24 มี.ค. 2020 เวลา 00:00 • กีฬา
[ #เอร์เรร่าที่ถูกลืม ]
ก่อนเข้าสู่ฤดูร้อน 2019 แฟนบอลแมนฯยูไนเต็ดต่างกังวลใจไม่น้อย
แทบทุกคนลุ้นให้ อันเดร เอร์เรร่า ขยายสัญญาออกไปอีก หลังฉบับปัจจุบันกำลังจะหมดลงในวันที่ 1 มิถุนายนและมีการใช้อ็อปชั่น 1 ปีเรียบร้อย
ด้วยคาแร็คเตอร์ที่มุ่งมั่นขยันขันแข็ง ก้มหน้าก้มตาทำงานอย่างหนัก ต้องการพิสูจน์ด้วยผลงานมากกว่าคำพูด ทำให้เร้ด อาร์ที่ต่างรัก เอร์เรร่า กันทั้งนั้น
หลายคนมองไกลถึงขั้นมอบปลอกกัปตันทีมให้ไปรัดบนต้นแขนเลย เพราะคุณสมบัติครบถ้วนจริงๆ
1
ปรากฏการณ์ "เอร์เรร่าฟีเวอร์" เกิดขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อ คงมาจากการที่แมนฯยูไนเต็ด ขาดแคลนนักเตะบุคลิกแบบนี้มานานหลายซีซั่น แม้จะซื้อแข้งดังค่าตัวแพงค่าแรงเพียบมา แต่มักจะเหยาะแหยะไม่เต็มที่
อีกทั้ง เอร์เรร่า แสดงความจริงใจตั้งแต่ก่อนย้ายมาจากแอธเลติก บิลเบาแล้วว่า ต้องการแมนฯยูไนเต็ดมาก นี่คือหนึ่งในสโมสรที่ฝันจะได้สวมยูนิฟอร์มมานาน
ความจริงที่หลายคนไม่รู้มาก่อนเลยก็คือ ก่อน เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน จะประกาศรีไทร์ตัวเองแบบปัจจุบันทันด่วน เคยบอกไว้ว่าหวังจะเซ็นสัญญากับ เอร์เรร่า
แล้วพอ เฟอร์กี้ ลงจากเก้าอี้ในซัมเมอร์ 2013 ส่งไม้ต่อไปให้ เดวิด มอยส์ ก็ยังคงแนะนำให้ไปทาบทาม เอร์เรร่า มั่นใจว่าจะช่วยเติมเต็มในแดนกลางอย่างแน่นอน
เอ็ด วู้ดเวิร์ด ในฐานะที่เป็นซีอีโอดูแลเรื่องการซื้อขายขยายสัญญาผู้เล่นในทีม จัดการยื่นข้อเสนอไปยังบิลเบา 24 ล้านปอนด์ แต่โดนปฏิเสธกลับมา
แทนที่จะปรับเปลี่ยนจำนวนเงินที่คิดว่าเหมาะสมใหม่ วู้ดเวิร์ด กลับไม่ได้เดินหน้าลุยต่อ
จนกระทั่ง มอยส์ กระเด็นตกเก้าอี้ก่อนฤดูกาล 2013/14 ปิดฉาก แล้วแต่งตั้ง หลุยส์ ฟานกัล มาเสียบตำแหน่งผู้จัดการทีมแทน วู้ดเวิร์ด เลยปัดฝุ่นต่อสายหาบิลเบาเพื่อขอซื้ออีกครั้ง
คราวนี้เพิ่มค่าตัวเป็น 30 ล้านปอนด์ มีการเล่นเกมชักเย่อกันอยู่บ้าง แต่สุดท้ายบิลเบาก็ยอมปล่อยให้
เอร์เรร่า ดูมีปัญหาไม่น้อยในการปรับตัวให้เข้ากับฟุตบอลอังกฤษในช่วงแรก โดยเฉพาะแนวทางการทำทีมของ ฟานกัล ที่ว่ากันว่ามักทำนักเตะสับสนและยากต่อการตอบสนอง
อาศัยความทุ่มเท ทุกวินาทีที่ลงเล่น เอร์เรร่า จะเต็มสูบไม่มียั้งเลยทีเดียว
เขาอาจไม่ใช่นักเตะที่มีฝีเท้าโดดเด่นหรือเป็นพวกขโมยซีนในสนาม แต่จัดอยู่ในโหมดแข้งผู้ปิดทองหลังพระ อีกทั้งไม่ชอบใช้เสียงโวยวายผ่านสื่อ
