซ่ ที่ทำให้ทั้งโลกมองผู้หญิงกับการวิ่งเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง
สำหรับ แคทเธอรีน กลับไปแข่งบอสตัน มาราธอนอีกครั้งในปี 1972 และแน่นอน เธอต้องได้เจอกับจ๊อค เซมเปิ้ล หัวหน้าฝ่ายจัดการแข่งขัน ซึ่งคราวนี้ไม่มีการวิ่งไล่กวดกันอีกแล้ว แต่เซมเปิ้ล วัย 69 ปี ดึงแคทเธอรีน มาจูบแก้ม เป็นสัญญาณสงบศึก
3
แคทเธอรีนเอง ก็เข้าใจจุดยืนของจ๊อค เพราะในวันนั้นเขาเองต้องปกป้องกฎของรายการ แต่ในเมื่อเวลาผ่านไป กฎมันเปลี่ยนไปแล้ว ตัวจ๊อคเองก็ยินดีที่เห็นผู้หญิงร่วมลงแข่งขันในบอสตัน มาราธอน
จากปี 1972 จ๊อค เซมเปิ้ล กับ แคทเธอรีน สวิตเซอร์ กลายมาเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันจนถึงปี 1988 ที่จ๊อคเสียชีวิตอย่างสงบด้วยวัย 85 ปี
ปี 1972 ปีแรกที่อนุญาตให้ผู้หญิงลงแข่งบอสตัน มาราธอนได้ มีนักวิ่งหญิงลงทะเบียน 9 คน
แต่จากนั้นมาผู้หญิงก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนในปีล่าสุด 2019 มีนักวิ่งหญิงลงทะเบียนมากถึง 13,684 คน
1
จะเห็นได้ว่า ไม่มีขีดจำกัดเรื่องเพศขวางกั้นสำหรับคนรักการวิ่งอีกต่อไปแล้ว
สำหรับแคทเธอรีน สวิตเซอร์ เธอยังเป็นนักวิ่ง และทำงานการกุศล โดยก่อตั้งมูลนิธิชื่อ "261 FEARLESS" ขึ้น เพื่อทำการเรียกร้องสิทธิของสตรีในส่วนที่เกี่ยวข้องกับกีฬา และเธอถือเป็นไอค่อนของวงการวิ่งสหรัฐฯ มาจนถึงวันนี้
1
ในปี 2017 ผู้จัดการแข่งขันบอสตัน มาราธอน เชิญแคทเธอรีนมาเปิดงาน โดยมีแผนทำพิธีประกาศรีไทร์ BIB เบอร์ 261 ของเธอไม่ให้ใครได้ใช้อีกต่อไป เพื่อเป็นเกียรติให้กับผู้หญิงคนแรกที่พิชิตบอสตัน มาราธอนได้สำเร็จ
แต่แคทเธอรีน ที่มีอายุ 70 ปี ได้บอกว่าจะให้เชิญเธอมาร่วมพิธีเฉยๆได้อย่างไร แม้เธอจะอายุ 70 แต่เธอก็มั่นใจว่าตัวเองแข็งแรงพอ และเธอจะขอลงแข่งบอสตัน มาราธอนครั้งนี้ด้วย
แคทเธอรีน ก็ทำตามที่พูด เธอวิ่งจริงๆ และพิชิตมาราธอนได้อีกครั้ง ในวัย 70 ปีบริบูรณ์ ด้วยเวลา 4 ชั่วโมง 44 นาที 31 วินาที ก่อนปิดฉากหมายเลข 261 ไปอย่างยิ่งใหญ่จริงๆ
2
จากวันที่คนทั้งประเทศเอาแต่บอกว่า ผู้หญิงไม่มีวันวิ่งมาราธอนได้
แทนที่่เธอจะก้มหน้ารับชะตากรรม แต่เธอกลับตั้งคำถามว่า "เฮ้ย แล้วทำไมจะทำไม่ได้ล่ะ?" ก่อนจะลองลุกขึ้นสู้ดูสักตั้ง
สุดท้ายแล้ว ไม่ใช่เธอที่ต้องยอมรับสภาพ แล้วเปลี่ยนตัวเองตามโลก
กลับเป็นโลกใบนี้ต่างหาก ที่ต้องเปลี่ยนตามเธอ
1
#261
โฆษณา