นักเตะคุณสมบัติเช่นนี้ผู้จัดการทีมส่วนใหญ่ต่างชื่นชอบทั้งนั้น เขาจึงทำงานได้หมดไม่ว่าจะยุค ฟานกัล , โชเซ่ มูรินโญ่ หรือ โอเล่ กุนนาร์ โซลชา ที่เข้ามาขัดตาทัพชั่วคราวในยุคแรก
จนมีข่าวว่า โซลชา พยายามเกลี้ยกล่อมจะให้ต่อสัญญาออกไป พร้อมกับจะยกให้เป็นกัปตันทีมคนใหม่
แต่สุดท้ายนักเตะตัดสินใจจบเพียงแค่นี้ เลือกปารีส แซงต์ แชร์กแมง แทน ซึ่งแฟนบอลไม่น้อยโยนความผิดให้บอร์ดบริหารแมนฯยูไนเต็ด ไม่มีความจริงใจจะรั้งตัวไว้
เงื่อนปมหลักอยู่ที่ค่าจ้างที่ไม่ยอมจ่ายมากกว่า 120,000 ปอนด์ต่อสัปดาห์ ให้เต็มที่แค่นี้ จนกระทั่งเปแอสเชสอดมือเข้ามาเกี่ยวข้องและเช็คบิลอย่างง่ายดาย
ข้อเสนอ 180,000 ปอนด์ต่อสัปดาห์ไม่ทำให้ เอร์เรร่า ต้องทบทวนนานนัก โดยยอมจากสโมสรที่ตัวเองรักมา จากเหตุผลหลักที่ว่าเขาควรจะได้รางวัลตอบแทนที่สมน้ำสมเนื้อกว่านี้
ในเมื่อรับใช้มา 5 ปีเต็ม ไม่ปริปากบ่นไม่อิดออดเรียกร้องอะไร แถมทำงานหนักไม่น้อยไปกว่าคนอื่น ไม่เคยสร้างปัญหาให้สโมสร ทำไมจึงไม่คิดปรับปรุงเรื่องค่าจ้างให้มากกว่าที่เป็นอยู่ ไหนจะระยะเวลาสัญญาที่ยื่นมาสั้นๆไม่เกิน 2 ปี
บอร์ดมองว่า เอร์เรร่า อายุ 29 ปีแล้ว เก็บไว้นานจะเป็นการลงทุนไม่คุ้มค่า สัญญา 3 ปีมากเกินไปและค่าจ้าง 150,000 ปอนด์ต่อวีกก็สูงกว่าลิมิตที่ตั้งไว้
ชัดเจนแล้วว่านักเตะไม่ได้อยากจากมาเลย แต่เขาเองก็ต้องการความมั่นคงของชีวิต ในช่วงท้ายของการค้าแข้ง เงินคือตัวแปรสำคัญมากๆในการตัดสินใจอนาคต
อย่างที่รู้กันนั่นแหล่ะ แฟนบอลร้อยทั้งร้อยต่างอาลัยอาวรณ์ เอร์เรร่า อย่างมาก
แต่สำหรับ พอล สโคลส์ กลับมองในมุมที่แตกต่างออกไป
วันหนึ่งเมื่อไปรับบทกูรูวิเคราะห์เกมทางบีที สปอร์ต ถูกตั้งคำถามว่าเมื่อไม่มี เอร์เรร่า สภาพของแมนฯยูไนเต็ดจะเป็นอย่างไร?
"อย่าได้กังวลไปเลย มันจะไม่มีผลอะไรมากนักหรอก" นี่คือคำตอบของ สโคลส์ ซึ่งสร้างความกังขาและไม่พอใจให้กองเชียร์ยูไนเต็ดบางส่วน
ตามความเห็นของ สโคลส์ คือกองกลางประเภทนี้อาจจะขยันมีแพสชั่น แต่ไม่อาจชี้ชะตาทีมได้ด้วยการออกบอลเพียงแค่ครั้งเดียว
พูดง่ายๆก็คือ เอร์เรร่า ไม่ใช่นักเตะมีคุณสมบัติพิเศษ แล้วพวกบากบั่นมุ่งมั่นแบบนี้ หาได้ไม่ยากเลยในตลาดซื้อขายทั่วไป
เราอาจมองเห็นภาพไม่ชัดในตอนแรกที่ สโคลส์ พูด
แต่มาถึงเวลานี้ น่าจะแจ่มแจ้งมากขึ้นเรื่อยๆ
นับตั้งแต่ย้ายมาเมื่อซัมเมอร์ที่แล้ว เอร์เรร่า ลงเล่นในลีกเอิงไปเพียงแค่ 8 นัด รวมแล้วแค่ 574 นาทีเท่านั้น ทำไป 1 ประตูกับอีก 1 แอสซิสต์ ซึ่งถือว่าน้อยมากหากเทียบกับความคาดหวัง
ส่วนในยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีกลงแค่ 3 เกม เป็นเวลาเพียงแค่ 99 นาที ขณะที่ฟุตบอลถ้วย 2 รายการทั้งเฟร้นช์ คัพและเฟร้นช์ ลีกคัพเล่นไปทั้งสิ้น 6 เกม
เขาเป็นสำรองลุกจากม้าข้างสนามหลายนัดหรือหากลงตัวจริงก็เล่นไม่ครบ 90 นาทีจะต้องโดนเปลี่ยนออกก่อน
ในตำแหน่งมิดฟิลด์ตัวกลางเขาสู้ อิดริสซ่า กานา เกย์ ไม่ได้ ไหนจะมี มาร์โก แวร์รัตติ กับ มาร์กินโญส ที่ขยับจากเซนเตอร์แบ็กมาเล่นขวางอยู่อีก
นอกจากนี้อุปสรรคหลักใหญ่คืออาการบาดเจ็บ ไม่ว่าจะเป็นกล้ามเนื้อต้นขาด้านหลัง , ฝ่าเท้า และบริเวณน่องที่ทำเอาต้องชวดลงสนามบ่อยๆ
โชคร้ายที่อาการบาดเจ็บรักษาไม่หายขาด บางทีก็ได้แผลใหม่เพิ่มวนเวียนอยู่อย่างนี้เรื่อยมา
ช่วงที่ เอร์เรร่า จากมาปารีสใหม่ๆ เร้ด อาร์มี่ยังคงถวิลหา เพราะมิดฟิลด์ตัวกลางยังหาคนที่วางใจไม่ได้เลย เฟร็ด ยังไม่เข้าที่ สก๊อตต์ แม็คโทมิเนย์ ก็ยังขาดประสบการณ์ ปอล ป็อกบา ก็เดี้ยงรายวัน ส่วน เนมานย่า มาติช ดูเนือยไปมาก
อย่างไรก็ตามมาถึงตอนนี้ จากที่เคยคิดถึงอยากให้ เอร์เรร่า กลับมา แฟนๆหลายคนเริ่มลืมไปแล้ว
แผงกลางของปีศาจแดงแกร่งมากขึ้น เฟร็ด ยกระดับกลายเป็นเสาหลักที่ขาดไม่ได้ แม็คโทมิเนย์ หายเจ็บกลับมาเติมเต็มด้วยไดนามิกเต็มที่ มาติช ใช้ประสบการณ์และความเยือกเย็นมาเป็นจุดเด่น
ไม่ต้องรอให้ ป็อกบา ฟื้นด้วยซ้ำและการมาของ บรูโน่ แฟร์นันด์ส น่าจะคือจุดสำคัญที่ทำให้ชื่อของ เอร์เรร่า ถูกกลืนหายไป
ขณะเดียวกันเมื่อเรามองย้อนถึงความเห็นของ สโคลส์ จะเข้าใจง่ายขึ้นเรื่อยๆ
นักเตะอย่าง เอร์เรร่า ไม่ได้หายากอย่างที่ว่าไว้จริง ตอนนี้เป็นได้เพียงแค่อะไหล่ธรรมดาของเปแอสเช คือไม่มีก็ไม่เป็นไร หาใครมาทดแทนได้ไม่ยาก
แต่เพราะช่วงเวลาที่เขาพีกขึ้นมาในความรู้สึกแฟนยูไนเต็ด กำลังขาดแคลนแข้งคุณสมบัติแบบนี้ เอร์เรร่า ช่วยมาเติมเต็มอารมณ์ร่วม เมื่อหวนนึกไปยังยุคยิ่งใหญ่ ซึ่งผู้เล่นแทบทุกคนล้วนเต็มไปด้วยแพสชั่น
แค่ไม่กี่เดือนเท่านั้น พวกเขาเปลี่ยนไปไม่มีใครพูดถึง เอร์เรร่า อีกแล้ว กำลังตื่นเต้นกับแผงมิดฟิลด์ชุดปัจจุบันที่ลงตัวเหลือเกิน
นี่คือความจริงของโลกลูกหนัง คุณไม่อาจคาดเดาอะไรได้เลยสักนิดเดียว การเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นได้เสมอ
กรณีของ เอร์เรร่า คืออีกหนึ่งตัวอย่าง
ไม่ว่าคนชาติไหนก็ลืมง่ายทั้งนั้น โดยเฉพาะในวันที่พวกเขามีความสุข
.
ทุกท่านสามารถติดตามอ่านบทความย้อนหลังได้ที่ ..
.
และเพิ่มเพื่อนไลน์แอด "เพื่อเด้งเตือน" ให้คุณได้อ่านก่อนใคร กดที่ลิงค์นี้ครับ
ขอบคุณครับ
โฆษณา